เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกของเมืองไทยในฐานะนักชกมวยสากล
เจ้าของเข็มขัดแชมป์จากอีกหลายเวทีตลอดระยะเวลาหลายสิบปีแห่งการโลดแล่นอยู่บนสังเวียนผ้าใบ
และ...เจ้าของวาทกรรมขำๆ แต่พูดออกจากใจ อย่าง “ไม่ได้โม้” ที่ติดหูติดปากคนไทยทั่วประเทศ
“คำว่า ไม่ได้โม้ ก็มาจากการที่ผมวิเคราะห์นั่นแหละครับ อย่างเช่น “โอ๊ย นี่สบาย ผมต่อยมือเดียวก็ชนะ” หรือ “ไอ้นี่เก่งกับใครก็ได้ แต่เก่งกับผมไม่ได้หรอก ต่อยผมไม่ถูก” หรือ “บัวขาวนี่ จะมาบี้ผมเหรอ อย่าหมดแรงก่อนละกันนะ” คือผมก็วิเคราะห์เกมน่ะ ผมไม่ได้โม้ว่าผมไปตีกอล์ฟลงหลุม หรือไปเตะฟุตบอลได้ มันไม่ใช่ เรามีความรู้จริงเรื่องมวย เราเกิดมากับมวย ใครมวยซ้ายใครมวยขวา รู้หมด”
สมรักษ์ คำสิงห์ เกิด มาจากมวย และทุกวันนี้ก็ยังอยู่กินกับมวย เรานัดพบกับเขา ภายหลังที่เขาเอาชัยเหนือคู่ชกอย่าง “ผู้พัน” วันเผด็จ ผู้ครองฟ้า ด้วยการชนะน็อกแบบฝากแผลแตกให้คู่ต่อสู้เก็บไว้เป็นที่ระลึกต่างหมัด
ภายใต้ชายคาของค่ายมวยที่เขาบอกว่า กำลังก่อร่างสร้างตัวเพื่อให้มีมาตรฐาน เราเริ่มต้นสนทนากันด้วยเรื่องข่าวคราวที่เขาออกคำท้าเหยงๆ ต่อมวยดังที่ “โปรโมทกันว่า” เก่งที่สุดในโลก อย่าง “บัวขาว” แชมป์สังเวียนไทยไฟท์ พูดง่ายๆ ว่าเขาอยากประหมัดดูสักตั้งกับนักมวยดังชื่อนี้
สมรักษ์ คำสิงห์ คง “ไม่ได้โม้” คุยโวไปอย่างนั้นแน่นอน เพราะอย่าลืมว่า เขาเองก็คือ “สิงห์” ตัวหนึ่งแห่งเวทีผ้าใบที่ทำให้คู่ต่อสู้ยืนซดหมัดมาแล้วไม่น้อยกว่าพันคน ตลอดชีวิตการชกมวยของเขา คำถามก็คือ แล้วเราจะไม่ลองนั่งลงฟัง “คำ” ของ “สิงห์” ตัวนี้สักหน่อยหรือ?
|
|
“คนดี มันต้องได้ดี” ทันทีที่จบบทสนทนาเกี่ยวกับ “ไฟต์ในความฝัน” ที่อยากเห็นมันปรากฏเป็นความจริง ดวงตะวันด้านทิศตะวันตกเดินหน้าหาขอบฟ้าลงไปเรื่อยๆ เราเห็นน้องๆ นักมวยรุ่นใหม่กำลังทยอยเข้ามาในค่าย ฝึกซ้อมตามกิจวัตรประจำวัน ท่ามกลางเสียงเตะเสียงต่อยที่ดังสนั่นหวั่นไหวจนเรารู้สึกแปลบไปถึงชายโครง คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นมวย โดนเข้าไปสักแข้ง มีหวังเครื่องนงเครื่องในคงบรรลัยหมด เห็นดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องไต่ถามนักมวยอาชีพตัวจริงเสียงจริง “ต่อยมวยเจ็บบ้างไหม?” เราถาม “ไม่เคยเจ็บ” เขาตอบ “เป็นไปได้เหรอ ไม่เจ็บ” เรายังไม่อยากเชื่อ “ก็เก่งอ่ะ” เขาตอบเรียบๆ แบบไม่ยิ้มไม่หัว “แล้วถ้าเราเจ็บ เราจะทำไง” เราซักต่อ “เจ็บก็นอนสิครับ” ทีนี้ เขาหัวเราะออกมาให้กับมุกของตัวเอง “จริงๆ ไม่เคยเจ็บหรอกครับ มันเป็นพรสวรรค์ ไม่ค่อยโดนเตะโดนต่อยเท่าไหร่” “ทำสิ่งที่เรารักและรักสิ่งที่เราทำ ที่ผมมาเล่นกีฬามวย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมได้ขึ้นเวที ผมได้ไหว้ครู ผมได้เตะ ผมได้ต่อย ผมโดนเตะ ผมก็มีความสุขของผม” |
...ในวัย 40 พอดิบพอดี ณ วันนี้ สมรักษ์ คำสิงห์ กำลังมุ่งมั่นเอาจริงกับการตั้งโรงยิมมาตรฐาน เปิดโรงเรียนสอนมวยไทย ส่วนการปั้นมวยขึ้นชกตามเวทีต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ยังทำอยู่ และทำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว “การดำเนินชีวิตของผม ก็ธรรมดา ง่ายๆ ครับ ทำสิ่งที่เรารักและรักสิ่งที่เราทำ เรารักกีฬามวย เราก็ทำมวย ดูแลเด็ก ไปเรื่อย มันอยู่ที่ความพอใจ คนเรามันอยู่ที่ความสุข ถามว่าทำไมผมกลับมาชก ผมก็อยากจะสร้างสีสัน ผมรักกีฬามวย แล้วยิ่งผมชกเอง ผมก็มีความสุขของผม ไม่ใช่ว่า โอ๊ย เป็นฮีโร่ เลยอยากไปชก ไม่เกี่ยวกันครับ เป็นฮีโร่มันก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าที่ผมมาเล่นกีฬามวย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมได้ขึ้นเวที ผมได้ไหว้ครู ผมได้เตะ ผมได้ต่อย ผมโดนเตะ ผมก็มีความสุขของผม (หัวเราะ) เพราะมันเป็นกีฬาที่เล่นแล้วเรามีความสุขกับมัน” ชีวิตง่ายๆ สไตล์ฮีโร่ ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ภายใต้โลโก้ที่มีคำว่า “ความสุข” เป็นเครื่องหมายกำกับ “อย่างการเลี้ยงคน การทำค่ายมวย มันก็หมดเยอะนะ แต่สำหรับผม มันทำให้มีความสุข ผมก็เลือกและแลกมัน ถ้าใจไม่กว้างจริง ทำมวยไม่ได้ อย่างเด็กลูกวินมอเตอร์ไซค์ ลูกคนงานก่อสร้าง เราก็เลี้ยงงงง...ส่งเรียนหนังสือ อย่างเด็กพวกเนี้ย (หันสายตาไปที่นักมวยวัยเยาว์ซึ่งกำลังฝึกซ้อมอยู่) ก็ไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นมันจะเก่งหรือเปล่า โตขึ้นมันจะติดม้า ติดสาว หรือเกเรหรือเปล่า เพราะเราไม่รู้อนาคตเขา การทำค่ายมวยเป็นการลงทุนที่สูง แต่ผลประโยชน์อย่าไปคิดเลย มันอาจจะได้ในแง่ของชื่อเสียงและความสุขทางใจที่หาซื้อไม่ได้ ผมนี่หมดไปเยอะ อย่างไอ้แสนชัยนั่น (แสนชัย ส.คำสิงห์) ผมก็เลี้ยงอยู่ แต่พอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ ก็มีคนมายุแหย่ไป” |
ฉากชีวิตบางฉากของ “คนปั้นนักมวย” ทำให้เรานึกไปถึงฉากในหนังบางเรื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกับชีวิตบนสังเวียนผ้าใบ อย่างเช่น Million Dollar Baby อย่างน้อยหนึ่งครั้งที่เจ้าของค่ายมวยอย่าง “แฟรงกี้” ถูกหันหลังให้โดยนักมวยที่ตัวเองปั้นมากับมือ แต่นี่คือชะตากรรมที่ต้องเป็นไป อาจจะโดยการยุแหย่อย่างที่สมรักษ์ว่า หรืออาจจะโดยฝันใฝ่ของนักมวยคนนั้นเองที่เห็นว่า ทางข้างหน้าสดใสกว่าชายคาหลังเดิม แต่ไม่ว่าจะเป็นแฟรงกี้ใน หนัง หรือสมรักษ์ คำสิงห์ ทั้งสองคนต่างโชกโชนบนสังเวียนผ้าใบมานับไม่ถ้วน ชีวิตก็เหมือนการต่อสู้ มีแพ้มีชนะ หรือเสมอบ้างในบางครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับในผลนั้น “ผมเลี้ยงคนตั้งแต่ยุคก่อนที่ผมยัง ไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกโน่นแน่ะ คนไหนมีลูกมีเมีย ผมก็เลี้ยงมันทั้งลูกทั้งเมียมันด้วย หางานให้ทำ แล้วแต่เราดันได้ ถามว่ามันคุ้มมั้ย มันก็ไม่คุ้มหรอก ถ้าคิดเป็นตัวเงิน แต่มันมีความสุข ชอบ” “ต่อยมวยนี่รวยไหม” เรายิงคำถามนี้ไปแบบหยั่งเชิงเล่นๆ “ใช้ได้นะ” เขาตอบ “อย่าลืมนะว่า ส่วนมากที่มาต่อยมวย ลูกคนจนทั้งนั้นแหละ ชกไป เขาก็ส่งเงินให้ทางบ้าน ส่งครอบครัว เป็นรายได้ ชกไปสร้างบ้านไป บ้านเสร็จ ก็หมดสภาพพอดี (หัวเราะ) ชีวิตก็ดีขึ้นได้” แล้วโดยส่วนตัว สมรักษ์ คำสิงห์ มีเงินถึงร้อยล้านไหม? บางคนคงสงสัยใคร่รู้...“บ้าาาาา...ใครจะไปมีถึงขั้นนั้น เงินไม่ถึงร้อยล้าน แต่บุญเยอะ เพราะเลี้ยงคน ชีวิตเลยไม่ตกอับ” “มันก็มีบ้างแหละความลำบาก แต่เราก็ขึ้นมาได้ใหม่อยู่เสมอ อย่างผมนั่งอยู่นี่ ก็มีคนโทรมาชวนให้ไปชก ท้าไปท้ามา เราก็ถามว่าไหวเหรอพี่ เขาก็ว่าไหว ก็ได้ชก ชีวิตเรามันมีขึ้นมีลงตามธรรมชาติ ชีวิตคนเรามันไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบเสมอไป มันก็ช่วงขึ้นช่วงลงบ้าง แต่ถามว่าเราอยู่ได้ไหม อยู่ได้ เรายังอยู่ดีมีความสุข ก็อยู่อย่างงี้ ผมคิดว่าผมคนดี คนดีมันก็ต้องได้ดี อย่าไปตกใจ” |
+++บาง “คำ” ของ “สิงห์” แห่งสังเวียนผ้าใบ จากใจ “สมรักษ์” ถึง “นักมวยรุ่นน้อง” “มวยมันเป็นพรสวรรค์ เป็นความอัจฉริยะของคน ผมนี่โคตรขี้เกียจซ้อมเลย ต่อยมวยไทยสมัยก่อน ผมซ้อมสามวัน ผมก็ชกแล้ว ผมไม่ซ้อมผมก็ชกได้ อย่างผมไปชกเควันเมื่อสองปีที่แล้ว ผมก็เมาเหล้า ไม่เคยวิ่งไม่เคยอะไร มันก็ไม่มีแรงอะ แต่ต่อยผมไม่ได้ก็แล้วกันน่ะ ต่อยไปยิ้มไป ต่อยผมยาก ผมชกเควันที่ตุรกี ผมก็ได้เป็นแชมป์มา มันเป็นศาสตร์และศิลป์ส่วนตัว เรื่องมวยนะ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เลียนแบบไม่ได้ “ดังนั้น กับเด็กรุ่นใหม่ ผมก็บอกมันทุกวันแหละว่า มวยมันเป็นศิลปะการต่อสู้ ถ้าตั้งใจจริง ต่อยเก่ง มันก็สร้างรายได้ช่วยเหลือตัวเองและทางบ้านได้” |
ฝากถึงวงการมวย “มันเป็นเรื่องธรรมชาติของทุกวงการครับ คือถ้าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน ถ้ามีฝั่ง มีพรรค มีฝ่ายนู่นฝ่ายนี่ มันก็จะตกต่ำเป็นธรรมดา สมาคมมวยก็เหมือนกัน ในเมื่อแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเหล่า แตกความสามัคคีกัน ยุแหย่กัน มันก็ต้องตกต่ำ แต่มันไม่ตกต่ำถึงที่สุดหรอก เพียงแต่มันทำให้สิ่งที่น่าจะพัฒนาไปได้เร็วๆ มีการหยุดชะงัก ชะลอ การพัฒนามันก็ช้าหน่อย “มองในด้านนักมวยไทย เราต่างก็มีฝีมือดีกันทุกคน แต่ว่าเมื่อผู้ใหญ่ทะเลาะกัน บางที เด็กมันก็รับไม่ได้เหมือนกัน เด็กสับสน แต่มันก็ยังมีความหวังได้อยู่ ถ้าผู้ใหญ่เลิกทะเลาะกัน “ส่วนตัวผมไม่อยากเข้าไป ยุ่ง ผมคิดว่า สมรักษ์ คำสิงห์ ควรอยู่ตรงกลาง คอยให้คำปรึกษากับน้องๆ นักกีฬาที่มีปัญหา ให้ความช่วยเหลือ มีอะไรก็คอยแนะนำ ต่อรองกับผู้ใหญ่ให้ เราก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง เป็นที่พึ่งและกำลังใจ” |