:
นิตยสาร Popular Science เป็นนิตยสารรายเดือนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วไป ตลอดปี ค.ศ. 1999 นิตยสารฉบับนี้ ได้ตีพิมพ์ชุดสารคดีพิเศษ " Inventions " ( สิ่งประดิษฐ์คิดค้น ) เพื่อนำเสนอสิ่งประดิษฐ์คิดค้นรวม 100 สิ่ง ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของมนุษย์มากเป็นพิเศษในรอบหนึ่งพันปี เป็นการทบทวนมองย้อนอดีตผลงานจากสมอง และฝีมือมนุษย์ในรอบสหัสวรรษที่สองที่กำลังจะจากไป
ในการคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์ 100 สิ่งแห่งสหัสวรรษที่สอง ทีมงานของนิตยสารได้จัดแบ่งสิ่งประดิษฐ์คิดค้นเป็นด้านต่างๆ เช่น "การบิน และอวกาศ" " การผลิต และอุตสาหกรรม " เสียง และแสง " " เกษตรกรรม " ฯลฯ มาถึงฉบับสุดท้ายของปี ค.ศ. 1999 คือ ฉบับเดือนธันวาคม เป็นการนำเสนอ 10 สิ่งประดิษฐ์คิดค้นในรอบหนึ่งพันปีที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ธรรมดาสามัญทั่วไปมากที่สุด จะเรียกเป็น "10 สิ่งประดิษฐ์ที่ขาดไม่ได้" ก็ได้ ดังต่อไปนี้
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/10061315200063fa018a8e27d4.jpg)
(1) เลนส์แว่นตา แว่นสายตาช่วยคนสายตาสั้น - สายตายาว - สายตาเอียง สำคัญแค่ไหน ก็ลองนึกภาพดูก็แล้วกันว่า ถ้าเกิดแว่นสายตาที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันทั้งหมด สลายตัวหายไปหมดพร้อมๆ กัน ด้วยอำนาจพลังพิเศษใดๆ ก็ตาม แล้วคนทั้งโลกจะเป็นอย่างไรใครเป็นผู้ประดิษฐ์แว่นสายตาขึ้นมา ? มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า โรเจอร์ เบคอน ( Roger Bacon ) นักวิทยาศาสตร์ และพระชาวอังกฤษ ได้กล่าวในปี ค.ศ. 1268 ถึงประโยชน์ของการใช้เลนส์สร้างจากแก้วใสเป็นแว่นขยายส่องตัวหนังสือเล็กๆ บนหน้ากระดาษให้คนมีปัญหาทางสายตาอ่านได้ แต่การประดิษฐ์แว่นสายตาน่าจะได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในประเทศจีน เพราะมาร์โค โปโล ( Marco Polo ) ได้รายงานในปี ค.ศ. 1275 ว่า ได้เห็นคนจีนในประเทศจีนใช้แว่นขยายทำด้วยเลนส์ช่วยการอ่านหนังสือ โดยที่แว่นขยายนั้น มีสายห้อยแขวนติดกับหูแว่นสายตาประเภทไบโฟคอล ( Bifocal ) สำหรับการมองไกล และใกล้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1784 สำหรับเบนจามิน แฟรงคลิน และคอนแทคเลนส์ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1887
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/1006131520b7697356734d8be1.jpg)
(2) แบตเตอรี่แอลคาไลน์ แบตเตอรี่ชนิดก้อนที่ใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เป็นชนิดแบตเตอรี่แอลคาไลน์ (Alkaline Battery) เพราtใช้งานได้นานที่สุด และสะดวก อีกทั้งราคาไม่แพงนัก ใช้ได้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง และเสียง ดังเช่น เครื่องรับวิทยุขนาดเล็ก และอุปกรณ์เครื่องใช้อื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่มาก เฉพาในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ทุกวันนี้ คนอเมริกันใช้เงินปีละ 1.3 พันล้านดอลลาร์ ซื้อแบตเตอรี่ชนิดแอลคาไลน์แบตเตอรี่ชนิดแห้งที่ใช้สำหรับงานทั่วไปชนิดแรก เริ่มปรากฏมีขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ต่อมาอีกไม่กี่ทศวรรษ แบตเตอรี่ชนิดคาร์บอน - สังกะสี ก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใช้ และเป็นที่นิยมแพร่หลาย จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1959 ลูว์ เออร์รี ( Lew Urry ) แห่งบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการแบตเตอรี่เป็นก้อน ก็พัฒนาแบตเตอรี่แบบแอลคาไลน์ขึ้นมาสำเร็จ และทำให้ชีวิตของคนทั่วโลก สะดวก สบาย และมีความสุขกันมากขึ้น
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/10061315202d1ef1c1715fbd68.jpg)
(3) นาฬิกาควอร์ตซ ควอร์ตซเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่หาง่ายในธรรมชาติ มีสภาพเป็นผลึกสารประกอบของซิลิกอน และออกซิเจน เรียกผลึกซิลิกา หรือซิลิกอนออกไซด์ เมื่อต้นทศวรรษ ปี 1920 ดับบลิว จี. แคดี ( W. G. Cady ) พบว่า ผลึกควอร์ตซ จะสั่นอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน วอร์เรน มาร์ริสัน ( Warren Marison ) แห่งเบลล์เทเลโฟน เป็นคนนำผลึกควอร์ตซ มาสร้างเป็นนาฬิกาข้อมือควอร์ตซเรือนแรกที่รักษาเวลาได้อย่างแม่นยำ ในปี ค.ศ. 1967 หลังจากนั้น นาฬิกาควอร์ตซก็เข้าแทนที่นาฬิกาใช้ลานเป็นกลไกการรักษาเวลามาถึงทุกวันนี้
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/1006131520a0eecac644554ff3.jpg)
(4) เทปยึดติดเทปยึดติด ( Adhesive Tape ) หรือเทปเหนียว หรือที่มักเรียกกันเป็น สก๊อตเทป เป็นวัสดุที่เสมือนหนึ่ง ยึดอะไรต่ออะไรให้เข้าที่เข้าทางทั่วทุกหนแห่ง ทั้งสิ่งของเครื่องใช้และเรื่องของสุขภาพ เทปยึดติดเป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นเมื่อต้นทศวรรษปี 1920 โดย ดิกค์ ดรูว์ ( Dick Drew ) แห่งบริษัท 3 M
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/1006131520dd4781a83a2c26cc.jpg)
(5) หลอดไฟฟ้า โลกปัจจุบันจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีหลอดไฟฟ้า โทมัส แอลวา เอดิสัน ( Thomas Alva Edison ) มิใช่คนแรกที่ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า แต่เขาเป็นคนสร้างหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงๆขึ้นมาสำเร็จ หลังการทดลองหาวัสดุที่จะใช้ทำไส้หลอดไฟฟ้าให้คงทนอยู่นานประมาณ 1,600 ชนิด เขาก็ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 1879 เมื่อเขาทดลองใช้เส้นด้ายเย็บผ้าที่เผาอย่างระมัดระวังในเตาอบ จนกระทั่งมีสภาพเป็นเส้นคาร์บอน และหลอดไฟฟ้าใช้เส้นด้ายเผาของเขาก็ให้แสงสว่างอยู่ได้นานถึงสี่สิบชั่วโมง ในวันที่ 21 เดือนตุลาคม ค.ศ. 1879 หลอดไฟฟ้าปัจจุบันใช้ไส้ทังสเตน
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/100613152063a9ecafa357747f.jpg)
(6)ซิป ( Zipper ) เป็นสิ่งประดิษฐ์อีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างอเนกประสงค์ และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในปัจจุบัน นักประดิษฐ์ชาวชิคาโกชื่อ วิทคอมบ์ จัดสัน ( Whitcom Judson ) เป็นผู้ประดิษฐ์ซิปชนิดแรกขึ้นมา และนำออกเผยแพร่เป็นครั้งแรกที่ Chicago Worlds Fair ปี ค.ศ. 1893 แต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้คนนัก คือ ขายได้น้อย เพราะซิปติดง่าย ทำงานไม่คล่องตัว สองทศวรรษต่อมา กิเดียน ซุนด์แบกด์ ( Gideon Sundback ) วิศวกรชาวสวีเดน - อเมริกัน ได้ปรับปรุงซิปให้ใช้งานได้ดีขึ้น ทำให้ซิปได้รับความนิยมกว้างขวางขึ้น สำหรับชื่อ " Zipper " เป็นชื่อที่ตั้งโดย บี.เอฟ. กูดริช ( B.F. Goodrich ) ในปี ค.ศ. 1923 เป็นชื่อตั้งเลียนเสียงการเคลื่อนไหวขณะที่ซิปถูกรูดให้ทำงานเปิดหรือปิดซิป
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/100613152037c259099cbfaefc.jpg)
(7) ปากกาลูกลื่น "จะเขียนหนังสือให้สวย ต้องใช้ปากกาหมึกซึม แต่ถ้าจะเขียนหนังสือให้ได้เร็ว ก็ต้องใช้ปากกาลูกลื่น" ข้อความนี้เป็นจริงเมื่อปากกาลูกลื่นเริ่มจะถูกนำออกเผยแพร่ให้ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่มายุคสมัยนี้ยกเว้นคนที่ต้องใช้ปากกาพิเศษ สำหรับวาระพิเศษ เช่น ใช้ลงนามในสัญญา หรือ สนธิสัญญาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษเท่านั้น คนทั่วๆ ไปก็แทบจะไม่รู้จักปากกาหมึกซึมกันแล้ว เพราะได้รู้จัก และใช้ปากกาลูกลื่นมาเกือบตลอดชั่วชีวิตปากกาลูกลื่นเป็นผลงานการประดิษฐ์ของ จอห์น เลาด์ ( John Loud ) ชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1888 แต่มิใช่เพื่อการเขียนหนังสือ หากเพื่อใช้ทำเครื่องหมายบนแผ่นหนังเพื่อลงสี
ปากกาลูกลื่นได้รับการพัฒนาเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมใช้ ปัญหาคือ ปากกาลูกลื่นเหล่านั้น ยังเขียนได้ไม่สม่ำเสมอ หมึกรั่วซึม และติดขัดเป็นประจำ ปากกาลูกลื่นที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ คือ หมึกแห้งเร็ว และไหลสะดวก เป็นผลงานการพัฒนา และจดสิทธิบัตรเอาไว้ในปี ค.ศ. 1938 ของสองพี่น้องชาวฮังการี ชื่อ ลาซโล บิโร ( Lazlo Riro ) และ จอร์ช บิโร ( Georer Biro ) ปากกาลูกลื่นเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในชื่อของปากกาบิก ( Bic ) ซึ่งเป็นผลงานการปรับปรุงโดย ชาวฝรั่งเศส มาร์เซล บิช ( Marcel Bich ) ข้อเด่นที่สุดของปากกาบิก คือ ราคาถูก
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/100613152121c0506cc2433eb8.jpg)
(8) ทัปเปอร์แวร์ มีบ้านเรือนใดบ้างในโลก ที่ไม่มีภาชนะพลาสติกบรรจุ หรือเก็บวัสดุนานาชนิด รูปร่างทั้งธรรมดา และแปลก มีสีสันและสวยงาม ที่รู้จักเรียกกันว่า " ทัปเปอร์แวร์ " ( Tupperware ) ทัปเปอร์แวร์เป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้นค่อนข้างใหม่ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 จากนักเคมีของบริษัทดูปองต์ ชื่อ เอิร์ล ทัปเปอร์ ( Earl Tupper ) ผู้นำเอาพลาสติกชนิดใหม่ของบริษัท คือ โพลีเอทีลีน แล้วนำมาผลิตเป็นภาชนะบรรจุหลากสีมีรูปร่างลักษณะแล้วแต่จะออกแบบให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ และความสวยงามชื่อของทัปเปอร์แวร์ก็มาจากชื่อของทัปเปอร์เองมีผู้ผลิตอื่นๆ ผลิตภาชนะบรรจุแบบเดียวกับทัปเปอร์แวร์ขึ้นมา และใช้ชื่ออื่น แต่ปรากฏว่าชื่อ ทัปเปอร์แวร์ เป็นชื่อที่ติดตลาด สำหรับภาชนะพลาสติกชนิดนี้เสียแล้ว ถึงทุกวันนี้
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/1006131521a36af568beb925ef.jpg)
(9) คลิปหนีบกระดาษ งานเอกสารหลากหลายประเภท จะยุ่งยากแค่ไหน ในการเก็บให้เป็นระเบียบ ให้ใช้ และค้นหาได้ง่าย ถ้าไม่มีคลิปหนีบกระดาษ ( Paperclip ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คลิปหนีบกระดาษโลหะขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นเส้นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว มีส่วนเป็นปลายมนสองด้าน ประกบกันอยู่ คลิปหนีบกระดาษ เป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นของชาวนอร์เวย์ชื่อ โจฮาน วาเลอร์ ( Johan Vaaler ) แต่เนื่องจากประเทศนอร์เวย์ไม่มีระบบการจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ โจฮาน วาเลอร์ จึงขอจดสิทธิบัตรในประเทศเยอรมนี เมื่อปี ค.ศ. 1899 ชาวนอร์เวย์ภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ของคนนอร์เวย์นี้มาก จนกระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวนอร์เวย์จะติดคลิปหนีบกระดาษเป็นสัญลักษณ์แสดงความรักชาติ
![](http://www.mythland.org/v3/attachments/month_1006/100613152075026fe935f804f8.jpg)
(10) แถบยึดติด นอกเหนือไปจากเทปยึดติด ( Adhesive Tape ) แล้ว สิ่งประดิษฐ์ที่ใช้งานในลักษณะคล้ายกับเทปยึดติด แต่ใช้งานในลักษณะต่างกันตรงที่ประกอบด้วยส่วนเป็นแถบสองหน้า โดยที่อาจเป็นสองหน้าของวัตถุชิ้นเดียวกัน หรือเป็นสองหน้าของแถบสองชิ้น ที่ต้องใช้ประกบกัน หน้าหนึ่งมีส่วนคล้ายเป็นตะขอเล็กๆ เต็มหน้า อีกหน้าหนึ่งมีลักษณะหยาบคล้ายเต็มไปด้วยขน แต่จริงๆ แล้วประกอบด้วยส่วนเป็นห่วงหรือบ่วงเล็กๆ เมื่อจัดแถบสองแถบนี้ประกบกัน ก็จะยึดติดกันคล้ายถูกยึดด้วยกาว นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบันกับชุดเสื้อผ้าบางแบบที่ไม่ต้องการใช้กระดุมเสื้อหรือซิป และสิ่งของเครื่องใช้อื่นๆ ดังเช่น กระเป๋า ถุงบรรจุสิ่งของ ฯลฯ
แถบยึดติดนี้ เป็นผลงานการประดิษฐ์ในปี ค.ศ. 1948 ของวิศวกรชาวสวิส ชื่อ จอร์ช เดอ เมสทรอล ( Georee de Mestral ) ชื่อภาษาอังกฤษของแถบยึดติดนี้ คือ Velcro ( เวลโคร ) ผู้ประดิษฐ์ เป็นคนตั้งชื่อสิ่งประดิษฐ์นี้เอง จากคำภาษาฝรั่งเศส " Velour " ( แปลว่า " กำมะหยี่ " ) กับ " Crochet " ( แปลว่า " การถัก " )