Ted Bundy ยอดชายนักฆ่า ผู้ที่ทำให้อเมริกาต้องบัญญัติคำว่า Serial Killer

 

หากจะกล่าวถึงคำว่า Serial Killer หรือฆาตกรคดีต่อเนื่องแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง แจ๊คเดอะริปเปอร์มากกว่า แต่ในความจริง คำว่า Serial Killer นี้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกฆาตกรที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็คือ เท็ด บันดี้ นี่เอง อาจจะกล่าวได้ว่าคดีของ เท็ด บันดี้ เป็นคดีที่แปลกไปจากคดีอื่นๆ

 

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นในศาล ไม่ว่าใครก็ยากจะเชื่อได้ว่าชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางมีความรู้ผู้นี้จะเป็นฆาตกรโหดในอาชญากรรมทางเพศไปได้ เท็ด บันดี้ถูกตัดสินโทษประหารในคดีฆาตกรรม 30 รายก็จริง หากในความจริงแล้วเชื่อกันว่าเหยื่อของเขามีไม่ต่ำกว่า 100 รายแน่นอน …นอกจากนี้บันดีเป็นผู้มีการศึกษาและเป็นคนมีเสน่ห์ เพื่อนๆ และคนรู้จักจดจำเขาได้ในฐานะที่เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีและพูดจาเก่ง และด้วยบุคลิกนี้ทำให้เขาถูกนำมาเป็นแบบฆาตกรในโลกภาพยนตร์นาม ฮันนิบาล เล็คเตอร์ ในที่สุด …นอกจากนี้เท็ด บัดดี เคยช่วยตำรวจไล่ล่าฆาตกรลุ่มแม่น้ำสีเขียวมาแล้ว

 

 

ธีโอดอร์ โรเบิร์ต บันดี้ เกิดเมื่อ 24 พฤศจิกายน 1946 มารดาของเขาเอเลนัวร์ หลุยส์ โคเวล ท้องเมื่ออายุ 21 โดยที่ยังไม่แต่งงานและไม่มีการเปิดเผยจนทุกวันนี้ว่าพ่อที่แท้จริงของเท็ด คือใคร เนื่องจากในสมัยนั้นสังคมมองมารดานอกสมรสด้วยสายตาไม่ดีนัก เท็ดจึงถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกของตาและยาย โดยบอกว่าหลุยส์เป็นพี่สาวของเขา เท็ดไม่รู้ความจริงนี้เลยจนกระทั่งลูกพี่ลูกน้องยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวว่า เขาเมื่อมีอายุได้ราว 10 ปี เป็นที่แน่นอนว่าเรื่องนี้กลายเป็นแผลใจในวัยเด็กของเขาและเท็ดก็ไม่เคยให้ อภัยแม่ที่คลอดเขาออกมาโดยไม่มีพ่อและยังพยายามปิดบังเรื่องนี้อีกด้วย แซม โคเวลผู้เป็นตานั้นเป็นคนอารมณ์ร้าย (นักวิจัยกล่าวว่าเท็ดได้รับลักษณะนี้มาเต็มๆ) มีรายงานว่ามีการใช้กำลังในครอบครัวบ่อยๆ แต่เท็ดก็ไม่เคยถูกใช้กำลัง ตารักและเอ็นดูเขาในขณะที่เท็ดก็เคารพในตัวตาเป็นที่สุดเช่นกัน เมื่อเท็ดอายุได้ 4 ปี มารดาของเขาก็แต่งงานใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็นหลุยส์บันดี้ (เท็ดเปลี่ยนชื่อตามมารดาด้วย) เท็ดเข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้ และรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อต้องอยู่ห่างจากตาผู้เป็นที่เคารพของเขา

ในโรงเรียนนั้น เท็ดเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับท็อปตลอดเวลา แต่พอๆ กับที่ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นเด็กสุภาพ ขี้อาย มีอัธยาศัยดี เพื่อนๆ และครูต่างก็บอกเช่นกันว่าเมื่อเท็ดโกรธ เขาจะกลายเป็นคนก้าวร้าวและใช้กำลังรุนแรง เท็ดแสดงความสนใจในด้านกฏหมายตั้งแต่ชั้นไฮสคูล ในปี 1965 เขาได้ทุนเข้าศึกษาต่อใน University of Puget Sound (ภายหลังคือ University of Washigton) ในสายจิตวิทยาก่อนจะเปลี่ยนเป็นกฏหมายในภายหลัง ผลการเรียนเขาดีเลิศจนอาจารย์ก็ยังชื่นชม และที่นี่เองเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กลายมาเป็นชนวนในการเปลี่ยนชีวิต ของเขา น้องชายของเท็ดกล่าวว่า ถ้าเท็ดไม่ได้พบกับผู้หญิงคนนี้ เขาก็อาจจะไม่ต้องกลายมาเป็นฆาตกรก็ได้ – สเตฟานี่ บรูกส์ เป็นสาวสวยผมยาวจากตระกูลผู้ดีในแคลิฟอร์เนีย หลังจากพบกันในทริปไปสกีหลายครั้ง ทั้งสองก็คบหากันเป็นคนรัก เท็ดหลงไหลในสเตฟานี่มาก หากฝ่ายสเตฟานี่ก็ไม่ค่อยพอใจในตัวคนรักที่ท่าทีหงอๆ และขี้อายเท่าใดนัก หลังจากเรียนจบมหาลัย สเตฟานี่ก็ทิ้งเท็ดกลับไปแคลิฟอร์เนียอย่างไม่ใยดี เขาพยายามดึงความสัมพันธ์กลับมา หากก็ไม่เป็นผล …เท็ดซึ่งโศกเศร้าลาออกจากมหาลัยและทำงานเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงตัวเองไปวันๆ หากก็ไม่มีงานใดทำได้นาน นอกจากนี้เขายังก่อคดีลักขโมยเล็กอีกมากจนแทบจะกล่าวได้ว่า ของใช้รอบตัวในตอนนั้นล้วนเป็นของขโมยมาทั้งสิ้น

เมื่อผ่านพ้นความเศร้ามาได้ เท็ดก็ตั้งปณิธานว่าจะแก้แค้นสเตฟานี่ให้ได้สักวัน การกระทำของเขาหลังจากเหตุการณ์นี้ไปล้วนเกิดจากคอมเพลกซ์ที่เขามีต่อ "ผู้หญิงผมยาวแสกกลาง" – เท็ดพักการเรียนและกลับไปที่ เบอร์ลิงตัน เวอร์มอนต์ บ้านเกิดของเขา ทำงานเป็นเสมียนอยู่ 1 ปี จึงกลับไปศึกษาต่อที่ซีแอตเทิลอีกครั้งและเริ่มมีนัดกับ อลิซาเบธ เคลิพเฟอร์ เลขานุการที่หย่าแล้วและมีบุตรสาวติดมาด้วย 1 คน บันดีจบการศึกษาในปี 1973 – ในตอนนี้บัดดีเริ่มปรับปรุงมารยาทและการแต่งตัว หัดเข้าสังคมและอาศัยคนรู้จักจนเข้าสู่สำนักงานของรองประธานาธิบดี เนลสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ เพื่อการรณรงค์หาเสียงของพรรครีพับลิกัน ในฐานะ ผู้สนับสนุนรองประธานธิบดีร็อคกีเฟลเลอร์ เขาขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน จนสมาชิกพรรคคาดหวังว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นเป็นนักการเมืองได้ เมื่อเขาต้องเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย เขาก็ได้พบกับ สเตฟานี บรูกส์ และกลับมามีนัดกันอีกครั้ง เขาคบหากับเคลิพเฟอร์และบรูกส์ไปพร้อมๆ กัน โดยที่ทั้ง 2 คนไม่รู้เรื่องของอีกฝ่าย – บันดีและบรูกส์ได้ตกลงหมั้นหมายกันเพื่อจะเข้าพิธีสมรส แต่จากนั้นบันดีตัดความสัมพันธ์กับบรูกส์ลงอย่างกลางคัน นี่ก็คงจะเป็นการแก้แค้นที่เขามีต่อเธอนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วคอมเพลกซ์ที่เขามีต่อผู้หญิงผมยาวยังไม่จบอยู่เพียง ตรงนี้ตำรวจเชื่อว่าเท็ดก่อคดีฆาตกรรมตั้งแต่เขาอายุ 15 ปีก็จริง แต่โดยคดีที่ได้รับการยืนยันในศาลนั้นเริ่มขึ้นในปี 1974 (เท็ดอายุ 27 ปี) หลังจากที่เขาเอาชนะสเตฟานี่มาได้

 

ข่มขืนและฆาตกรรม

แอน รูล์ ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติและอาชญากรรมของ เท็ด บันดี ในหนังสือที่มีชื่อว่า The Stranger Beside Me และนักสืบ โรเบิร์ต ดี เคปเพล ผู้เกี่ยวข้องกับคดีของบันดีเชื่อว่าบันดี น่าจะเริ่มฆ่าคนมาตั้งแต่ยังเด็ก โดย แอน แมรี เบอร์ เด็กหญิงวัย 8 ขวบจากเมืองทาโคมาหายตัวไปจากบ้านในปี 1961 ขณะนั้นบันดีอายุ 14 ปี ซึ่งบันดีปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า แอน เบอร์ และ 1 วันก่อนการประหารเขาบอกกับทนายของเขาว่าเขาเริ่มพยายามลักพาตัวผู้หญิงจริงๆ ในปี 1978 ซึ่งอาชญากรรมครั้งแรกที่ถูกยืนยันอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในปี 1974

 

เมื่อเขาอายุได้ 27 ปี – ในวันที่ 4 มกราคม 1974 ภายหลังเที่ยงคืนเล็กน้อยบันดีเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ใต้ถุนของอาคารของ โจนี เลนซ์ อายุ 18 ปี นักศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เขาทุบศีรษะเลนซ์ด้วยท่อนเหล็กเธอนับครั้งไม่ถ้วนขณะที่เลนซ์กำลังหลับ และเสียบท่อนเหล็กเข้าไปในช่องคลอดของเลนซ์ ในตอนเช้าเพื่อนร่วมห้องมาพบในขณะที่เลนซ์กำลังโคมาและนอนจมกองเลือด และราวเหล็กนั้นก็ถูกเสียบอยู่ในช่องคลอดของเธอ เลนซ์รอดชีวิตแต่สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ต้องทรมานกับอาการข้างเคียงทางสมองไปจนตลอดชีวิต

 

เหยื่อรายต่อมาของบันดีคือ ลินดา แอน เฮียลีย์ (21) นักศึกษามหาวิทยาลัยวอชิงตันอีกคนหนึ่ง ในคืนวันที่ 31 ของเดือนเดียวกันบันดีงัดเข้าไปในห้องของเฮียลีย์ ทุบเธอจนหมดสติ ใช้ผ้าปูเตียงห่อร่างของเฮียลีย์และแบกเธอหายไป และใน 1 ปี ให้หลัง ศพของเธอถูกพบในสภาพถูกตัดหัว อย่างน่าสยอดสยอง ต่อมาหลังบัดดีถูกจับกุมเขาสารภาพว่าเขานำเธอไปในป่าและข่มขืนก่อนจบลงด้วย การฆ่า

 

จากตรงนี้ไป บัดดี้ ก็ฆ่าผู้หญิงมาเรื่อยๆ ก็คร่าวๆ แบบเรียงๆ เป็นรายๆ และหายสาบสูญ ดังนี้

 

12 มีนาคม ดอนนา เกล แมนสัน นักศึกษาวิทยาลัยเอเวอร์กรีนสเตท (หายสาบสูญ)

 17 เมษายน ซูซาน แลนคอท นักศึกษาวิทยาลัยเซนทรัลวอชิงตันสเตท (หายสาบสูญ)

 6 พฤษภาคม โรเบอต้า พาร์กส์ นักศึกษามหาวิทยาลัยโอเรกอน (หายสาบสูญ)

 1 มิถุนายน เบลนด้า บอล เป็นผู้หายสาบสูญเพียงคนเดียวที่ตำรวจพบว่าไม่ได้เป็นนักศึกษา

 11 มิถุนายน จอร์เจี้ยน ฮอกกินส์ นักศึกษามหาวิทยาลัยวอชิงตัน (หายสาบสูญ) – พวกเธอทุกคนต่างก็มีผมยาว

 

วันที่ 14 กรกฏาคม 1974 เป็นวันที่บันดีฆาตกรรมหญิงสาว 2 คนในวันเดียวด้วยการลักพาตัวในเวลากลางวัน เจนิซ ออตต์ และ เดนิส เนสรันด์ หายตัวไปจากทะเลสาปซัมมามิช เมืองอิซซาควาห์ รัฐวอชิงตัน มีพยาน 8 คน บอกตำรวจว่าเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีมีเฝือกที่แขนซ้าย เรียกตนเองว่า "เท็ด" ซึ่ง 5 ใน 8 คนนั้นเป็นหญิงสาวที่ถูกขอให้ช่วยยกเรือใบเล็กลงมาจากรถเต่าโฟล์คสวาเกน 1 ใน 5 คนนั้นเดินไปกับ "เท็ด" จนมองเห็นว่าไม่มีเรือใบเล็กอยู่ที่รถโฟล์คสวาเกน จึงปฏิเสธที่จะเดินต่อ พยานที่เหลืออีก 3 คนคือผู้ที่เห็นเขาเข้าพูดกับ เจนิซ ออตต์ เกี่ยวกับเรื่องเรือใบเล็ก และไม่มีใครเห็นออตต์อีกเลย และเนสรันด์หายตัวไปในอีก 4 ชั่วโมงต่อมา …ทั้งสองถูกพบเป็นศพในอีก 1 เดือนให้หลัง

 

คดีนี้โด่งดังไปทั่วอเมริกา มีการประกาศภาพเหมือนตามคำให้การ ขณะนั้นเท็ดทำงานอยู่ในสำนักงานกฏหมายในวอชิงตัน เพื่อนร่วมงานของเขากล่าวอย่างล้อเลียนว่ารูปเหมือนดังกล่าวเหมือนเขาไม่มี ผิด ซึ่งเท็ดก็รับมุขอย่างไม่สะทกสะท้าน – เม็ก อันดาส์ซึ่งเป็นคนรักของเท็ดในตอนนั้นสงสัยว่าเขาเป็นฆาตกรเนื่องจากเธอพบ เฝือกและผ้าพันแผลในที่เก็บของของเขา เม็กแจ้งตำรวจ หากข้อมูลของเธอไม่ได้ถูกใส่ใจนัก ในขณะนั้น เท็ดยังเป็นเพียงหนึ่งในกว่าพันคนที่ถูกแจ้งข้อสงสัยไปยังตำรวจ

 

7 กันยายน 1974 ตำรวจรัฐพบศพของออตต์และเนสรันด์แล้ว แต่บันดีได้เดินทางไปที่ซอลต์เลคซิตี เนื่องจากผู้ว่าการรัฐวอชิงตันสนับสนุนให้เขาได้ไปศึกษาต่อด้านกฏหมาย ที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ บัดดี้ย้ายแหล่งการฆ่าใหม่ยังซอทล์เลคแล้วเนื่องจากเท็ดได้รับการสนับสนุน จากผู้ว่ารัฐให้ไปศึกษาด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยยูท่าห์

 

วันที่ 2 ตุลาคม แนนซี วิลคอกซ์ หายสาปสูญไป จากซอลต์เลคซิตี, วันที่ 18 ของเดือนเดียวกัน แมริซา สมิธ อายุ 17 ปี บุตรสาวของนายตำรวจเมืองมิดเวล รัฐยูทาห์ บิดาของสมิธได้เตือนเธอให้ระวังตัวแล้วหลายครั้ง ซึ่งบันดีฆาตกรรมสมิธด้วยการรัดคอ ข่มขืนเธอทางทวารหนัก ทุบที่ใบหน้าของสมิธหลายครั้ง จนบิดาและมารดาของสมิธจำศพของบุตรสาวไม่ได้, 31 ตุลาคม ลอร่า ไอมี่ หายสาปสูญ ศพของเธอถูกพบในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ใบหน้าและศีรษะถูกทุบด้วยประแจ มีร่องรอยการข่มขืน นอกจากนี้ศพของเธอยังถูกสระผมและได้รับการแต่งหน้าด้วย – แน่นอนว่าทุกคนต่างก็เป็นหญิงสาวผมยาวทั้งสิ้น

 

8 พฤศจิกายน มีชายหน้าตาดีเข้าทักแครอล ดาลอนจ์และบอกว่าเขาเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ เขาบอกว่ามีขโมยพยายามขึ้นรถเธอ หากเมื่อทั้งสองไปถึงรถของแครอลแล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยเสียหายอะไร ตำรวจดังกล่าวขอให้เธอไปโรงพักกับเขาเพื่อทำเอกสารยืนยัน และเมื่อแครอลขึ้นรถของเขา เขาก็เปลี่ยนท่าทีในไม่ช้า เท็ดจอดรถและเอาที่เจาะน้ำแข็งออกมาขู่เพื่อใส่กุญแจมือแครอล หากโชคยังดีที่แครอลเปิดล็อคประตูรถเอาไว้ เธอถีบเท็ดและกระโดดหนีออกมานอกรถ บังเอิญมีรถวิ่งสวนมาพอดี เธอจึงขึ้นรถคันนั้นหนีรอดมาได้ – ในวันเดียวกันนั้น ที่โรงเรียนบิวมอทน์ซึ่งอยู่ห่างออกไป 27 กิโลเมตร – จีน เกรแฮม ครูประจำโรงเรียนถูกชายหน้าตาดีชวนขึ้นรถ หากเธอก็ไม่เล่นด้วย แต่น่าเสียดายที่ลูกศิษย์ของเธอเล่นด้วย เดวี่ เคนท์ขึ้นรถของเท็ดและหายสาบสูญไป

 

พอถึงหน้าสกี เท็ดก็ไปยังโคโรลาโด้

11 มกราคม 1975 คาริน แคมเบล หายสาบสูญ, 15 มีนาคม เจรี่ คานิงกัม หายสาบสูญ, 15 เมษายน เมลานี่ คูรี่ หายสาบสูญ, 1 กรกฎาคม เชอร์รี่ โรเบิร์ตสัน หายสาบสูญ, 4 กรกฎาคม แนนซี่ เบอาร์ด หายสาบสูญ และในขณะเดียวกันที่คดีผู้หญิงผมยาวหายสาปสูญที่ซอลท์เลคก็ยังเกิดขึ้น เรื่อยๆ เขาฆ่าไปเรื่อยๆราวกับ ไม่รู้จักเบื่อ น่าแปลกที่มีเหยื่อซึ่งรอดมาได้โดยเห็นหน้าของเขาแท้ๆ แต่การสืบหาตัวเขากลับไม่มีการคืบหน้า – นักวิจัยกล่าวว่าเท็ดเป็นคนหน้าตาดีก็จริง หากก็ไม่มีเอกลักษณ์อะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนแบบเสื้อ ไว้หนวดเคราเสียหน่อยก็ไม่มีใครจำหน้าเขาได้แล้ว

 

การจับกุมเท็ดนั้นเกิดขึ้นโดยความบังเอิญแท้ๆ

16 สิงหาคม 1975 นายตำรวจซึ่งค้นรถของเท็ดซึ่งขับรถผิดกฏจราจร พบที่เจาะน้ำแข็ง หน้ากากสกี เชือกหลายเส้นและกุญแจมือตรงตามคำให้การของแครอล ดาลอนจ์ ในตอนนี้เท็ดเพียงแต่จ่ายค่าปรับและถูกปล่อยตัวไป หากตำรวจก็เชื่อว่าเขาเป็นคนร้ายในคดีของแครอล และเมื่อทำการสืบสวนจึงเพิ่งได้รู้ว่าเท็ดอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในวอชิงตันและโคโรลาโด้ด้วย และโดยความร่วมมือของแครอลและจีน เท็ด บันดี้ ก็ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการในคดีวางแผนลักพาตัวแครอลนี่เอง เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและลงโทษจำคุก 1-15 ปี

หากตำรวจก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น คดีฆาตกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ถูกนำมาสืบสวน และก็พบเส้นผมของแมริสซ่า สมิธและคาริน แคมเบลในรถของเท็ด รวมทั้งประแจซึ่งน่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ในการฆ่าคารินอีกด้วย – เท็ดแสดงความไม่พอใจในทนายซึ่งว่าความให้เขา และตัดสินใจจะว่าความให้ตัวเอง เขานำตำรากฏหมายมากองบน โต๊ะในศาลเหมือนจะประกาศว่าตัวเองนี่แหละคือทนาย และการที่เขาเป็นทนายด้วยตัวเองนี่เองทำให้เขามีอิสระในระดับหนึ่ง เท็ดรอจะอาศัยโอกาสนี้

7 มิถุนายน 1977 เท็ดเข้าไปใช้ห้องสมุดของที่คุมขัง เมื่อกุญแจมือและเท้าของเขาถูกไขออก เขาก็เปิดหน้าต่างและกระโดดลงมาจากความสูง 9 เมตรหนีออกจากที่คุมขังไปได้ แล้วชื่อของเท็ด บันดี้ก็โด่งดังไปทั่วอเมริกาในชั่วข้ามคืน เสื้อยืดบันดี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และมีกระทั่งบันดี้แฮมเบอร์เกอร์ออกมาวางขาย ( แฮมเบอร์เกอร์ที่มีแต่ขนมปัง เพราะไส้หนีไปแล้ว

6 วันให้หลังเขาถูกจับหลังจากขโมยรถเพื่อมุ่งไปยังซีแอทเทิ่ล

30 ธันวาคม หลังจากที่เท็ดถูกตัดสินว่าจะส่งต่อคดีของเขาไปยังศาลที่สปริงส์ (มีชื่อว่าตัดสินโทษประหารมาก) เขาก็แหกคุกอีกครั้ง เขาลดน้ำหนักลง 16 กิโลกรัมจนสามารถลอดช่องกรงเหล็กที่ถูกง้างออกไปสู่อิสรภาพอีกครั้งและมุ่ง ไปยังฟลอริด้า …ในครั้งนี้ เท็ดตั้งใจว่าจะล้างมือจากอาชญากรรมและกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ เขาเช่าห้องด้วยชื่อปลอมและเข้าไปเตร็ดเตร่ในมหาลัย กระทั่งเข้าเรียนในชั้นเรียนด้วยแต่สุดท้าย เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้และกลับมาก่อคดีอีกครั้ง

 

 

15 มกราคม 1978 นิต้า เนียลี่ นักศึกษามหาวิยาลัยประจำรัฐฟลอริด้า เพิ่งจะบอกลาคนรักกลับมายังหอพักหญิงไกโอเมก้า เธอเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าหอ ในมือกุมท่อนไม้ซึ่งมีผ้าพันอยู่ และขณะที่เธอกำลังจะโทรแจ้งตำรวจนั่นเอง คาเรน แชนเดอร์ก็โซเซออกมาขอความช่วยเหลือทั้งๆเลือดโทรมหน้า และคาธี่ เคลนก็ถูกพบหมดสติในสภาพศีรษะแตกจนเลือดท่วมใบหน้า, มาร์กาเร็ต โบว์แมนเสียชีวิตเนื่องจากถูกรัดคอด้วยถุงน่อง เธอถูกทุบที่ศีรษะจนกระโหลกแตกและสมองทะลักออกมา, ลิซ่า เลวี่ถูกข่มขืน มีรอยกัดที่เห็นได้ชัดเหลืออยู่บนร่างของเธอ เธอถูกรัดคอเช่นกันและเสียชีวิตในรถพยาบาล – เพียง 1 ชั่วโมงครึ่งหลังการโจมตีหอพักหญิงไกโอเมก้า ที่หอพักหญิงอีกหลังซึ่งอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่บล๊อก เด็บบี้ ซิคคาเรลลี่ ตื่นขึ้นเนื่องจากเสียงเอะอะจากห้องข้างๆ เมื่อเวลาประมาณ 5.00 น.ในตอนเช้า มีเสียงทุบอะไรบางอย่างดังติดต่อกันเป็นเวลานาน หากเมื่อโทรศัพท์ไปก็ไม่มีผู้รับ เธอและรูมเมทจึงรีบไปยังห้องข้างๆ ทันที เชริล ทอมป์สัน ยังไม่ตาย เธอถูกข่มขืนและทุบที่ศีรษะกับใบหน้าจนเยินไปหมด ในที่เกิดเหตุพบหน้ากากสกีของคนร้ายซึ่งมีเลือด อสุจิ รอยนิ้วมือและเส้นผมของคนร้ายติดอยู่ด้วย

 

9 กุมภาพันธ์ คิมเบอร์ลี่ ลีช (12) หายสาปสูญ มีคำให้การว่าเธอขึ้นรถไปกับชายแปลกหน้าซึ่งขับรถแวนสีขาว คิมเบอร์ลี่ถูกพบเป็นศพเน่าในอีก 8 อาทิตย์ให้หลัง เธอถูกข่มขืนและทุบศีรษะจนเสียชีวิต

หลังจากฆ่าคิมเบอร์ลี่แล้ว เท็ดก็ขโมยรถอีกคันเพื่อมุ่งหน้าไปยังซีแอทเทิ่ลหากก็ถูกตำรวจตามเจอเสีย ก่อน เขาและตำรวจขับรถไล่ล่าไปตามถนนก่อนตำรวจจะหยุดรถของเท็ดลงได้ เท็ดยกมือทั้งสองเหมือนยอมจำนน หากเมื่อตำรวจจะใส่กุญแจมือ เขาก็ขัดขืนทำร้ายตำรวจ 2 คนเพื่อหาทางหนี แต่ท้ายที่สุดก็ถูกตำรวจอีกหลายนายช่วยกันรวบตัวไว้ได้

 

             (ภาพของเท็ดบันดี้ขณะขึ้นให้การในศาล)

การขึ้นศาลของเท็ดถูกถ่ายทอดสดไปทั่ว ประเทศ เขากางตำรากฎหมายว่าความสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยตัวเอง มีบันทึกว่าเท็ดอยู่ในศาลราวกับเป็นเวทีของเขาก็ไม่ปาน เขาหัวเราะ โกรธและโวยวายตามแต่ใจนึก และเมื่อมีการนำรอยฟันบนศพของลิซ่า เลวี่ (เป็นหลักฐานสุดท้ายที่มัดตัวเท็ดไว้ได้) ขึ้นเสนอต่อศาล เท็ดก็เก็บตำราของเขาขึ้นพร้อมกับจะเดินออกไปจากศาล

 

 "ผมไม่ทนเล่นละครกับพวกคุณล่ะ"

 

23 กรกฎาคม 1979 เท็ดถูกตัดสินว่ามีความผิดและลงโทษประหารชีวิต ผู้พิพากษาคาวาร์ดได้กล่าวกับเขาในศาลไว้ในตอนท้ายเช่นนี้ "รักษาสุขภาพด้วย ศาลเองก็รู้สึกเสียใจที่ต้องทิ้งความสามารถอันมีค่าไปอย่างนี้ เธอเป็นคนหนุ่มที่เฉลียวฉลาด น่าจะเป็นนักกฏหมายที่ดีได้ จะดีแค่ไหนถ้าเธอยืนอยู่ที่นี่ในฐานะทนายของศาลจริงๆ แตขอให้เชื่อเถอะว่าฉันไม่เคยนึกชิงชังเธอเลย เพียงแต่ว่าเธอทำผิดทางไปเท่านั้นเอง รักษาตัวด้วยล่ะ" ระหว่างอยู่ในคุก เท็ดได้พยายามขอยื่นคำร้องเพื่อทบทวนคดีใหม่หลายครั้ง (เขาเคยเสนอตัวช่วยในการสืบสวนคดีกับตำรวจด้วย) หากทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธ

 

24 มกราคม 1989 เท็ด บันดี้ ถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวการประหารของเขาว่า "Killer dies with a smile on his face"

และนี่ก็คือส่วนหนึ่งจากคำพูดก่อนการประหารของเขา

 

"… I deserve, certainly, the most extreme punishment society has and society deserves to be protected from me and from others like me, that’s for sure."

 

เท็ด บันดี้ หลังจากถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า

 

 

 

 

Credit: http://atcloud.com/stories/94236
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...