คาเรน วู...อีกแสงหนึ่งแห่งศรัทธาที่ดับวูบลงในอัฟกานิสถาน

เรื่องราวของแพทย์สาวชาวอังกฤษนามว่า คาเรน วู ผู้ซึ่งเป็นหนึ่ง

ในเหยื่อที่ถูกสังหารในประเทศอัฟกานิสถานเมื่อสัปดาห์ก่อน

โดยกลุ่มตาลิบันซึ่งอ้างว่า เหยื่อเหล่านี้เป็นสายลับให้ประเทศอเมริกา

และพยายามเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์

แต่ทว่า ครอบครัว และเพื่อนฝูง รวมทั้งคนรู้จักของคุณหมอคาเรน

ได้ออกมาปฏิเสธคำกล่าวหาดังกล่าว และยืนยันว่า คุณหมอคาเรน

ได้เสียสละเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่นั่น ด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้น และสมควรได้รับการยกย่อง

ให้เป็นวีรสตรีอีกคนหนึ่ง





การจากไปของคุณหมอ ก่อนวันวิวาห์ของเธอเพียงแค่สองอาทิตย์ 

ไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียต่อครอบครัวและคู่หมั้นอันเป็นที่รักของเธอ

เท่านั้น แต่ยังทำให้โลกใบนี้ขาดคนดีไปอีกหนึ่งคนและเพื่อนมนุษย์

ที่ด้อยโอกาสในถิ่นธุรกันดาร ก็ต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือ

จากคุณหมอไปด้วย ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจของสาวหัวใจงามคนนี้

ได้ที่นี่เลยค่ะ 









เครดิต  คุณ

Natayaa


http://mblog.manager.co.th/natayaa/th-101776/

 


ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคุณหมอ คาเรน วู ผู้ซึ่งได้จากโลกนี้

ไปด้วยวัยเพียงแค่ 36 ปี จากการถูกสังหารในประเทศอัฟริกานิสถาน

กันก่อนเลยค่ะ


ย้อนกลับไปในวัยเยาว์ คุณหมอสาวชาวอังกฤษคนนี้

เติบโตมาจากเมือง Stevenage ในเขต Hertfordshire ยามแรกรุ่น

เธอใฝ่ฝันอยากเป็นนักเต้นรำ ก่อนตัดสินใจหันเห มาเรียนแพทย์

เมื่ออายุ 22 ปี  และออกมาเป็นหมอผ่าตัดให้กับโรงพยาบาล

St Mary ในเขต Paddington ทางตะวันตกของลอนดอน เป็นเวลาห้าปี


 

และงานล่าสุดก่อนออกมาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคน

คุณหมอทำงานในตำแหน่ง ผู้อำนวยการด้านการรักษาพยาบาล

ให้กับบริษัทบูพา ด้วยเงินเดือนสูงถึงหกหลัก

(ถ้าแปลงเป็นเงินไทยก็น่าจะเกินหกหลักล่ะค่ะ)

 

 

คุณหมอตัดสินใจทิ้งเงินเดือนมากมาย ออกมาช่วยเหลือผู้คน

ทั้งในประเทศอัฟริกาใต้ ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี ทรินิแดด

และ โทบาโก ซึ่งในแต่ละประเทศที่คุณหมอไปทำงานให้

คุณหมอมักจะเลือกเข้าไปทำงานในถิ่นธุรกันดารตลอด

จนกระทั่งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว คุณหมอก็ตัดสินใจไปช่วยเหลือคน

ในถิ่นธุรกันดารที่ประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นที่ที่คุณหมอหลงรัก

ทั้งสถานที่ และผู้คน


ต่อมาในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เธอก็ได้ย้ายไปที่ Kabul เมืองหลวง

ของอัฟกานิสถาน เพื่อทำโครงการหนังสารคดีเกี่ยวกับ

ระบบสาธารณสุขท้องถิ่นของที่นั่น

 

 


 

ในระหว่างนี้ คุณหมอคาเรน วู ก็ยังคงทำงานเพื่อคนชนบท

และสามอาทิตย์ก่อน คุณหมอกับเพื่อนร่วมทีม ก็ได้เดินทาง

ไปยัง หมู่บ้าน Nuristan ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Kabul

เป็นระยะทางประมาณ 120 ไมล์

 

โดยการเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องอาศัยทั้งทางรถ

การขี่ม้า และการเดินเท้า เพื่อนำอุปกรณ์ทางการแพทย์

และยารักษาโรคเข้าไปช่วยเหลือผู้คนในถิ่นธุรกันดาร

ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ

 

หมู่บ้าน Nuristan ตั้งอยู่บน หุบเขา Hindu Kush ซึ่งอยู่ห่างไกล

และธุรกันดารมากๆ ขนาดที่ กองทัพอเมริกา ยังไม่กล้าเข้าไป

เพราะอันตรายเกินไป แถมหน้าหนาว ยังมีหิมะปกคลุมทั่วยอดเขา

ที่มีความสูงราว 16,000 ฟุต อีกด้วย



และหนึ่งเดือนก่อนที่คุณหมอและทีมงานจะเดินทางเข้าไปนั้น

ได้มีรายงานข่าวว่า มีกลุ่มตาลิบันประมาณ 700 คน และกลุ่ม

กองกำลังต่างชาติที่ข้ามฝั่งมาจาก ปากีสถาน ได้เข้าสู้รบกับตำรวจ

ท้องถิ่น เพื่อหวังจะเข้าครอบครองพื้นที่แถบนี้ ซึ่งผู้ร่วมงานหลายคน

ก็ได้ขอร้องให้คุณหมอ คาเรน วู และเพื่อนร่วมทีม ยกเลิกการเดินทาง

เข้าไปช่วยเหลือคนที่นั่นไปก่อน แต่คุณหมอกลับไม่ยอม

และมั่นใจว่า เธอจะเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย



ต่อมาในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เธอก็ได้ย้ายไปที่ Kabul เมืองหลวง

ของอัฟกานิสถาน เพื่อทำโครงการหนังสารคดีเกี่ยวกับ

ระบบสาธารณสุขท้องถิ่นของที่นั่น

 


 

แต่มันก็ไม่เป็นไปอย่างที่คุณหมอหวังไว้ เมื่อมีรายงานข่าวว่า

พบร่างอันไร้วิญญาณของคุณหมอและเพื่อนร่วมอุดมการณ์

ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ 8 คน และ ชาวอัฟริกันนิสถานอีก 2 คน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ไม่พบทรัพย์สินและหนังสือเดินทางใดๆ

ทั้งสิ้น เข้าใจว่า คงโดนขโมยไปหมดแล้ว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่คุณหมอและทีมงานดังกล่าว

เดินทางด้วยรถคุ้มกันผ่านเมือง Badakhshan

เพื่อกลับไปยัง เมือง Kabul เมื่อวันพุธที่ผ่านมา


 

ตำรวจท้องถิ่นกล่าวว่า ได้มีล่ามที่ชื่อ Saifullah ซึ่งหนีรอดมาได้...

ได้บอกเล่าเหตุการณ์ว่า มีกลุ่มตาลิบันซึ่งติดอาวุธ ประมาณ 10 คน

ได้ทำการเข้าปล้น และจับเหยื่อยืนเรียงกัน ระหว่างนั้นเขาก็ได้

คุกเข่าลงสวดคัมภีร์อัลกุรอาน และร้องขอชีวิตเอาไว้

พวกมือสังหารจึงเว้นเขาเอาไว้หนึ่งคน จากนั้นก็หันไปกราดยิง

เหยื่อคนอื่นๆ อย่างเลือดเย็นทีละคน

 

และนั่นก็เป็นข่าวร้าย ทำลายหัวใจใครหลายคน

ที่ต้องสูญเสียคนดีไปอีกครา....

 


 

ครอบครัวของคุณหมอคาเรน วู  ยืนยันว่า คุณหมอเป็นคนชอบช่วย

เหลือคน เธอพยายามจะทำให้โลกรู้ว่า นอกเหนือจากสงคราม

ที่เกิดขึ้นที่นั่นแล้ว ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ

เรื่องการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง เธอจึงตัดสินใจ

เข้าร่วมทีมแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือและรักษาพยาบาล

ให้กับคนยากไร้ในถิ่นธุรกันดารในประเทศที่ระอุไปด้วยไฟสงคราม

แห่งนี้

ครอบครัวของเธอบอกว่า ไม่ใช่ว่า เธอไม่กลัว แต่ทว่า ความกลัวนั้น

ไม่สามารถขัดขวาง ความตั้งใจจริงของเธอ ที่ต้องการจะช่วยเหลือ

เพื่อนร่วมโลกไปได้ เธอหวังว่า ความสามารถของเธอ

และสิ่งที่เธอตั้งใจจะทำนั้น คงจะช่วยให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงไป

ในทางที่ดีขึ้นได้บ้าง...ไม่มากก็น้อย


ครอบครัวของคุณหมอคาเรน วู กล่าวไว้อาลัยให้กับคุณหมอว่า

พวกเขาภูมิใจในตัวคุณหมอ และสิ่งที่คุณหมอได้ทำลงไป

เป็นอย่างมาก...คุณหมอคาเรนผู้ซึ่งมีพร้อมทั้งความฉลาด

ความสดใสสวยงาม...จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน

ที่ได้รู้จักคุณหมอตลอดไป...

 


 

ครอบครัวของคุณหมอบอกว่า เธอได้ทดลองทำอะไรมาแล้ว

มากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น นักเต้นรำ สตันท์ที่เดินบนปีกเครื่องบิน
 
นางแบบ จนมาเป็นหมอ และ แพทย์อาสา

 

ไม่ว่าจะเป็นอะไร คุณหมอก็ได้ทำทุกอย่างตามความตั้งใจ

ที่ดีแล้ว

 

พวกเขาเชื่อว่า ความดีที่คุณหมอคาเรนได้ทำเอาไว้ จะยังคงอยู่

ในความทรงจำของคนข้างหลัง และเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ

กับผู้อื่น เพื่อสานต่อความตั้งใจ ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ด้วยความรัก ความเมตตา มากกว่า ที่จะเกลียดชังกัน

หรือ ทำร้ายกันด้วยความรุนแรง

 

 

นอกจากครอบครัวของคุณหมอที่ต้องสูญเสียแล้ว

ยังมีอีกคนที่หัวใจสลายและกำลังบอบช้ำอย่างที่สุด

นั่นคือ คู่หมั้นของคุณหมอคาเรน นามว่า มาร์ค แพดดี้ สมิธ

เขาได้กล่าวกับบีบีซี ว่า คุณหมอเป็นบุคคลพิเศษที่ไม่สามารถ

จะพบเห็นได้ทั่วไปในโลกปัจจุบันนี้ เธอเป็นคนใจดี มีความรัก

และความห่วงใยให้กับผู้อื่นเสมอมา

 

"ผมคงคิดถึงเธอไปตลอดชีวิต ใครก็ตามที่ได้พบเจอกับเธอ

อดไม่ได้ที่จะยิ้มไปกับเธอ เธอทำให้ผู้คนได้สัมผัสถึงความสุข

ได้จริงๆ"

 

 

 

"ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน เวลาใด เธอก็พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้คน

ได้ตลอดเวลา หากคุณกำลังมองหาใครสักคนที่จะพอไว้ใจได้

และไม่ทำให้คุณผิดหวัง เธอคนนี้นี่แหละที่จะให้สิ่งเหล่านี้กับคุณได้"

 

"เธอชอบช่วยเหลือผู้คนโดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรถ์

หรือกำลังจะคลอดลูก ในถิ่นธุรกันดาร เพราะเธอพบว่าผู้หญิงเหล่านี้

มักจะสูญเสียลูกไปในระหว่างการคลอด เพราะขาดเครื่องมือ

และทีมแพทย์ที่จะให้ความช่วยเหลือ"

 

มิสเตอร์สมิธ คู่หมั้นของคุณหมอคาเรนกล่าวถึงคุณหมอ

อย่างอาลัยอาวรณ์....แต่อะไรก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับการสูญเสีย

ว่าที่เจ้าสาวของเขาไปก่อนวันครบกำหนดแต่งงาน

แค่เพียงสองอาทิตย์

 

 

 

Mark Von Koeppen เพื่อนของคนคู่นี้กล่าวว่า

ตอนนี้ คนที่สมิธผู้ซึ่งหัวใจสลาย กำลังพยายามทำใจให้ผ่านเรื่องราว

อันแสนร้าวรานนี้ไปให้ได้ แต่ดูเหมือนมันช่างยากเย็น

สำหรับเขาเสียเหลือเกิน...


 

นอกจากนี้ Mark ยังบอกเล่า เรื่องราวความรักของคุณหมอ

กับคู่หมั้น ว่า ทั้งคู่เจอกันในอัฟกานิสถานโดยบังเอิญ...

เมื่อตอนที่ มิสเตอร์สมิธ ได้ช่วยเธอขนกระเป๋าและสัมภาระ

ออกจากเครื่องบินในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จากนั้นทั้งคู่

ก็แลกเบอร์โทรศัพท์ และติดต่อกัน จนตกลงใจเป็นคู่รักกัน

ในเดือนต่อมา

และมันเป็นเหมือนรักแรกพบในสนามรบเลยทีเดียว

เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ประเทศนี้กำลังมีสงครามกันอยู่ ดังนั้นเรื่องราว

หวานแหววในการออกเดท อาจจะไม่ค่อยมีมากมาย เท่ากับ

ความรักแท้ที่ทั้งคู่มีให้ต่อกัน และเป็นกำลังใจให้กันและกัน

ในการทำงานช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

 


 

คู่หมั้นของคุณหมอกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "มันอาจจะดูเป็น

ความสัมพันธ์ที่ไม่หวานแหวว เหมือนคู่อื่นๆ เพราะว่ามันคงไม่มี

อะไรที่ดูธรรมดาในประเทศสงครามอย่าง อัฟริกานิสถานหรอก

แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่บอกเราสองคนได้ว่า เราต่างก็ได้พบ

ในสิ่งที่เรากำลังค้นหาอยู่ และเราก็เกิดมาเพื่อกันและกัน"

 

"พวกเราวางแผนจะบินกลับไปลอนดอนอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า

เพื่อจัดพิธีแต่งงานกันที่เชลซี แต่คู่หมั้นของผมก็ต้องมาจากไป

เสียก่อนที่จะถึงวันสำคัญของเราทั้งสอง"

 



คราวนี้ลองไปฟังความคิดเห็นที่มีต่อคุณหมอ จากเพื่อนๆ ของเธอ

 

เริ่มกันด้วยHeidi Kingstone นักข่าวอิสระและเป็นเพื่อนของคุณหมอ

บอกว่า คุณหมอเป็นคนร่าเริง แจ่มใส ชอบพูดจาสนุกสนาน

จนบางทีหลายคนก็ลืมไปเลยว่า เธอเป็นคุณหมอที่ต้องเคร่งเครียด

จากหน้าที่การงาน นอกจากนี้เธอยังเป็นคนฉลาดมากๆ

และมีความสามารถอย่างสูงส่ง แต่เธอกลับทำตัวตามสบาย

และบางทีก็ดูเป็นสาวน่ารักกุ๊กกิ๊กอีกต่างห่าง

 

สองสามเดือนก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิต เธอกับแพดดี้ คู่หมั้น

วางแผนงานแต่งงานกันอย่าง และนับวันรอวันนั้นกันอย่างตื่นเต้น

ทั้งสองเป็นคู่รักที่เหมาะสม และน่ารักมาก และทั้งคู่ก็วางแผนว่า

จะมีครอบครัวเล็กๆ น่ารักๆ ปักหลักอยู่ใน Kabul เพื่ออยู่ช่วยเหลือคน

ต่อไป


จริงๆ แล้ว คาเรนเองเธอก็รู้ว่า การเดินทางครั้งนี้มันอันตรายแค่ไหน

และมีอยู่วันหนึ่งเมื่อฉันคุยกับเธอเรื่องงานแต่งงาน

อยู่ๆ เธอก็ปรารถออกมาว่า ''ถ้าฉันได้กลับมานะ

 

 

มาที่ Richard Dunwoody แชมป์จ๊อกกี้ เพื่อนอีกคนของคุณหมอ

ซึ่งทั้งคู่เจอกันตอนงานการกุศลในลอนดอน โดยคุณหมอประมูล

ชนะคอร์สเรียนขี่ม้ากับเขา(เพื่อนำเงินไปช่วยการกุศล)

จากนั้นทั้งสองก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน และได้อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน

ใน เมือง Kabul เมื่อตอนเขามาร่วมทำหนังด้วยกัน


 

''ผมตกใจและเสียใจมากที่ได้ข่าวการจากไปของคาเรน

เธอเป็นคนที่มีพลังและความฝันในการที่จะได้ช่วยเหลือผู้คน

อยู่ตลอดเวลา ในระหว่างที่ผมมาอาศัยอยู่ด้วย เธอและแพดดี้คู่หมั้น

ดีกับผมมากๆ พวกเขาดูแลผม และพาผมไปชมเมือง ผมจำได้ว่า

เมื่อตอนเดือนมิถุนายน พวกเรายังฉลองวันเกิดให้เธออยู่เลย

เราทำอาหารจีนกินกัน และร้องคาราโอเกะร่วมกัน ถือเป็นอีกหนึ่งวัน

ที่มีความสุขกับเพื่อนที่ดีอย่างเธอ วันนี้ผมเสียใจอย่างสุดซึ้ง

ในการจากไปของเธอ แต่คนที่แย่กว่าผม ก็คงไม่พ้นแพดดี้

คู่หมั้นของเธอ เขาคงเป็นคนที่หัวใจสลายมากที่สุด

 



Firooz Rahimi ผู้ร่วมจัดตั้งมูลนิธิ Bridge of Afganhistan กล่าวว่า

เธอยอมทิ้งชีวิตที่สุขสบายในอังกฤษ เพื่อมาสร้างคุณภาพชีวิต

ให้กับผู้คนในถิ่นธุรกันดารที่นี่ สิ่งที่เธอทำลงไป

มันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตผู้คนที่นี่มาก

และพวกเขาจะจดจำความดีครั้งนี้ของเธอไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์......




คาเรน วู...เธอเป็นแสงแห่งศรัทธาที่จะนำพา ความเปลี่ยนแปลง

ของผู้คนที่ยากไร้ และอยู่ห่างไกลความเจริญ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้

ช่างน่าเสียดายที่วันนี้พวกเราต้องสูญเสียเธอไป......



และ สุดท้ายนี้ขอให้คนดีอย่างคุณหมอได้หลับพักผ่อนให้สบาย

สิ่งสุดท้ายที่พวกเราจะไม่ลืม คือหัวใจงามๆ ของคุณหมอ

ขอบคุณแทนผู้ยากไร้ทั้งหลาย และจะอยู่ในใจผู้คนที่ได้รับรู้

เรื่องราวของคุณหมอตลอดไป ไม่มีวันจางหาย.....

Credit: http://atcloud.com/stories/86816
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...