10 ผู้มีอิทธิพลต่อจิตใจของชาวโลกๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า??

10 ผู้มีอิทธิพลต่อจิตใจของ ชาวโลกๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า??

 

                เราได้ทำการรวบรวมบุคคลและสิ่งของที่มีพลังอำนาจ ลึกลับ พลังนี้สามารถจักจูงผู้ชายและผู้หญิงให้คล้อยตามมันได้อย่างไม่มีการโต้ แย้งๆ และเจ้าบุคคลและสิ่งของนั้นต่างได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างล้นหลาม  เพราะอะไรกันแน่ทำไมพวกเขาถึงมีอำนาจแบบนี้ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้พวกเขาไม่มีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า วันนี้เรามาดู 10 อันดับที่ว่านั้นก็เถอะ

                (เนื้อหา เอามาจาก http://listverse.com/2008/11/03/top-10-influential-people-who-never-lived/ แต่ ว่าเอามาแค่อันดับเท่านั้นเพราะเขาไม่ได้บอกเจาะลึกอะไรเท่าไหร่ ผมเลยเพิ่มเอาข้อมูลหลายๆ ที่มาประกอบและดัดแปลงให้คนอื่นได้รู้กัน)

               

                อันดับ 10 ซานตาคลอส(Santa Claus)

               

                http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/12/K4990457/K4990457.html

                ซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลัส (SAINT NICHOLAS)   ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็ก ๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา ( Bishop of Myra  ไมราปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี) ซึ่งมีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็ก ๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา และประเพณีได้เผยแพร่ไปทั่วสหรัฐและทั่วโลกในเวลาต่อมา และเพี้ยนจาก นักบุญนิโคลัส  มาเป็น"ซานตาคลอส" และเริ่มมีจินตนาการอินเมดโดยวางให้ซานตาครอสเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น

                แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดงนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับวันคริสต์มาสเลย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ มีอินเมดแบบนี้ก็เนื่องมาจาก ในค.ศ. 1931 ชาวสวีเดนชื่อ แฮดดอน ซันด์บลอม (Haddon H. Sundblom) นำภาพ วาดของซานตาคลอสของเจนนี ไนสตรอมที่สวมชุดสีเขียวสลับแดง มาเป็นสวมชุดขาวแดงทั้งชุด อันเป็นสีเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโคคา-โคล่า โดยมีกวางเรนเดียร์เป็นพาหนะประจำตัว ส่วนความคิดที่ว่าซานตาคลอสเข้าบ้านทางปล่องไฟเริ่มขึ้นในค.ศ.1822 เมื่อคลีเมนต์ มัวร์ ( Clement C. Moore) นักคิด ชาวอเมริกัน ประพันธ์บทกลอนชื่อ "เมื่อนักบุญนิโค ลัสมาเยี่ยมเยือน

 

                อันดับ 9 บาร์บี้ (Barbie)

               

                http://student.nu.ac.th/honey/barbie/Templete.asp

                ตุ๊กตาบาร์บี้ หนึ่งในของเล่นที่ยึดครองหัวใจของเด็กหญิงทั่วโลก มา นานหลายทศวรรษ นับแต่ ปี ค.ศ.1959 เป็นต้นมา บาร์บี้ได้รับการ ศัลยกรรมปรับเปลี่ยนโฉมหน้ามาแล้วถึง 4 ครั้ง คือในปี 1967, 1977, 1992 และ 1999 บาร์บี้ถือสัญชาติอเมริกัน มาประมาณ 46 ปีแล้วโดยครอบครัวแฮนด์เลอร์-นางรูท แฮนด์เลอร์ เจ้าของบริษัท แมทเทล ซึ่งได้แนวความคิดที่จะผลิตตุ๊กตาสำหรับ เด็กโตในรูปแบบ 3 มิติ จาก บาร์บาร่า ลูกสาวของเธอขณะที่บาร์บาร่ากำลังนั่งเล่นตุ๊กตากระดาษ และได้ตั้งชื่อตุ๊กตาตามชื่อของลูกสาวว่า บาร์บี้ หรือในชื่อเต็มว่า บาร์บี้ มิลลิเซ็น โรเบิร์ท (Barbie Millicent Roberts) นับจากวันนั้นตุ๊กตาบาร์บี้ ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน(บาร์บี้มีอายุกว่า 50 ปีแล้ว)

                บาร์บี้นั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจต่อเด็กสาวทั่วโลกมาก ถึงขนาดมีการวางโครงเรื่องเกี่ยวกับบาร์บี้โดยเฉพาะ วันเกิดของตุ๊กตาบาร์บี้ คือวันที่ 9 มีนาคม(ความจริงบาร์บี้ เป็นสาวราศีสิงห์) บาร์บี้แต่งงานกับเคน(และหย่า) บาร์บี้คลอดลูก บาร์บี้มีน้องเป็นต้น สำหรับคนรักบาร์บี้ถึงขั้นมีการซื้อขายตุ๊กตารุ่นหายากในราคาสูง มีการแต่งตัวให้เหมือน ไปจนถึงขั้นทำศัลยกรรมให้เหมือนบาร์บี้อีกด้วย  

 

                อันดับ 8 โรบินฮู้ด(Robin Hood)

               

                เป็นเรื่องเล่าของอังกฤษที่ เล่ากันว่าโรบินฮู้ดเป็นฮีโร่ในศตวรรษที่ 12 ที่ อาศัยอยู่ในป่าเชอร์วู้ดกับเพื่อนๆเพราะหนีการจับกุมของเจ้าชายจอห์น กษัตริย์ที่โหดร้าย โดยเจ้าชายจอห์นนั้น ฉวยโอกาสตอนที่กษัตริย์ริชาร์ดไปรบโกงเอาเงินของประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยเอง โรบินฮู้ดจึงคอยดักปล้นคนรวยๆที่โกงเงินชาวบ้าน เอาเงินที่ปล้นได้มาแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน กิตติศัพท์ของโรบินฮู้ด รู้ไปถึงหูของกษัตริย์ริชาร์ด เมื่อยามที่โรบินฮู้ดถูกพวกสมุนของเจ้าเมืองตามจับ กษัตริย์ริชาร์ดจึงมาช่วยได้ทันเวลา และแต่งตั้งโรบินฮู้ด และเพื่อนๆเป็นทหารเพื่อปกป้องประชาชนต่อไป ต่อมาโรบินฮู้ดจึงที่กลายเป็นสัญลักษณ์จอมโจรคุณธรรมที่ปล้นเงิน คนรวยมาแจกจ่ายคนจน

                เรื่อง ราวของโรบินฮู้ดรู้จักกันทั่วโลก แต่นักประวัติศาสตร์ไม่ค่อยแน่ใจว่าโรบิน ฮู้ด มีมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ความเป็นไปได้น่ะมีอยู่ แต่ก็ยังไม่มีใครหาหลุมฝังศพของวีรบุรุษสุดเท่คนนี้พบเสียทีหรือว่ามันจะ เป็นแค่ตำนาน แต่จากการสันนิษฐานว่ากันว่าโรบิน ฮู้ดเป็นชายที่อาศัยอยู่ในเวคฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ในปี 1290 และต่อสู้กับกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 2 เพื่อเจ้านายของเขาแต่ต้องพ่ายแพ้และหนีเข้าป่าบาร์นเดล ซึ่งถนนเกร์ทนอร์ทตัดผ่าน ซึ่งเหมาะแก่การตัดปล้น และสิ้นสุดในปี 1429 ซึ่งไม่รู้จะเป็นโรบิน ฮู้ดหรือไม่ ??

 

                อันดับ 7 คาวบอย (cowboy)

               

                โลกรู้จักคาวบอยผ่านทางแผ่นฟิล์ม ของฮอลลีวู้ดตั้งแต่สมัยยังเป็นหนังเงียบ....ด้วยเสน่ห์ของคาวบอยอยู่ที่ ความเป็นนักสู้ผู้กล้า ทั้งกับธรรมชาติที่เกรี้ยวกราดและความอยุติธรรมที่มนุษย์กดขี่กันเอง คาวบอยจึงเป็นตำนานหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

                คาวบอย ถ้าเป็นเพศหญิงจะ เรียกว่า คาวเกิร์ล (cowgirl) คือคนที่มีอาชีพเกี่ยวกับปศุสัตว์ เลี้ยงวัว ม้า ในฟาร์มปศุสัตว์ ในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับคำจำกัดความของอาชีพคาวบอย บ้างก็เจาะจงที่เลี้ยงม้า เพิ่มเติมมาคือการทำงานในฟาร์มปศุสัตว์ การต้อนสัตว์ คาวบอยบางคนก็ทำแค่ต้อนสัตว์อย่างเดียว

 

                อันดับ 6 มา ร์ลโบโร่แมน(The Marlboro Man)

               

                http://www.thaingo.org/cgi-bin/content/content1/show.pl?0117

                         มาร์ลโบโร่ เป็นตราสินค้าบุหรี่ชั้นนำของโลก โดยมียอดขายเหนือกว่าคู่แข่งในอันดับใกล้เคียงกันถึงสามเท่า

ส่วน The Marlboro Man เป็นโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร่ ซึ่งนำคาวบอยมา เพื่อทำให้ผู้ดูรู้สึกเป็นด้านบวกคือ ความแข็งแกร่ง ความเป็นชายชาตรี และความปลอดภัย ใจ กล้าบ้าบิ่นและเท่ ซึ่งโฆษณานี้เป็นที่นิยมในปลายปี 70  ทำ ให้คนคิดว่าสูบบุหรี่เท่ไปด้วย โดยโฆษณานี้ได้ รับแรงบันดาลใจมาจากภาพต้นฉบับในนิตยสารไลฟ์และละครโทรทัศน์

ใน ช่วง 10 ปีที่ผ่าน มา มาร์ลโบโร ปรากฏ ในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของฮอลลีวู้ดไม่ต่ำกว่า 28 เรื่อง และสถิตินี้ยังไม่มีดาราชาย – หญิง อันดับหนึ่งของฮอลลีวู้ดคนใดทำลายลงได้ ส่งผลให้บุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโรเติบโตจนถึงทุกวันนี้

แล้ว โฆษณาบุหรี่มีผลต่อจิตใจของคนดูได้จริงหรือ??

จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ ระหว่างการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นกับฉากสูบบุหรี่ในภาพยนตร์ โดยนักวิจัยได้ทำการสำรวจเด็กอเมริกันประมาณ 5,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 9 – 15 ปี พบว่า

- เด็กวัยรุ่นที่ชื่นชอบดาราที่สูบบุหรี่ในการแสดงภาพยนตร์ มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติที่ดีต่อการสูบบุหรี่สูงกว่าเด็กทั่วไปถึง 16 เท่า

- เด็กวัยรุ่นที่เคยเห็นการสูบบุหรี่ในภาพยนตร์มามากกว่า 150 ครั้งขึ้นไป ( ในโรงภาพยนตร์ วิดีโอ และโทรทัศน์) ประมาณร้อยละ 31 เคยลองสูบบุหรี่มาแล้ว

- ในขณะที่เด็กวัยรุ่นที่เคยเห็นการสูบบุหรี่ในภาพยนตร์ ไม่ถึง 50 ครั้ง มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่เคยลองสูบบุหรี่

 - หลังจากจัดให้มีการควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น การที่มีพ่อ – แม่ สูบบุหรี่แล้ว ผลการวิจัยยังชี้ชัดว่า เด็กวัยรุ่นที่เคยดูภาพยนตร์ที่มีฉากสูบบุหรี่ให้เห็นบ่อยครั้ง มีแนวโน้มที่จะลองสูบบุหรี่สูงกว่าเด็กทั่วไปคิด เป็น 3 เท่า

 

 

อันดับ 2 โรซี่(Rosie the Riveter

 

 

 ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาต้องเข้าร่วมไปสงคราม หลายบริษัท ที่มีสัญญา กับ รัฐบาลที่จะต้อง ผลิตอุปกรณ์ ที่ใช้ ในการ ทำสงคราม กับพันธมิตร  เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ต้องเปลี่ยนไปผลิตเครื่องบินแทน แต่กระนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องการผลิตนั้นคือแรงงาน ซึ่งสมัยก่อนนั้นงานหนักแบบนี้มักนิยมผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หากแต่ว่าเพราะสงครามทำให้ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารออกไปรบนอกประเทศเกือบ หมด

                ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องจ้างแรงงานผู้หญิง หากแต่ว่าในเวลานั้นผู้หญิงมีฐานะเป็นแม่บ้านมากกว่า ที่จะทำงานอื่นนอกเหนือจากนั้น ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ปฏิเสธงานอุตสาหกรรมเหล่านี้ ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องเอาชนะความท้าทายดังกล่าว จึงตัดสินใจที่จะเรียกใช้ การโฆษณาเพื่อการรณรงค์  ความ สำคัญของสงคราม และผลกระทบ เพื่อจูงใจให้ผู้หญิงเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงาน  โดยคณะรัฐบาล ได้นำเอาสโลแกน รูปภาพและบุคคลิกของ “Rosie the Riveter“ เป็นตัวชูโรง เพื่อทำการตอกหมุดแนวความคิดใหม่ โดยสร้างอุดมคติของแรงงานหญิงที่สวยสุดๆ จงรักภักดี มีประสิทธิภาพ คือสวยสุดๆ แล้วรักชาติบ้านเมือง และมีเพลง “Rosie the Riveter“ ออกมาด้วย

                จากนั้น Rosie the Riveter ก็ได้กลายมาเป็นที่นิยมในหมู่ สาวๆในสหรัฐอเมริกา โดยมี สโลแกน “We can do it” หรือ “สวยทำได้ค่ะ” ปัจจุบันสัญลักษณ์ของเธอกลายเป็น กระตุ้น ปลุกใจ สาวที่กำลัง ต้องการกำลังใจ ไม่ว่า จะปัญหา ที่ทำงาน อกหัก หรือกำลังเตรียมสอบ ฯลฯ

                

                อันดับ 4 ไดดาลุสและอิคารุส(Daedalus and Icarus)

               

                ไดดาลุสและอิคารุส สองคนนี้ได้กลายเป็นแบบอย่างที่มนุษญ์ต้องการเอาชนะกฎของธรรมชาติ ว่าด้วยการบิน ทำให้มีหลายคนอยากฝันอยากบินเหมือนนก จากดั้งเดิมเหล่าคนที่วาดฝันwfhประดิษฐ์ปีกนกเหมือนสอง คนนั้น แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (ดาวินซี่ก็เคยทำ) จนกระทั้งพี่น้องตระกูลไรต์ก็สามารถประดิษฐ์เครื่องบินจนสำเร็จในเวลาต่อมา

                ในเทพนิยายกรีกได้กล่าวถึงไดดาลุสว่าเขา เป็นนักประดิษฐ์ที่มีความเก่งกาจมาก ว่ากันว่าเขาเป็นคนสร้างเขาวงกตขังมิโนเทอร์ และทหารทองแดงแก่กษัตริย์มินอสแห่งเกาะเครต้า แต่ต่อมาไดอาลุสและบุตรชายฮิคารุสก็ได้ ถูกกษัตริย์มินอสกักขัง เมื่อเวลาผ่านไป ไดดาลุสรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตบนเกาะนี้ และถวิลหาบ้านเกิด จึงคิดหาทางหนีออกมา แต่การจะหลบหนีจากเครต้านั้นไม่ได้ง่ายเลย เพราะกองทัพของกษัตริย์มินอสนั้นมีอยู่ทั่วไปหมด ทั้งทางบกและทางทะเล

                วันหนึ่ง ไดดาลุสกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้ว่ากษัตริย์มินอสจะปิดกั้นแผ่นดินและผืนน้ำ แต่ท้องฟ้าก็ยังคงเปิดกว้างอยู่ เราจะหนีกันทางนั้นล่ะ” เมื่อพูดจบ ไดดาลุสก็ลงมือประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่ขึ้นมา นั่นคือ ปีกนกจำลอง เขานำขนนกขนาดต่างๆมาเรียงผูกกันด้วยเชือกและเชื่อมจุดต่างๆด้วยขี้ผึ้ง ระหว่างนั้น อิคารุสผู้เป็นลูกชายก็ยืนดูอยู่ไม่ห่างและรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งประดิษฐ์ ของพ่อ ไม่นานหลังจากนั้น ปีกนกจำลอง ก็เสร็จสมบูรณ์ ไดดาลุสนำปีกมาติดเข้ากับตัวและลองขยับปีกลอยขึ้น ปีกนั้นใช้ได้ดีเหมือนดังที่คิดไว้

                ไดดาอุสเตือนลูกชายตลอดเวลาว่าห้ามบินต่ำหรือบิน สูง หากบินต่ำไอทพเลจะทำให้ปีกหนักและจะทำให้ตกลงไป ส่วนหากบินสูงแสงอาทิตย์จะเอาให้ขี้ผึ้งที่ปีกละลายลงได้  จาก นั้นไดดาลุสและอิคารุสก็พากันบินบนท้องฟ้าออกจากเกาะของไมนอส สองพ่อลูกพากันบินผ่านหมู่เกาะน้อยใหญ่ จนมาถึงจุดระหว่างเกาะซาโมสและเลบินโธส ณ จุดนั้นเอง อิคารุสก็เริ่มบินห่างออกจากพ่อ ความสนุกสนานจากการโผบินบนท้องฟ้าทำให้อิคารุสลืมตัว บินสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งบินสูงมาก ยิ่งใกล้ดวงอาทิตย์มาก ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ได้ทำให้ขี้ผึ้งที่ปีกอ่อนตัวลง ชิ้นส่วนต่างๆที่ขี้ผึ้งประสานอยู่จึงหลุดออกจากกัน หนุ่มน้อยได้แต่กระพือแขน ซึ่งตอนนี้ไร้ปีกเสียแล้ว ปากก็ตะโกนร้องเรียกชื่อพ่อ ขณะที่ร่างของเขาร่วงดิ่ง จมลงสู่ทะเล

                ฝ่ายพ่อที่เห็นลูกตกน้ำทะเลตายก็ตกใจแต่ ก็ได้พยายามทำใจกัดฟันจนกระทั้งบินจนถึงฝังพื้นดินที่ปลอดภัยในที่สุด

 

                อันดับ 3 The little engine that could

               

                http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=paperkite&month=05-2009&date=25&group=5&gblog=7

                The little engine that could เป็นนิทานสำหรับเด็ก ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1954 และโด่งดังไปทั่วโลกที่ห้องสมุดจะต้องมีหนังสือเล่มนี้อยู่เล่มหนึ่ง โดยเนื้อหานิทานจะเป็นเรื่องของรถไฟคันเล็ก ๆ คันหนึ่งซึ่งไม่มั่นใจในตัวเอง ว่าจะสามารถลากขบวนรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยของขวัญให้เด็ก ๆ ที่อยู่อีกฟากของภูเขาได้หรือไม่ แต่เจ้ารถไฟสีน้ำเงินนี้ พยายามคิดว่า “ฉันรู้ว่าฉันทำได้ ฉันรู้ว่าฉันทำได้ ฉันรู้ว่าฉันทำได้! ถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าจะไปถึง”  แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ ซึ่งนอกจากรถไฟจะภูมิใจในตัวเองแล้วก็ยังทำให้เด็ก ๆ ที่ได้รับของขวัญมีความสุขไปด้วย หนังสือเล่มนี้จึงสอนเด็ก ๆ ว่า อย่าเพิ่งคิดว่าเราทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่พยายาม และเมื่อเราได้พยายามทำอะไร และสำเร็จเราจะภูมิใจตัวเราเองมาก ๆ

 

                อันดับ 2 บิ๊ก บราเธอร์(Big Brother)

               

               http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=historyandphilosophy&date=29-05-2005&group=4&gblog=15

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...