4 เรื่องตำนานที่มาจากเรื่องจริง

เฟาสท์ (Faust)

                 

                Faust เป็นตัวละครเอกในนิยายเร้นลับโด่งดังของนักเขียนเยอรมันชื่อ โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธบทละครอมตะของโลก ซึ่งจัดเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของเยอรมันที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับงานของกวี โลก เช่น โฮเมอร์ ดันเต้ และเชคสเปียร์

                เรื่องราวเกี่ยวกันเฟาสท์ ได้มีการเล่าขานเป็นตำนานพื้นบ้านที่น่าตื่นเต้นที่มีสีสัน เนื้อหาสำคัญอยู่ที่ว่า เฟาสท์เป็นเหมือนศาสดาผู้มีความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องราวของชายผู้ มีความรู้ ท่วมตัว และทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด วันหนึ่งโชคชะตาชักนำให้เขาพบ กับเมมฟิสโต้ (Mephistopheles) ปีศาจ ผู้สงสัยในอำนาจของพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่หลงเชื่อในภาพลวงตาแห่งสวรรค์ ที่พระเจ้าเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์คับขันที่ต่างฝ่ายต่างมีภารกิจ ที่จะต้องสนองตัณหาของตนเอง เฟาสท์จึงยอมขายวิญญาณให้แก่เมฟิสโต้เพื่อ แลกกับความเป็นหนุ่มอีกครั้งและ นี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรม

                
               เฟาสท์นั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงอยู่ในศตวรรษที่ 16 มีอีกชื่อหนึ่งคือ ดร.เฟาสต์(Dr. Faust)เป็นผู้ศึกษาด้านเวทมนต์อำนาจมืด เขาถูกกล่าวหาว่าคบหากับซาตาน

 

โบกีย์แมน(Bogeyman)

               

                Bogeyman หรือบูกี้แมน มาหลายชื่อเพราะมันปรากฏตัวทั่วโลก เช่น boeman (เดนมาร์ก), buse (นอร์เวย์), bòcan, púca, pooka or pookha (Irish Gaelic), pwca, bwga or bwgan (เวลล์), puki (Old Norse), pixie or piskie (Cornish), puck (อังกฤษ), bogu (Slavonic, buka Russian) เป็นผีหรือปีศาจ มีความโหดร้านเลือดเย็น โบกีย์แมนไม่มีตัวตนจริงๆ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างต่างๆ ได้ และสามารถผ่านเข้าไปได้ทุกๆ ที่ บางที่อาจเป็นเพียงธุรี ปลิวเข้าทางช่องหน้าต่างหรือรูกุญแจ บางทีอาจเป็นเงารางๆ แต่มันสามารถฆ่าคนได้ มีความเชื่อว่า พวกฆาตกรต่อเนื่องหรือซีเรียล คิลเลอร์ที่ก่อคดีฆาตกรรมมากมายนั้นคือ โบกีย์แมนนั้นเอง โบกีย์แมนยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่จะเอาไว้หลอกเด็กๆ ให้เกิดความกลัวเวลาเล่นซน

                โบกีย์แมนนั่นมาจากเรื่องจริง ในแถบเกาะชวาหรือมาเลเซีย ซึ่งชาวอังกฤษเข้ามายึดครองพื้นที่แถบนี้ โดยโบกีย์แมนนั้นมาจาก บูกีส(Bugis) ที่เป็นโจรสลัดในแถบนั้น มีความโหดร้าย ปล้นฆ่านักเดินทางอยู่ในย่านนั้น สร้างความหวาดกลัวเป็นอันมาก จนมีคำขู่กับลูกเรือที่นอกลู่นอกทางกันว่า “เดี๋ยวบูกิสจะมาเอาชีวิต” จนกระทั้งความหวาดกลัวที่มีต่อบูกิสติดตามมายังอังกฤษ

 

หนอน แลมบ์ตัน(Lambton Worm)

                               

                หรือมังกรไวร์ม(Wyrm Dragon) เป็นเรื่องเล่าในสมัยกลาง ว่ากันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวจอห์น แลมบ์ตัน(John Lambton) ในเดอร์แฮม ตอนกลางของอังกฤษ ในวันอาทิตย์สัปดาห์หนึ่งจอห์น แลมป์ตัน เมื่อยังเป็นวัยรุ่น ได้หลบหนีการไปโบสถ์ โดยออกไปตกปลาในแม่น้ำแวร์ใกล้ๆ กับที่ดินของเขา ในระหว่างเขากำลังเตรียมเบ็ดนั้นเอง ก็มีชายแก่คนหนึ่งปรากฏตัวแล้วทักว่าเขาไม่ควรหลบการไปโบสถ์มาตกปลาเช่นนี้ เพราะจะทำให้เกิดโชคร้าย แต่แลมบ์ตันก็ไม่ใส่ใจ เขาตกปลาต่อไป จนตกได้ปลาไหลตัวหนึ่ง(บางทีก็บอกว่าหนอน) มันตัวไม่ใหญ่นัก แต่มีความยาวราว 3 ฟุต มันไม่เหมือนปลาไหลทั่วๆ ไป ลำตัวของมันมีรู 9 รู ในแต่ละข้าง หน้าตาคล้ายกิ้งก่า และมันมีขาด้วย จึงดูคล้ายงูมีขา เขาจึงนำมันกลับบ้าน แต่แล้วเวลาต่อมาเขาก็คิดว่ามันน่าเกลียดเกินที่จะเลี้ยงหรือกินมัน เขาเลยโยนมันลงในบ่อน้ำใกล้บ้าน ในระหว่างที่ทิ้งเจ้าตัวประหลาดลงบ่อนั้น ก็ปรากฏร่างของชายแก่คนเดิมกลับมาพูดกับเขาอีกว่า สิ่งที่เขาจับได้แล้วทิ้งลงไปนั้นเป็นปีศาจร้าย มันจะกลับมาสร้างความเดือดร้อนแก่เจ้าอีก

                เวลาผ่านไปจอห์นก็โตเป็นหนุ่ม เขาลืมเหตุการณ์นี้ไปเสียสิ้น ต่อมาเขาอาสาออกรบในสงครามครูเสด  ระหว่างที่เขาไป ครูเสดอยู่นั้น เจ้าสัตว์ร้ายที่ทิ้งลงบ่อเกิดอาละวาด มันเจริญเติบโตในบ่ออย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นสัตว์ยักษ์รูปคล้ายคล้ายหนอนมีขา มันออกมาทำลายข้าวของและกินพืชไร่ของชาวบ้านแถบนั้นทั้งหมด ตัวของมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมเนินเขาลูก ที่แห่งนั้นเรียกกันว่าเนินตัวหนอน มีผู้กล้าและอัศวินมากมายพยายามจะฆ่ามัน แต่ฆ่ามันทำไหร่ก็ไม่ตาย เพราะเมื่อตัดตัวมันออก มันก็กลับมาเชื่อมต่อกันใหม่ จนชาวบ้านล้มตายเพราะหนอนกัดกิน

                หลังจากนั้น 7 ปีผ่านมา จอห์น แลมบ์ตันก็กลับมาจากครูเสดอย่างวีรบุรุษ ชาวบ้านก็มาขอร้องให้ฆ่าหนอนเสีย แลมบ์ตันเลยวางแผนโดยหลอกล่อเจ้าหนอนยักษ์ลงไปที่มันขึ้นมาคือ แม่น้ำแวร์ แล้วตัดหนอนออกเป็น 3 ท่อน ซึ่งทำสำเร็จโดยความช่วยเหลือแม่มดนางหนึ่ง โดยแม่มดบอกว่าหลังจากฆ๋าหนอนแล้ว แลมบ์ตันจะต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นโดยทันทีไม่เช่นนั้นครอบครัวจะโดนคำสาป 9 ชั่วคน แต่แลมบ์ตันไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือพ่อของเขาเอง ซึ่งพ่อของแลมป์ตัวเมื่อได้ข่าวว่าเขาฆ่าหนอนได้แล้ว เขาจึงรีบรุดออกจากปราสาทมาหาจอห์น แลมบ์ตันทันที เมื่อจอห์นเห็นบิดาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่เขาเห็น จอห์นทำไม่ได้ เขาไม่สามารถกระทำปิตุฆาต จึงตัดสินใจหักดาบทิ้ง นั้นเองจึงกลายเป็นคำสาปที่บังเกิดกับครอบครัวแลมป์ตัน 9  ชั่ว คน ที่ไม่มีใครในตระกูลตายอย่างสงบ หรือแก่ตายบนเตียง ทั้งหมดล้วนตายในสนามรบแลตายที่สถานที่อื่นๆ ต่างถิ่นทั้งสิ้น

                
                สิ่งที่เชื่อได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนอกจากจอห์น แลมบ์ตันจะมีตัวตนจริงๆ แล้ว สถานที่ที่เรียกว่าเนินหนอน(Worm Hill)นั้นก็มีอยู่จริง มันตั้งอยู่ที่  Fatfield, Washington

 

The Pied Piper of Hamelin

               

                The Pied Piper of Hamelin หรือคนเป่าปี่ ปรากฏในนิทานพื้นบ้านของเยอรมันที่เล่าโดยสองพี่น้องกริมม์ เรื่องมีอยู่ว่ากาลครั้งหนึ่งนานมา แล้ว ที่เมืองฮาเอลินในภาคกลางของเยอรมัน ปีคศ.1248 ได้ถูกกองทัพหนูเข้าก่อกวนโดยเดือดร้อนไปทุกบ้าน พวกมันแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก แล้วกัดแทะเสบียงอาหาร อีกทั้งพวกมันยังเป็นพาหะนำโรคร้ายมาอีกด้วย แม้แต่แมวก็ยังต้องหนีเพราะหนูมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงขนาดจะเข้ามารุมทำร้ายแมวเสียด้วยซ้ำไป

                บรรดา ชาวเมืองรับไม่ได้กับเหตุการณ์เหล่านี้ ต่างหาทางกันกำจัดพวกหนู โดยพากันออกเงินจนได้ก้อนหนึ่งเพื่อให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่จะมาปราบหนูเหล่า นี้ได้ จากนั้นก็มีคนต่างเมืองเดินทางมาที่นี่และรับอาสากำจัดหนูให้  แต่จนบัดนี้ก็ ไม่มีใครอาสา มาปราบฝูงหนูเหล่านี้เลย

                ใน ยามนี้เองก็มีชายลึกลับผู้หนึ่งพร้อมกับปี่ที่เครื่องดนตรีคู่กายของเขา ปรากฏตัว เขาอาสาจะปราบหนูให้ชาวเมืองแห่งนี้ และ ชาวเมืองก็ให้คำสัญญาว่าจะให้สิ่งตอบแทนใดๆก็ได้ตามที่เขาต้องการ

                เมื่อ ตกลงกับชาวเมืองเรียบร้อย ชายประหลาดก็หยิบปี่ถุงออกมาและเป่าเพลงที่แปลกประหลาด พร้อมกับออกเดินไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของชาวเมืองนั้นเอง กองทัพหนูทั้งหลายก็ออกมาจากที่ซ่อนจากบ้าน จากโบสถ์ ทุกหนทุกแห่งจนกลายเป็นขบวนแถวยาวเมื่อได้ฟังเพลงจากปี่ของเขาอย่างหลงใหล แล้วคนประหลาดคนนั้นก็เริ่มเดินตรงออกจากหมู่บ้านพร้อมกับกองทัพหนูที่วิ่ง ตามหลังเขา จนไปถึงแม่น้ำเวเซอร์ที่ไหลผ่านหมู่บ้านแห่งนี้  ชาย นักเป่าปี่ก็หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ ในขณะที่ฝูงหนูพากันกระโจนลงน้ำไปเรื่อยๆ จนในไม่ช้าก็ไม่มีหนูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว และทั้งหมดก็จมน้ำตายในแม่น้ำนั้นเอง ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ปลอดจากการรบกวนของหนูเป็นที่เรียบร้อย

                หลังจากนั้นชายประหลาดก็มาทวงรางวัลจาก ชาวบ้าน แต่ชาวบ้านทั้งหลายเกิดความเสียดายเงินขึ้นมา จึงไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนให้ พร้อมกล่าวว่า"นายไม่ได้ ทำอะไรเสียหน่อย พวกหนูกระโดดลงน้ำไปเองต่างหาก"และยังขู่จะจับขังนักเป่าปี่อีกด้วยถ้าเขา ยังมามัวตื๊ออยู่

                ชายประหลาดโกรธมากเขากล่าวทิ้งท้ายว่า"พวกคุณต้อง รักษาสัญญา ฉันจะเอาสิ่งสำคัญที่สุดของพวกคุณไป" แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ยังกลับหัวเราะเยาะเขาเสียอีก เขาหายตัวไปจากหมู่บ้านแห่งนั้น

                และในวันที่ 26 มิถุนายน 1284 ชายประหลาดพร้อมปี่ กลับมายังเมืองฮาเมลินอีกครั้ง เขาเริ่มเป่าปี่บทเพลงแปลกประหลาดบทใหม่บนถนน ซึ่งคราวนี้ผู้ติดตามเสียงปี่ของเขาที่ออกจากบ้านทุกหลัง กลับกลายเป็นเด็ก เด็กๆที่มีอายุมากกว่า 4 ปีต่างก็มารวมกันและเดิน ตามเขาไปจนในไม่ช้าเด็กชายหญิงจำนวนกว่า 130 คนต่าง ก็เต้นรำร้องเพลงตามทำนองของเสียงปี่ออกไปนอกเมือง และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นชายประหลาดและเหล่าเด็กๆ อีกเลย

                
               ความจริงบางตำนานมีเหตุการณ์ต่อนิดหน่อยตรงที่เมื่อชายประหลาดเป่าปี่พา เด็กๆ ออกนอกเมืองแล้ว เขาก็พาเด็กไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเด็กทุกคนเข้าไปในถ้ำหมดแล้ว ชายประหลาดก็ปิดปากถ้ำขังเด็กทั้งหมดไว้ข้างในจนตายอยู่ในถ้ำ บางแห่งกล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีเด็กรอดตายเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น

                อย่าง ที่เห็นข้างต้น นิทานเรื่องนี้ นำมาจากเรื่องจริง ของเมืองฮาเมลิน (Hamelin หรือ Hameln ในภาษาเยอรมัน) ซึ่งเมืองนี้มีจริงในประวัติศาสตร์และยังอยู่จนถึงปัจจุบัน

                เมืองฮาเมลินเป็นเมืองในแคว้นเนียเดอร์แซสเซน ประเทศเยอรมันนี ปัจจุบันมีประชาการประมาณ 60,000 คน เมืองนี้อยู่เลียบแม่น้ำเวเซอร์ ใกล้กับถนนเมลเพนอันมีชื่อเสียง มีเป็นอาคารเก่าแก่ของ เมือง นอกจากนั้นยังมีการจัดงานแสดงละครและคอนเสริททุกๆปีที่ Hochzeitshause ซึ่ง สร้าง ขึ้นเพื่อเป็นที่พบปะสังสรรค์เมือมีงานสำคัญๆของชาวเมือง และที่น่าสนใจคือเมนูอาหารประจำเมืองและสถานที่ของเมืองมีความเกี่ยวข้องกับ นิทานเรื่องนี้ด้วย เช่น ซ็อตโกแล็ตรูปหนู ห้องรับประทานอาหารรูหนู เป็นต้น ซึ่ง เมืองนี้มีชื่ออยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่นี้เป็นเพราะนิทานเรื่อง ข้างต้นนี้เอง โดยนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ต้นแบบของมันคือเรื่องราวประหลาดในกระจกสีของโบถส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นประมาณปี 1300 เป็นที่น่าเสียดายที่กระจกสีนี้ปัจจุบันถูก ทำลายไปแล้ว กระจกสีอันปัจจุบันเป็นบานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามบันทึกที่เหลือไว้เท่านั้น เอง

                และ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง!

                
                ว่ากันว่าเรื่องเด็กตายยกหมู่บ้านนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 13 หรือ 14 เนื่องจากมีภาพเด็กๆ ตายเป็นจำนวนมากประดับเป็นกระจกสีไว้อยู่ชนโบสถ์ของเมืองฮาเมลิน

            "วันที่ 26 มิถุนายน 1284 เมืองฮาเมลิน ประเทศเยอรมันเกิดคดีเด็กจำนวนกว่า 130 คนหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน"

                นี้แหละคือต้นกำเนิดของตำนานที่บันทึกปี 1440 ซึ่งเป็น บันทึกเก่า ที่สุดเท่าที่เหลืออยู่ (เรื่องของหนูถูกเพิ่มเข้า มาราวศตวรรษที่ 16) ไม่ มีใครทราบแน่นอนว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร และเด็กๆหายไปได้อย่างไร หากด้วยเหตุนี้เมืองฮาเมลินจึงมีการตั้งกฎว่าห้ามร้องเพลงเต้นรำบนถนนที่ถูก กำหนดไว้อยู่เป็นเวลานานทีเดียว

                จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1606 โดยริ ชาร์ด โลรัน เวลส์เทกัน เวลาของคดีก็กลายเป็น 22 กรกฎาคม 1376 และเมื่อพี่น้องตระกูลกริมม์ทำการเรียบเรียง เรื่องนี้ในปี 1816 ก็ได้มีการเพิ่มเรื่องของเด็กขา แพลงกับเด็กตาบอดซึ่งไม่ได้หายตัวไปลงไปด้วย

                มีการสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุมากมาย เช่น

                 เรื่องเด็กหาย หรือตายนั้นเกิดจากโรคระบาดครั้งใหญ่ในยุโปซึ่งตรงกับปี 1376 ในฉบับของ ผู้เขียนอีก คน ซึ่งชายประหลาดอาจจะเป็นเครื่องหมายแทนยมฑูตก็เป็นได้และหนูก็เป็นสาเหตุของ โรคระบาดซะด้วยสิ  

                หรือไม่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดสงคราม ครูเสด ครั้งที่เรียกว่า “ครูเสดเด็ก” ที่เด็กๆ จำนวนมากมายจากดินแดนแถบนั้นถูกชักชวนโดยชายประหลาดก็คือหัวหน้ากลุ่มนัก เดินทางให้ไปแสวงบุญที่เยรูซาเลมซึ่งมีเด็กจำนวนมากมายต้องล้มตายระหว่างทาง

                บางที่ก็ว่าตายเพราะสาเหตุธรรมชาติเช่น แผ่นดินถล่ม หรือน้ำท่วม

                หรือจะเป็นเด็กๆ พากันออกจากหมู่บ้านไปเพื่อสร้างหมู่บ้านใหม่โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของพ่อแม่ ซึ่งในช่วงปีนี้เป็นยุคที่มีหมู่ บ้านใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย เด็กชาวเมืองฮาเมลินอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้

                เด็กๆ เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ (จนน้ำในแม่น้ำเวเซอร์หรือตายในภูเขาฮอบเปนเบิร์ก) เนื่องจากวันที่ 26 มิถุนายน 1284 เป็น"วันเซนต์โยฮันส์และเปาโล" ฮาเมลินมีธรรมเนียมจะจุดไฟบนภูเขาฮอบเปนเบิร์กซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหน้าผา ตัด ข้างล่างเป็นบึงลึก

 

 

 

จากหนังสือสารานุกรมภูต ผี นางฟ้า เทวดา และสัตว์ประหลาด+ +

16 มิ.ย. 53 เวลา 00:38 9,895 9 148
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...