~เชอร์ปา~คนบนหลังคาโลก

การเดินทางเพื่อพิชิตขอดเขาเอเวอร์เรสต์
ไม่ว่าครั้งใด ต้องอาศัยผู้นำทางที่เป็นชาวเ ช อ ร์ ป า 

เ ช อ ร์ ป า ค น บ น ห ลั ง ค า โ ล ก 



นับแต่รอยเท้ารอยแรก ปรากฏบนยอดเขา ที่สูงที่สุดในโลก 
เอเวอร์เรสต์ ไม่เคยเสื่อมมนต์ขลัง พลานุภาพ ที่แฝงเร้นอยู่ 
ณ จุดสูงที่สุดของโลกนี้เอง ได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ ชนเผ่าเล็ก ๆ 
ที่มีวิถีชีวิตอันสงบ ดำเนินไปตาม วัฏจักรของฤดูกาล 
กลับกลายเป็น ชนเผ่าที่ ต้องติดต่อสัมพันธ์กับ คนภายนอก 
จนได้ชื่อว่า เป็นชนเผ่า ที่มีชื่อเสียงที่สุด แห่งเทือกเขาหิมาลัย 

ถึงวันนี้ แทบไม่มีนักปีนเขาคนใด ไม่รู้จักชาวเชอร์ปา 
ผู้เป็นเสมือน เงา แห่งความสำเร็จ ของนักปีนเขา จากทั่วโลก 
พวกเขาต่างยอมรับว่า ไม่มีชัยชนะ บนเอเวอร์เรสต์ครั้งใด 
เกิดขึ้นได้โดย ปราศจาก ชาวเชอร์ปา

คุมจุง หมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของชาวเชอร์ปา

.....กล่าวกันว่า บรรพบุรุษกลุ่มแรก ของชาวเชอร์ปา ที่มายังหุบเขาคุมบู เมื่อ ๖๐๐ กว่าปีก่อน ได้อพยพหนีภัยสงคราม และการสู้รบ 
มาจาก ดินแดน ที่เรียกว่า Kham-Salmo-Gang 
ไกลออกไป ๑,๒๐๐ กิโลเมตร ทางทิศตะวันออก ของทิเบต มาตามเส้นทาง Nang Pa La 
ต่อมา ได้กลายเป็น เส้นทางการค้าขาย และไปมาหาสู่ ระหว่างคนสองฟากฝั่ง 
พวกเขาจึงเรียกตัวเองว่า เชอร์ปา อันหมายถึง คนจากทิศตะวันออก
 
ในอดีตชาวเชอร์ปา เป็นพ่อค้าเร่ร่อน นำสินค้าพวก เมล็ดพืช และข้าวบาร์เลย์ 
จากพื้นราบ ไปแลกกับเกลือ ในแถบทิเบต 
กระทั่ง ค.ศ. ๑๙๕๙ การไปมาหาสู่ ของคนสองฟากฝั่ง ก็สิ้นสุดสะดุดลง เมื่อจีนเข้ารุกราน

 
ยอดเขา Everest และธงสักการะขอพร



.....ชีวิตในดินแดนหลังคาโลกอันหนาวเย็น แร้นแค้น 
ชีวิต ที่ดำเนินไป ในแต่ละวัน ฝากไว้กับ เทพเจ้าบนยอดเขา 
ชาวเชอร์ปาเชื่อว่า ยอดเขา ทุกยอด ล้วนมีเทพเจ้า สิงสถิตอยู่ 
และเทพเจ้าประจำถิ่น ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ เทพเจ้าคุมบู ยัวลา 
วันสุดท้ายของ เทศกาลดุมเจ ซึ่งเป็น เทศกาลยิ่งใหญ่ ประจำหมู่บ้านคุมจูง 
จะมีพิธีกรรม เต้นหน้ากาก ที่ชาวเชอร์ปาเคารพสักการะ 
เชื่อกันว่า พิธีกรรมนี้ เป็นการ ถวายสักการะ แด่เทพเจ้า แห่งหุบเขาคุมบู 
และเพื่อเป็นการ ขับไล่ สิ่งชั่วร้าย ให้พ้นจากหมู่บ้าน

หมู่บ้าน Chyangba





.....เป็นเรื่องแปลก ที่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เป็นสถานที่อันดับท้าย ๆ ของโลก 
ที่มนุษย์ เพิ่งสามารถ ไปฝากรอยเท้าไว้ได้ 
ทั้ง ๆ ที่ เป็นพื้นดิน ที่อยู่บนโลก 
ความพยายาม ที่จะพิชิต ยอดเขาเอเวอร์เรสต์นั้น ต้องใช้เวลากว่า ๓๐ ปี จึงประสบผลสำเร็จ 
ซึ่งที่จริง อาจต้องใช้เวลา นานกว่านั้น ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก ชาวเชอร์ปา 



 .....แน่นอนว่า ชนชาติ ที่ขึ้นไปบนจุดสูงสุดนั้น 
บ่อยครั้งที่สุดก็คือ ชาวเชอร์ปา แห่งเนปาลนั้นเอง 
และผู้ที่สังเวยชีวิต ให้แก่ยอดเขาแห่งนี้ ก็มีจำนวนถึง ๑๔๒ คน 
ในจำนวนนี้ เป็นชาวเชอร์ปาถึง ๔๓ คน 
สำหรับชาวเชอร์ปาเอง การเข้าร่วมกับ คณะนักไต่เขา ขึ้นสู่ยอดเขา เอเวอเรสต์ 
ก็ไม่ต่างอะไรกับ การเดินทางของ นักผจญภัย 
ที่ไม่มีใครรู้ถึง ชะตากรรม ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า 

 
แต่ชาวเชอร์ปา ส่วนใหญ่ ล้วนเคย ขึ้นไปพิชิต ยอดเขาเอเวอเรสต์ มาแล้วทั้งนั้น 
บางคน เคยขึ้นไปมากถึง เจ็ดครั้ง 
หนทางไปสู่ เอเวอเรสต์ สำหรับคนหนุ่มสาว ชาวเชอร์ปา 
เป็นเสมือน ลายแทงไปสู่ขุมทรัพย์ 
การได้เข้าร่วม คณะสำรวจ ขึ้นพิชิตยอดเขา ของชาวเชอร์ปา 
นับว่า เป็นโอกาสครั้งสำคัญ ในชีวิต ที่ยากจะปฏิเสธ 
เพราะนอกจาก รายได้ จะมากพอ สำหรับการใช้จ่าย ไปตลอดปีแล้ว 
หากพวกเขา กลับลงมาได้ อย่างปลอดภัย 
ก็จะเป็น ประกาศนียบัตร ชั้นเยี่ยม ที่การันตี ความสามารถ ของพวกเขา 
ต่อนักท่องเที่ยว เพื่อเรียกค่าแรง สำหรับการเดินทางเพิ่มขึ้นได้ 
ในอัตรา วันละกว่า ๑๐ ดอลลาร์ 




ชีวิตในยามปกติของชาวเชอร์ปา

ชื่อเสียง ของชาวเชอร์ปา เป็นที่ยอมรับมาก 
ในหมู่นักท่องเที่ยว ที่มายัง หุบเขาคุมบู 
ทำให้ชาวเขาจากเผ่าอื่น ๆ ที่ขึ้นมาหารายได้ 
จากการเป็น มัคคุเทศก์ ต้องแอบอ้างตัวว่า เป็นชาวเชอร์ปา 
เพื่อให้นักท่องเที่ยว ไว้วางใจ ในความสามารถ 

.....ปัจจุบันชาวเชอร์ปา กว่าร้อยละ ๗๐ 
มีอาชีพเกี่ยวกับ การท่องเที่ยว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 
ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของโรงแรม ที่มีมากกว่า ๘๐ แห่ง กระจายอยู่ทั่ว หุบเขา 
เป็นมัคคุเทศก์ หรือเลี้ยงจามรี ไว้ให้นักท่องเที่ยว 
เช่น ขนสัมภาระ 

แทบไม่มี ชาวเชอร์ปาคนใด ยึดอาชีพ พ่อค้าเร่ร่อน นำของไปขาย ในทิเบต อีกต่อไปแล้ว 
ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า ค่าตอบแทน เทียบไม่ได้กับ ธุรกิจท่องเที่ยว


วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเชอร์ปา

.....ดูเหมือนว่า อิทธิพลจาก การท่องเที่ยว พร้อมจะแสดงอิทธิฤทธิ์ ไปทุกที่ 
ไม่เว้นแม้แต่ ดินแดน ที่เคยได้ชื่อว่า ตัดขาดจากโลกภายนอก 
แม้การท่องเที่ยว จะทำให้ หุบเขาคุมบู เป็นดินแดนที่มั่งคั่ง แห่งหนึ่ง ของเนปาล 
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ วัฒนธรรมดั้งเดิม ของชาวเชอร์ปา 
ที่กำลังสูญหาย เพราะกระแส วัฒนธรรมภายนอก เข้ารุกราน 
การรักษา ระบบนิเวศ ตามธรรมชาติ เป็นเรื่องจำเป็นอีกเรื่อง ของชาวเชอร์ปา 
ดังนั้น การรักษาวัฒนธรรม ที่เก่าแก่ และธรรมชาติ 
จึงเป็นสิ่งที่ ต้องควบคู่ไปกับ การท่องเที่ยว 













ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ 



เอเวอร์เรสต์ - Sagarmatha NationalPark
 
 

สการ์มาถา (Sagarmatha-ยอดเขาพระสมุทร) 

สถานที่ตั้ง เทือกเขาหิมาลัย ประเทศ เนปาล 
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้  

ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก คือ ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ (Everest) สูง 8848 เมตร (29,028 ฟุต) 
จุดสูงสุดของโลกตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างเนปาลและทิเบต 
ชาวเนปาลเรียกยอดเขานี้ว่า สการ์มาถา (Sagarmatha-ยอดเขาพระสมุทร) 
ส่วนชาวทิเบตเรียก โชโมลุงกะมา (Chomolungma-พระแม่เจ้า) 
ส่วนชื่อภาษาอังกฤษมาจากนายพลนักสำรวจชาวอังกฤษ 
จอร์จ เอเวอร์เรสต์ (George Everest) 
ซึ่งมาปฏิบัติงานในอินเดียราวช่วงปลายศตวรรษที่ 19 


 ...
Sir Edmund Hillary และ  Tenzing Norgay 
ชาวเชอร์ปาผู้นำทางปี  1953 

Sir Edmund Hillary และ  
Tenzing Norgay ในอีกหลายปีให้หลัง
แต่นักปีนเขาคณะแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จ
ก็คือ เซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี (Sir Edmund Hillary) ชาวนิวซีแลนด์ 
และเตนจิง นอร์เก (Tenzing Norgay) ชาวเชอร์ปา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1953

จากการพบซากฟอสซิลปลาบนยอดเขาเอเวอร์เรสต์  
ทำให้สันนิษฐานได้ว่าดินแดนบริเวณนี้อาจเคยเป็นท้องทะเลมาก่อน  
โดยเมื่อประมาณ  200 ล้านปี เทือกเขาหิมาลัยได้กำเนิดขึ้น
จากแผ่นเปลือกโลกของอนุทวีปอินเดียได้เลื่อนมาชนกับแผ่นทวีปเอเชีย 
ทำให้แผ่นดินส่วนที่เป็นรอยต่อนั้นโก่งตัวขึ้นเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก 
คือยอดเขาเอเวอร์เรสต์ของเทือกเขาหิมาลัยนั้นมีความสูงถึง 8,848 เมตร

เดิมยอดเขาเอเวอร์เรสต์ มีชื่อว่ายอดเขาที่ 15 
กระทั่งในปี ค.ศ. 1865 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเอเวอร์เรสต์ ตามชื่อของ เซอร์จอร์จ  เอเวอร์เรสต์     
ผู้อำนวยการสำรวจที่ดินชาวอังกฤษประจำอินเดีย 
ซึ่งเป็นผู้ทำแผนที่ประเทศอินเดียได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานเป็นครั้งแรก  
โดยการหาข้อมูลเพื่อทำแผนที่โดยเฉพาะในบริเวณเทือกเขาหิมาลัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก  
เนื่องจากเนปาลและทิเบตไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับชาติตะวันตกนัก  
เซอร์เอเวอร์เรสต์ จึงว่าจ้างพ่อค้าในเขตเทือกเขาหิมาลัย
ให้สำรวจพื้นที่อย่างละเอียดและเป็นความลับ  
จนกระทั่งได้แผนที่ที่มีความถูกต้องตามมาตราส่วนมากที่สุดในขณะนั้น


ในการพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์นั้น  เมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 
รัฐบาลเนปาลได้อนุญาตให้นักปีนเขาต่างชาติเข้าประเทศได้  
กระทั่งในปี ค.ศ. 1953  พันเอกจอห์น  ฮันต์  นักปีนเขาชาวอังกฤษ 
และคณะสำรวจที่มีเอ็ดมันด์ ฮิลลารี   ชาวนิวซีแลนด์  เท็นซิง  นอร์เกย์  ชาวเชอร์ปา
ก็มุ่งมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์  ให้สำเร็จ
หลังจากที่คณะอื่น  ๆ   นั้นล้มเหลวหลายครั้งหลายครา
แต่ทว่าในวันที่  29   พฤษภาคม  ค.ศ. 1953  กลับเหลือเพียง
เอ็ดมันต์ ฮิลลารี และเท็นซิง  นอร์เกย์   
ที่ทำหน้าที่เป็นลูกหาบเท่านั้นที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จ

ปัจจุบันนี้ มีผู้มุ่งมั่นเดินทางไปถึงยอดเอเวอร์เรสต์สำเร็จมากมาย














คนพิการ.... พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ 


Mark Inglis (47)

มาร์ก อินกลิส ชาวนิวซีแลนด์ อายุ ๔๗ ปี 
ถูกตัดขาขาด ๒ ข้างตั้งแต่ช่วงเข่าลงมา จากอุบัติเหตุปีนเขา 
และเนื้อเยื่อตายจากสภาพความหนาวเย็นของอากาศในระหว่างปีนเขาเมาท์คุก 
ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในนิวซีแลนด์ เมื่อปี ๒๕๒๕ 
มาร์ก อินกลิส สร้างสถิติเป็นชายพิการ ๒ ขา คนแรก
ที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ซึ่งมีความสูง ๘,๘๕๐ เมตร ได้สำเร็จ 
โดยใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น ๔๐ วัน 

ก่อนหน้านี้มาร์ก อินกลิส เป็นผู้แนะนำการเล่นสกี 
เคยได้เหรียญเงินจากการแข่งขันจักรยานในกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ที่นครซิดนีย์ปี ๒๕๔๓ 

ก่อนที่จะมาพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ อินกลิสได้ปีนเขา โช โอยู 
ที่มีความสูง ๘,๒๐๑ เมตร ในทิเบต เมื่อปี ๒๕๔๗ ด้วย 



 


คณะปีนเขาไทยทั้ง 9 คน จาก “ปฏิบัติการเกียรติยศ สู่ยอดเอเวอเรสต์” 
ขึ้น Summit บนยอด Island Peak ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 6,189 เมตร ได้สำเร็จแล้ว 
เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 19 ก.ย. 50   ที่ผ่านมา  
Island Peak จึงเป็นเหมือนการซ้อมใหญ่ก่อนมุ่งหน้าสู่ยอด Everest 
ที่ระดับความสูง 8,850 เมตร ในอีก 1 เดือนข้างหน้า

ถือเป็นคณะปีนเขาไทยที่ขึ้นสู่ยอด Island Peak ได้สำเร็จทั้งคณะเป็นครั้งแรก

เรือตรีไพรัตน์ พลายงาม หรือ ครูไพรัตน์ รหัส T2 
เป็นคนแรกที่สามารถพิชิตยอด Island Peak ได้สำเร็จก่อนเพื่อนๆ ในทีมทั้ง 9 คน  
นอกจากนี้ยังมีทีมผู้สื่อข่าวของ TITV อีก 2 คน หนึ่งในคือ    คุณชิบ จิตนิยม 
บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ที่ขึ้นสู่ Island Peak สำเร็จในเวลาใกล้เคียงกัน  
และผู้หญิงคนเดียวของทีม คุณวันเพ็ญ สินธุวงษุ์ หรือ จุ๋ม รหัส T5 ก็พิชิตยอด Island Peak ได้เช่นกัน 
นับเป็นผู้หญิงไทยคนที่ 2 ที่สามารถพิชิตยอด Island Peak ได้  

โดย คุณวันเพ็ญ (จุ๋ม) ได้เล่าถึงความรู้สึกแรกที่ขึ้น summit บนยอด Island Peak ได้สำเร็จว่า.. 
“พวกเราขึ้น summit บนยอด Island Peak ได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน
เพราะตามที่คาดการณ์ไว้จากสภาพร่างกายและก็สภาพอากาศ คิดว่าน่าจะใช้เวลามากกว่านั้น 
ก็ดีใจและภูมิใจมาก และหวังว่าก้าวแรกของความสำเร็จครั้งนี้ 
จะเป็นแรงผลักดันให้พวกเราทุกคนทำภารกิจอันยิ่งใหญ่บนยอด Everest ได้สำเร็จ 
ก็ขอให้ชาวไทยทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้กับทีม พวกเราทั้ง 9 คนด้วยนะคะ”  

คณะทีมไทยทั้ง 9 คน ได้ใช้เวลาเดินทางสู่ยอด Island Peak เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น 
ซึ่งถือว่าเร็วกว่ากำหนดการตามแผนที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาถึง 8 วัน  
การเดินทางสู่ Island Peak ในครั้งนี้ คณะทีมต้องประสบกับอากาศที่เย็นจัด 
(อุณหภูมิประมาณ 5 องศาเซลเซียส) และต้องเผชิญกับหิมะที่ตกอยู่ตลอดเวลา 
รวมทั้งลมที่พัดแรงซึ่งเป็นอุปสรรคตลอดระยะทาง  

แต่อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการพิชิตยอด Island Peak ในครั้งนี้คือ 
ทุกคนต้องหายใจโดยมีออกซิเจนในอากาศเหลือเพียงร้อยละ 47 เท่านั้น 
ความสำเร็จในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีในการพิชิตยอด Everest  
เพราะเส้นทางและอากาศที่ Island Peak ใกล้เคียงกับยอด Everest มาก 
การเดินทางสู่ Island Peak จึงเป็นเหมือนการซ้อมใหญ่ก่อนมุ่งหน้าสู่ยอด Everest 
ที่ระดับความสูง 8,850 เมตร ในอีก 1 เดือนข้างหน้า

และจาก Island Peak คณะทีมปฏิบัติการเกียรติยศทั้ง 9 คน 
จะเดินทางกลับลงมายังเมือง Chikkung (ชิกกุง) , Dingboche (ดิงโบเช) , 
Lobuche (โลบูเช) , Gorekshep (โกเร็คเชฟ)  และ Everest Base Camp (เบสแคมป์)  
เพื่อทำพิธีสักการะภูเขา และพักผ่อน ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการตามแผนขั้นต่อไป 
เพื่อมุ่งหน้าสู่ยอด Everest  อัญเชิญธง 3 สถาบันของชาติขึ้นสู่ยอดให้สำเร็จ...
 
 




เซอร์เอ็ดมุนด์ฮิลลารี่ปีนเขาเอเวอร์เรสต์กับเทนซิงผู้นำทางชาวเชอร์ปา
ในวันที่ 28 เมษายนปี 1953

เซอร์เอ็ดมุนด์ ฮิลลารี่ ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ของเทือกเขาหิมาลัยเป็นคนแรกของโลก เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลอ็อกแลนด์ซิตี้ ประเทศนิวซีแลนด์ ขณะอายุ 88 ปี 

ในโลกของนักปีนเขาแล้ว ฮิลลารี่ถือเป็นราชาของนักปีนเขารุ่นหลัง เพราะการปีนขึ้นสู่เอเวอเรสต์ที่มีความสูง 29,028 ฟุต ต้องต่อสู้กับอันตรายจากธรรมชาติ ทั้งหิมะกัด หิมะถล่ม ลมแรง ความกดอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยก่อน เครื่องมือเครื่องใช้ในการปีนภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะยังไม่ดีเท่ากับปัจจุบัน 

ฮิลลารี่พิชิตเอเวอเรสต์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 โดยมี "เทนซิง นอร์เก" ชาวเผ่าเชอร์ปาของเนปาล เป็นผู้นำทาง นายแจน มอร์ริส นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เล่าว่า ฮิลลารี่เป็นคนถ่อมตัว หลังจากไปถึงเอเวอเรสต์แล้ว ฮิลลารี่และเทนซิงประกาศว่า ทั้งสองขึ้นไปบนเอเวอเรสต์ได้พร้อมๆ กัน แต่หลังจากค.ศ.1986 ที่เทนซิงเสียชีวิต ฮิลลารี่ได้ออกมายอมรับว่า เขาเป็นคนแรกที่ขึ้นไปเอเวอเรสต์ก่อน

นายกรัฐมนตรีเฮเลน คลาร์ก ของนิวซีแลนด์ กล่าวว่า การจากไปของฮิลลารี่นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวนิวซีแลนด์ พร้อมกันนี้ ยังมีคำสั่งให้ลดธงครึ่งเสาร์เพื่อแสดงความไว้อาลัยไปทั่วประเทศและจะจัดให้มีงานศพอย่างรัฐบุรุษ 
 

และดื่มฉลองความสำเร็จ กับเทนซิง
วันที่ 30เมษายน หลังพิชิตถึงยอดเขา 

ด้านชาวเชอร์ปาต่างเสียใจต่อการจากไปของเพื่อนผู้นี้ เพราะฮิลลารี่พยายามช่วยเหลือชาวเชอร์ปาในทุกๆ ด้าน ด้วยการตั้ง "กองทุนหิมาลายาทรัสต์" ช่วยเหลือชุมชน เช่น การสร้างโรงเรียน 26 แห่ง โรงพยาบาล 2 แห่ง และสนามบิน 

นายซิมบา ซังบู เชอร์ปา รองประธานสมาคมนักปีนเขาเนปาล กล่าวว่า "เรานับถือฮิลลารี่เหมือนพ่อคนที่ 2 ความช่วยเหลือของฮิลลารี่ได้เปลี่ยนชีวิตชุมชนชาวเชอร์ปา เพราะถ้าไม่มีความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการสร้างโรงเรียน ชาวเชอร์ปาก็จะไม่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างในปัจจุบัน"

นายปริธวี ซับบา กูรุง รมว.การท่องเที่ยววัฒนธรรมและการบินพลเรือน ของเนปาล กล่าวถึงฮิลลารี่ว่า "ฮิลลารี่เปรียบเหมือนทูตของเนปาลอย่างไม่เป็นทางการ เขาเกิดที่เมืองอ็อกแลนด์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1919 โดยในวัยเด็กนั้น ความสามารถยังไม่ได้ฉายแสงว่า ต่อไปเขาจะเป็นผู้ที่มีคนรู้จักไปทั่วโลก"

ในหนังสือ "View From The Summit" ฮิลลารี่เขียนว่า "ลูกทีมได้ขึ้นไปบนทางสู่เอเวอเรสต์ก่อน แต่ก่อนถึงยอดประมาณ 200-300 เมตร ลูกทีมก็ต้องหยุดพักเพราะเหนื่อยอ่อนและออกซิเจนมีอยู่น้อยมาก หลังจากพักเหนื่อย 1 คืนแล้ว ผมและเทนซิงจึงพยายามปีนขึ้นไปอีกครั้ง จนในที่สุด ผมได้ปีนขึ้นไปบนที่ราบปกคลุมด้วยหิมะ เมื่อมองไปทุกทิศทุกทางเห็นแต่ความว่างเปล่า จากนั้นเทนซิงจึงตามมาสมทบ และเรามองภาพอันแสนมหัศจรรย์นี้ด้วยกัน ขณะที่รู้สึกท่วมท้นไปด้วยความสุขนั้น เราก็ตระหนักว่า ได้ขึ้นมาถึงจุดสงสุดของโลกแล้ว "
 
เมื่อกลับถึงลอนดอน

ในรุ่งเช้าของวันพิชิตเอเวอเรสต์ เป็นเช้าที่มีอากาศแจ่มใส ไม่มีเมฆ ฮิลลารี่และเทนซิงพยายามปีนขึ้นสู่ยอดเขาอีกครั้ง ผ่านปราการหินสุดท้ายคือแนวหินยาว 13 เมตร ซึ่งต่อมานักปีนเขารุ่นหลังเรียกแนวหินนี้ว่า "ฮิลลารี่ สเตป" หรือ "ก้าวของฮิลลารี่"

ฮิลลารี่ติดอยู่ที่แนวหินแคบนี้ แต่ต่อมาได้ใช้พลังทั้งหมดยกตัวขึ้นไปและดึงเทนซิงขึ้นมา เมื่อเวลา 11.30 น. ทั้งคู่ได้ขึ้นมาบนยอดเขาที่สูงสุดในโลก และอยู่บนนี้ราว 15-30 นาที ฮิลลารี่ยังถ่ายรูปเทนซิงเมื่ออยู่บนยอดเขาด้วย แต่ฝ่ายฮิลลารี่เองนั้นกลับไม่มีรูปถ่าย เพราะเทนซิงใช้กล้องถ่ายรูปไม่เป็น 

จากนั้นฮิลลารี่และเทนซิงจึงลงมาที่แคมป์เซาท์คอล กระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน หนังสือพิมพ์ลอนดอนไทมส์ลงข่าวครึกโครมว่า ฮิลลารี่พิชิตเอเวอเรสต์ ซึ่งตรงกับฉลองวันครองราชย์ของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธของอังกฤษ ทำให้พระองค์ประกาศให้เขาเป็นอัศวินในวันนั้น ก่อนที่ฮิลลารี่จะลงมาจากเอเวอเรสต์ด้วยซ้ำ 

ค.ศ. 1960 ฮิลลารี่ได้ออกผจญภัยที่หิมาลัยอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อตามหา "เยติ" มนุษย์หิมะที่มีร่างกายใหญ่โต ตามความเชื่อของชาวเชอร์ปา "จัมลิง เทนซิง" ลูกชายของ "เทนซิง นอร์เก" กล่าวว่า "พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเห็นเยติ 2 ครั้ง" อย่างไรก็ตาม การค้นหาครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฮิลลารี่ล้มป่วยลงก่อนและล้มเลิกการเดินทาง

นอกจากการพิชิตเอเวอเรสต์แล้ว ฮิลลารี่ยังผจญภัยไปยังทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อค.ศ. 1957 เขาเป็นผู้ก่อตั้ง "ฐานสกอต" ของนิวซีแลนด์ในแอนตาร์กติกา และยังเป็นผู้ขับรถเข้าไปยังขั้วโลกใต้คนแรก

ฮิลลารี่ เจ้าของฟาร์มผึ้งและนักบุกเบิกที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งผู้นี้ ได้ตำหนินักปีนเขารุ่นหลังอย่างรุนแรงเมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อกลุ่มนักปีนเขา 40 คน ทิ้งนายเดวิด ชาร์ป นักปีนเขาชาวอังกฤษวัย 34 ปี ให้นอนตาย โดยกลุ่มนักปีนเขาต่างต้องการปีนขึ้นไปให้ถึงเอเวอเรสต์ 

เขากล่าวว่า "ชีวิตของมนุษย์สำคัญยิ่งกว่าการปีนให้ถึงจุดสุดยอด ผมคิดว่า ทัศนคติต่อการปีนเอเวอเรสต์กลายเป็นทัศนคติที่น่ากลัว เพราะคนต้องการปีนให้ขึ้นบนยอดเขาให้ได้เท่านั้น"


4 มิ.ย. 53 เวลา 10:08 6,819 5 70
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...