ใบหน้าปริศนาบนพื้นซีเมนต์

 

ในประเทศสเปนมีเรื่องราวประหลาดน่ากลัวอยู่เรื่องหนึ่งคือ เรื่องใบหน้าประหลาดที่

ปรากฏขึ้นบนพื้นเรียกกันว่า "เบลเมซ เดอ ลา โมลาลิด้า (Belmez de la Moraleda)

 

ภาพใบหน้ามนุษย์ปรากฏขึ้นบนพื้นปูนซีเมนต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าเจ้าของบ้านจะลงทุนทุบพื้นทิ้งลาดปูนใหม่แล้วก็ตาม ใบหน้าเหล่านั้นก็ยังคงกลับมาหลอกหลอนอย่างต่อเนื่อง เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชชาติที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบให้ไม่ได้

 

             มาเรีย โกเมซ                               บ้านที่เกิดเหตุ

 

วันที่ 23 สิงหาคม 1971 มาเรีย โกเมซ คามาร่า (Maria Gomez Camara) ชาวเมืองเบลเมซ (Belmez) ประเทศสเปน พลันสายตาเธอก็เหลือบไปเห็นรอยด่างบนพื้นซีเมนต์ข้างเตาในห้องครัวของเธอ มาเรียจึงเรียก ฮวน เพไรร่า (Juan Pereira) และมิเกล (Michuel) บุตรชาย มาช่วยกันดูว่าเป็นรอยอะไร ดูแล้วดูเล่าทั้ง 3 คนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดรอยด่างขึ้นบนพื้นได้อย่างไร แต่ก็ไม่ให้ความสำคัญกับมันมากนัก หลายชั่วโมงผ่านไป มิเกลกลับไปนั่งพิจารณาดูรอยด่างอีกครั้ง คราวนี้เขาสังเกตว่ารอยด่างเด่นชัดขึ้นกว่าเดิมและดูเหมือนว่ามันเป็นภาพใบหน้ามนุษย์ เท่านั้นเองคนทั้งบ้านก็ตกใจ ฮวนหยิบขวานมาทุบพื้นซีเมนต์บริเวณนั้นจนแตกละเอียดแล้วจัดแจงผสมปูนโบกทับลงไป ความสงบก็กลับมาเยือนครอบครัวเพไรร่าอีกครั้ง แต่ก็เพียงแค่ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

 

 

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมารอยด่างก็ปรากฏขึ้นบนพื้นปูนใหม่หลังจากที่แห้งสนิทเพียงไม่นาน มันเป็นภาพใบหน้ามนุษย์คล้ายคลึงกับภาพก่อนหน้านี้ที่ฮวนเพิ่งจะทุบทิ้ง ฮวนเริ่มสงสัยว่ามันอาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ใต้พื้นครัว เขาจึงติดต่อกลับไปที่สำนักงานอำเภอให้มาช่วยตรวจสอบพื้นดินใต้บ้านว่ามันเป็นแหล่งสะสมของสารเคมีอะไรหรือเปล่า วิศวกรโยธาจึงทำการทุบพื้นครัวอีกครั้ง พวกเขาขุดหลุมค้นหาสิ่งแปลกปลอมใต้พื้นครัว ขุดไปขุดมาจนหลุมลึก 2.8 เมตรก็ไปเจอโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากฝังอยู่ จากการสืบสาวประวัติความเป็นมาก็พบว่า พื้นที่นี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ประจำหมู่บ้านเมื่อช่วงศตวรรษที่ 17

 

 

โบสถ์ถูกสร้างขึ้นบนสุสานโบราณ ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพผู้เสียชีวิตมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ก่อนที่จะมีชุมชนมาอาศัยอยู่ ชุมชนเบลเมซเพิ่งจะมาตั้งรกรากกันในศตวรรษที่ 15 เพื่อสืบสานประเพณีดั้งเดิม เจ้าอาวาสจึงยังคงใช้พื้นที่นี้เป็นสถานที่ฝังศพ ต่อมาหมู่บ้านเติบโตขยายใหญ่ขึ้น ชาวบ้านส่วนหนึ่งแยกย้ายไปสร้างชุมชนแห่งใหม่ชื่อหมู่บ้านอลิแคนเต้ (Alicante) มีการสร้างโบสถ์และสุสานในชุมชนแห่งใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าโบสถ์หลังเดิมในหมู่บ้านเบลเมซ นานวันเข้าโบสถ์ในหมู่บ้านเบลเมซก็ลดขนาดลง ที่ดินส่วนหนึ่งถูกนำไปขายให้กับชาวบ้านและบ้านเรือนก็ผุดขึ้นมาแทนที่ บ้านของมาเรียถูกสร้างขึ้นในราวปี 1830 ในเวลานั้นชาวเมืองเบลเมซก็ลืมเลือนไปแล้วว่าผืนดินตรงนี้เคยเป็นสุสานมาก่อน จนกระทั่งดวงวิญญาณอดรนทนไม่ไหว แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์ในปี 1971

 

 

โครงกระดูกทั้งหมดถูกนำไปประกอบพิธีตามความเหมาะสม โดยหวังว่าจะไม่มาทำปาฏิหาริย์ให้คนในบ้านได้อกสั่นขวัญแขวนกันอีก หลุมถูกกลบและปูนถูกโบกลงบนพื้นอีกครั้ง แต่แล้วในวันที่ 10 กันยายน รอยด่างจางๆก็เริ่มปรากฏขึ้นบนพื้นอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานรอยด่างก็รวมตัวกันเป็นภาพใบหน้ามนุษย์ และคราวนี้มากันเป็นทีมมีทั้งใบหน้าผู้หญิง ใบหน้าผู้ชาย เมื่อรอยด่างเดิมจางหายไปรอยด่างใหม่ก็เกิดขึ้น สลับกันไปมาอย่างนี้ตลอดเวลาใบหน้าปริศนายังคงผลุบๆโผล่ๆบนพื้นบ้านของมาเรียตลอดเวลา แต่เธอและครอบครัวก็เริ่มจะชินและไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเหมืยนเพื่อขอดูภาพใบหน้าปริศนาแล้วนำเรื่องไปกระจายบอกต่อๆกันไปเป็นทอดๆ กระทรวงมหาดไทยของสเปนถึงกับส่งทีมนักวิทยาศาสตร์มาสืบสวน โดยพวกเขาสรุปว่ารอยด่างบนพื้นซีเมนต์เกิดจากการใช้สารเคมีบางอย่างเช่น เขม่าผสมน้ำส้มสายชูระบายลงบนพื้น ซึ่งสามารถเช็ดถูออกได้โดยง่าย บทสรุปของนักวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะชี้นำว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างไรก็ตามภาพใบหน้าปริศนาก็ยังปรากฏขึ้นบนพื้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

1 พฤศจิกายน 1975 เจอร์มัน ดี อาร์กูโมซ่า (German de Argumosa) นักสืบสวนเหตุการณ์เหนือธรรมชาติติดต่อกับมาเรียขออนุญาตสืบสวนความลึกลับของภาพใบหน้าปริศนาว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแหกตากันแน่ เจอร์มันขออยู่สังเกตการณ์ภายในบ้านเป็นเวลา 3 เดือน โดยช่วงเวลาดังกล่าวห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาในบ้านโดยเด็ดขาด ปรากฏว่าภาพใบหน้าปริศนายังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งๆที่อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของทีมผู้เชี่ยวชาญ แต่บางคนก็ไม่ปักใจเชื่อโดยออกความเห็นว่าภาพใบหน้าบนซีเมนต์สามารถสร้างขึ้นได้โดยการใช้เกลือเงินกับไนเตรต ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการผลิตฟิล์มถ่ายภาพ สารเคมีดังกล่าวจะทำปฏิกิริยากับแสงแปรสภาพเป็นสีดำ

 

ทีมสืบสวนแซะเอาซีเมนต์ที่ปรากฏภาพใบหน้ากลับไปทดสอบในห้องทดลอง แต่ผลการทดสอบไม่พบสารเคมีดังกล่าวบนแผ่นซีเมนต์ อีกทั้งรอยด่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดบนผิวหน้าของซีเมนต์หากแต่มันฝังอยู่ในเนื้อซีเมนต์ ข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์สเปนและผู้เชี่ยวชาญทางด้านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจึงเป็นเพียงแค่ว่ากันไปตามทฤษฎีเท่านั้น เท่านั้นยังไม่พอทีมสืบสวนดำเนินการอีกขั้นด้วยการสร้างคอกล้อมรอบบริเวณที่เกิดรอยด่างและใช้แผ่นกระจกปิดทับเพื่อป้องกันการเล่นไม่ซื่อ แต่ภาพใบหน้าปริศนารูปเก่าก็ยังคงเลือนจางหายไปและเกิดภาพใหม่ขึ้นมาแทนที่อยู่ตลอดเวลา

 

 

ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญจะลืมคิดไปว่าทำไมภาพใบหน้าปริศนาจึงเกิดขึ้นในบ้านมาเรียเพียงหลังเดียวเท่านั้น ทั้งๆที่บ้านอีกหลายหลังก็ต้องอยู่บนพื้นที่ของสุสานโบราณเช่นกัน วันที่ 5 เมษายน 1996 เปโดร อโมรอส (Pedro Amoros) ประธานสมาคมวิจัยสิ่งเหนือธรรมชาติแห่งสเปนจึงนำทีมงานไปสืบสวนอีกครั้ง เปโดรพบว่าบ้านของมาเรียเป็นบ้านเพียงหลังเดียวเท่านั้นที่มีน้ำใต้ดินไหลผ่านซึ่งทำให้พื้นบ้านมีความชุ่มชื้นทำปฏิกิริยาทางเคมีกับสารบางอย่างในปูนซีเมนต์เกิดเป็นรอยด่างสีดำ แต่ทฤษฎีนี้ก็เป็นอันตกไปอีกเช่นกันเมื่อปรากฏว่าพื้นซีเมนต์ที่ถูกตัดออกมาเมื่อหลายปีก่อนจนกระทั่งมันแห้งสนิทแล้วก็ยังคงมีภาพใบหน้าปริศนาปรากฏอยู่

 

หากความชื้นก็ยังไม่ใช่สาเหตุการเกิดภาพใบหน้าปริศนาแล้วสิ่งใดเล่าที่มีอยู่ในบ้านของมาเรียแต่บ้านหลังอื่นไม่มี เปโดรเชื่อว่าสิ่งนั้นก็คือตัวมาเรียนั่นเอง มาเรียใช้พลังความคิดสร้างภาพขึ้นบนพื้นซีเมนต์ ซึ่งศาสตร์ชนิดนี้มีการศึกษาค้นคว้ากันอยู่ในหลายๆประเทศ จากการสืบสวนของเปโดรพบว่า ในวันที่ 23 สิงหาคม 1971 มาเรียป่วยหนักมีไข้สูง ซึ่งเปโดรอ้างว่าอาการป่วยของมาเรียส่งผลกระทบกับคลื่นสมองทำให้เธอปลดปล่อยพลังงานออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือที่เรียกกันว่าการส่งกระแสจิต นานวันเข้าภาพใบหน้าปริศนาก็เริ่มขยายวงไม่จำกัดอยู่แค่เฉพาะในครัว มันลุกลามเกิดขึ้นมากมายหลายแห่งตามพื้นและกำแพงทั่วบ้าน

 

 

นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานของรัฐบาลสเปนต่างก็ออกมาคัดค้านความเชื่องมงาย โดยให้เหตุผลว่ารอยด่างบนพื้นบ้านมาเรียเกิดจากการกระทำของมนุษย์ซึ่งอาจเป็นใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวและอาจมีนักไสยศาสตร์อย่างเจอร์มันและเปโดรให้ความร่วมมือ แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าวได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่มาเรียจะสร้างเรื่องขึ้นมาหลอกลวงผู้คน เธอไม่ได้ขายสินค้าไม่มีการเก็บเงินค่าเข้าชมไม่เคยนำภาพใบหน้าปริศนาไปหาเงินเข้ากระเป๋าด้วยวิธีการใดๆทั้งสิ้น ไม่ยอมรับแม้กระทั่งเงินบริจาค แม้ว่ามาเรียจะเสียชีวิตลงในปี 2004 ภาพใบหน้าปริศนาก็ยังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ในทางตรงกันข้ามฝ่ายที่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นกัน ฟรานซิสโก้ มาเนซ (Francisco Manez) พยายามอธิบายว่ารอยด่างก็คือรอยด่าง เพียงแต่คนที่เห็นนำไปตีความเป็นภาพโน้นภาพนี้ตามแต่จินตนาการจะพาไป ความเห็นของฟรานซิสโก้อาจฟังดูเข้าท่าหากว่ารอยด่างที่เหมือนใบหน้ามนุษย์มันไม่ได้มีเพียงรอยเดียว แต่มีมากมายหลายสิบภาพมันคงไม่บังเอิญถึงขนาดที่ทุกๆรอยด่างจะดูเหมือนใบหน้ามนุษย์ไปทุกรอย และเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 30 ปี

 

 

จวบจนถึงปัจจุบันภาพใบหน้าปริศนาแห่งเมืองเบลเมซจึงยังคงเป็นที่ปรากฏที่หาคำ

อธิบายไม่ได้ ใครเชื่อในเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติก็เชื่อไป ใครไม่เชื่อดูภาพ

ประกอบแล้วก็ผ่านๆไป ใช้วิจารณญาณตัดสินใจกันว่ามันเป็นภาพใบหน้ามนุษย์หรือ

แค่รอยด่างธรรมดาบนพื้นปูนซีเมนต์...

 

ขอขอบคุณรูปจาก : http://demergency-fatalframe.blogspot.jp/   และอีกหลายๆเว็บค่ะ

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...