"การทดลองกับเด็ก" ในครั้งอดีตที่ "โหดร้าย" และ "ทำร้ายจิตใจ"

 

ในอดีตมีการทดลองทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นเพื่อการศึกษาความคิดและจิตใจของมนุษย์มากมาย ในการทดลองเหล่านั้นมีอยู่หลายอันที่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ก็เป็นการทดลองที่ทำร้ายจิตใจและอีกยังทดลองกับเด็กๆที่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีผลเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นมากแค่ไหน ลองมาดูตัวอย่างการทดลองบางอันในบทความนี้กันค่ะ

 

 

Robbers Cave Experiment การทดลองทำให้เด็กเกลียดชังคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน

 

 

นักจิตวิทยาสังคมที่ชื่อ Muzafer Sherifo ต้องการศึกษาว่า ถ้ามีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่ม และอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแข่งขันกัน ทั้งสองกลุ่มนี้จะพัฒนาความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายอย่างไร และจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้ได้อย่างไร และสำหรับการทดลองนี้ เขาได้ใช้ตัวอย่างเป็นเด็กจริงๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วยว่าตัวเองมีส่วนในการทดลอง

ในหน้าร้อนปี ค.ศ.1954 เด็กชายชั้นประถมอายุ 11-12 ปี จำนวน 22 คน ได้มาเข้าค่ายฤดูร้อนที่ Robbers Cave State Park รัฐโอกลาโฮมา เด็กทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 11 คน โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีกลุ่มที่เป็นพวกคนอื่นนอกจากพวกของตัวเองด้วย และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นแค่การทดลองที่ผู้ปกครองของตัวเองเซ็นยินยอมมาเรียบร้อยแล้ว

ในสัปดาห์แรก ทั้งสองกลุ่มได้ทำกิจกรรมแยกกัน ในกลุ่มก็จะมีการทำกิจกรรมเพื่อให้เด็กๆ ในคุ้นเคยกัน มีการแบ่งลำดับชั้นและมีคนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ มีการตั้งชื่อกลุ่ม (ทีม Eagles และทีม Rattlers) และทำธงประจำกลุ่ม เมื่อเด็กๆ ในสนิทสนมกันดีแล้วก็ถึงการทดลองขั้นต่อไปคือ ให้เด็กทั้งสองกลุ่มได้มาเจอกัน และสร้างสถานการณ์ที่จะทำให้เด็กเกลียดเด็กฝั่งตรงข้ามตนเอง

เพื่อให้เกิดสถานการณ์ของความเกลียดชัง ได้มีการจัดแข่งขันเช่น เบสบอล วิ่งสามขา และชักกะเย่อ โดยจะมีรางวัลพิเศษต่างๆ สำหรับทีมผู้ชนะ เมื่อเอารางวัลมาล่อแบบนี้แล้ว เด็กทั้งสองกลุ่มก็เริ่มแข่งขันกันหนักขึ้น และจากที่เริ่มแค่การดูถูก เยาะเย้ย ถากถาง การแข่งขันก็เริ่มกลายเป็นการต่อสู้ที่จบลงด้วยทีม Eagles เผาธงของทีม Rattlers เนื่องจากไม่พอใจที่กลุ่มตนเองแพ้การแข่งชักกะเย่อ

เมื่อการทดลองดำเนินไปเรื่อยๆ ความขัดแย้งระหว่างเด็กทั้งสองกลุ่มก็มากขึ้นจนถึงการทำร้ายกันชกต่อยกันเมื่อทั้งสองทีมต้องมากินอาหารเย็นที่เดียวกัน สุดท้ายแล้วเมื่อการแข่งขันทั้งหมดสิ้นสุดลงโดยทีม Eagles เป็นผู้ชนะและได้รางวัลไป แต่ทีม Rattlers ก็พากันบุกเข้าไปรื้อค้นที่พักของทีม Eagles และขโมยรางวัลไป

สภาพบ้านที่ถูกรื้อค้นโดยทีมฝั่งตรงข้าม

ระหว่างการทดลองนี้ Muzafer Sherif ทำสำเร็จในการเปลี่ยนเด็กประถมธรรมดาๆ ให้กลายเป็นแก๊งอันธพาน เด็กมีปัญหา ที่มีพฤติกรรมรุนแรงได้ในที่สุด และทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น

เพิ่มเติม

สุดท้ายแล้ว Muzafer Sherif ก็พยายามหาทางเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างเด็กสองกลุ่มนี้ ในตอนแรกทีมนักวิจัยให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกันเช่น ดูโทรทัศน์ และเล่นประทัด แต่ก็ไม่สำเร็จ ต่อมาจึงเปลี่ยนวิธีโดยการสร้างสถานการณ์ปัญหาให้เด็กทั้งสองกลุ่มต้องช่วยกันคิดหาทางแก้ไข และเมื่อช่วยกันแก้ได้จนสำเร็จแล้วความตึงเครียดระหว่างกลุ่มก็เริ่มหายไป จนกระทั่งจบการทดลอง เด็กทั้งหมดก็ตัดสินใจนั่งรถบัสคันเดียวกันกลับบ้าน เป็นอันจบการทดลองที่ถือว่าประสบความสำเร็จ

*************************************

Bobo Doll Experiment

การทดลองให้เด็กแสดงความรุนแรงต่อตุ๊กตาล้มลุก

ในช่วงต้นปี ค.ศ.1960 นักจิตวิทยาสังคม Albert Bandura ต้องการทดลองว่า เด็กๆ จะแสดงพฤติกรรมรุนแรงโดยเลียนแบบจากการดูเพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ วิธีการก็คือ ถ่ายวิดีโอที่มีผู้ใหญ่กำลังทำร้าย เตะ ทุบตีตุ๊กตาล้มลุกรูปตัวตลกด้วยค้อน แล้วเอาวิดีโอนั้นไปเปิดให้เด็กกลุ่มแรกจำนวน 24 คนดู เด็กกลุ่มที่สองได้ดูวิดีโอธรรมดาๆ ที่ไม่มีความรุนแรง ส่วนเด็กกลุ่มสุดท้ายไม่ได้ดูอะไร แล้วจากนั้นก็ปล่อยเด็กๆ ทั้งหมดเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มีตุ๊กตาล้มลุกรูปตัวตลกอยู่ แล้วสังเกตพฤติกรรม

เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว เด็กกลุ่มแรกตรงเข้าไปทำร้ายตุ๊กตาล้มลุกทันที บ้างก็เข้าไปใช้ค้อนตีแบบที่เห็นในวิดีโอ ในขณะที่มีเด็กบางคนเอาปืนของเล่นมาจ่อที่ตุ๊กตาด้วย ทั้งๆ ที่ในวิดีโอไม่ได้มีการใช้ปืนเลยแม้แต่น้อย ส่วนเด็กกลุ่มที่สองก็เข้าไปต่อยเตะตุ๊กตาเช่นกัน แต่ไม่ทำรุนแรงอย่างเด็กกลุ่มที่ได้ดูวิดีโอที่มีคนสาธิตตัวอย่างการทำร้ายหุ่นให้ดู

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อโต้แย้งว่าผลการทดลองนี้สรุปอะไรไม่ได้ เพราะตุ๊กตาล้มลุกถูกออกแบบมาเพื่อเป็นของเล่นให้เด็กๆ ทุบตีอยู่แล้วไม่ว่าจะได้ดูวิดีโอหรือไม่ก็ตาม Albert Bandura เลยทำการทดลองซ้ำคล้ายๆ แบบเดิม ด้วยการถ่ายวิดีโอผู้ใหญ่กำลังทำร้ายและทุบตี คราวนี้เป็นคนจริงๆ แต่งตัวเป็นตัวตลก ด้วยค้อน

หลังจากให้เด็กๆ ดูวิดีโอแล้ว ก็ปล่อยเข้าไปอยู่ในห้องกับตัวตลกจริงๆ และแน่นอนว่าเด็กที่ได้ดูวิดีโอก็เข้าทำร้ายตัวตลกแบบที่เห็นตัวอย่างผู้ใหญ่ทำมาก่อน ผลจึงสรุปได้ว่า เด็กๆ สามารถเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงได้จริงๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย เพราะเด็กยังไม่มีความเข้าใจถึงผลที่จะตามมาและยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่แสดงออกไปเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ การทดลองนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในเรื่องของการชี้นำให้เด็กมีพฤติกรรมรุนแรง และอาจส่งผลระยะยาวต่อพฤติกรรมในอนาคต

******************************************

Visual Cliff Experiment

การทดลองให้ทารกคลานผ่านหน้าผาจำลอง

 

เมื่อเด็กทารกโตพอที่จะคลานได้แล้ว เด็กส่วนมากจะหลีกเลี่ยงไม่คลานไปยังที่ๆ เป็นขอบสูงๆ ที่ถ้าตกลงไปแล้วจะทำให้เป็นอันตรายต่อตัวเอง นักวิทยาศาสตร์เองไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเด็กจึงรู้ว่า ความสูงเท่ากับอันตราย ทั้งๆ ที่เด็กเหล่านี้ไม่เคยตกจากที่สูงมาก่อน และทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าทำไม คือการทดลองกับเด็กโดยสร้างสถานการณ์ที่จะโน้มน้าวให้เด็กคลานผ่านที่สูงที่ดูอันตราย

ในปี ค.ศ.1960 นักจิตวิทยาสังคมสองคนจากมหาวิทยาลัย Cornell ชื่อ Eleanor J. Gibson และ Richard D. Walk  สร้างโต๊ะแบบพิเศษที่เรียกว่า หน้าผาจำลอง (Visual Cliff) ที่ครึ่งหนึ่งเป็นโต๊ะไม้ทึบๆ แต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นกระจกใสๆ จนดูเหมือนไม่มีอะไรรองอยู่ จากนั้นก็วางทารกลงตรงด้านโต๊ะทึบแล้วไห้แม่เด็กพยายามเรียกและหลอกล่อเด็กให้มาอีกฝั่งที่เป็นกระจกใสๆ เพื่อดูว่าเด็กจะทำอย่างไร

ถึงแม้จะดูไม่อันตรายเพราะยังไงเด็กก็ไม่ได้ตกจากโต๊ะจริงๆ แต่การทดลองนี้มีผลทำให้เด็กเกิดความสับสนและขวัญเสีย เมื่อแม่ของตัวเองพยายามเรียกให้มาหาทั้งๆ ที่เด็กก็เข้าใจว่าทางข้างหน้าเป็นที่สูงอันตราย เด็กจะถูกบังคับให้เลือกระหว่างสัญชาตญาณการป้องกันตัวเองกับการเชื่อฟังแม่

นักจิตวิทยาทำการทดลองกันทารก 36 คน อายุตั้งแต่ 6-14 เดือน และจากในจำนวนทั้งหมดมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยอมคลานผ่านหน้าผาไปหาแม่ ส่วนที่เหลือจะนิ่งอยู่กับที่ไม่ก็คลานหนีไปห่างๆ บางคนก็ร้องไห้ด้วยความสับสน อย่างไรก็ตาม มีการสังเกตกันว่าทารกที่ไม่ยอมคลานข้ามมาก็จะพยายามอยู่ใกล้กับขอบให้มากที่สุดจนถึงขนาดที่ถ้าเป็นขอบจริงๆ เด็กคงจะตกลงไปแล้ว ดังนั้น ถึงแม้เด็กทารกจะเข้าใจอันตรายของความสูงแล้วแต่ก็ไม่ควรจะปล่อยเด็กไว้คนเดียวอยู่ดีเพราะการกะระยะยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่นั่นเอง

********************************************

ใช้เด็กเป็นตุ๊กตาฝึกหัด

ย้อนไปในสมัยที่หน้าที่ของผู้หญิงก็คือการเรียนรู้วิธีการเป็นแม่บ้านที่ดีพร้อมกับเลี้ยงลูกไปด้วย มีสถานศึกษามากมายที่เปิดหลักสูตรสอนการเลี้ยงเด็กเช่น ที่มหาวิทยาลัย Minnesota and Eastern Illinois State ที่เชื่อว่า ไม่มีวิธีการฝึกแบบไหนดีเท่าการผึกกับเด็กทารกจริงๆ

เริ่มต้นเมื่อช่วงปี ค.ศ.1920 มหาวิทยาลัยเหล่านี้ “ยืม” เด็กทารกนับร้อยๆ มาจากสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเพื่อนำมาให้นักศึกษาหญิงฝึกหัดเลี้ยง ทารกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในส่วนของตึกฝึกหัด ที่ๆ นักศึกษาหญิงเป็นกลุ่มครั้งละ 8-12 คน จะพลัดกันมาหัดเลี้ยงเด็กเหล่านี้

ชื่อจริงๆ ของเด็กจะถูกเก็บเป็นความลับ และสาวๆ มือใหม่แต่ละคนก็จะตั้งชื่อให้เด็กเอง หลังจากทำหน้าที่เป็นตุ๊กตาสำหรับฝึกหัดได้ปีหรือสองปี และผ่านการเลี้ยงดูจากแม่มากที่สุดถึง 12 คน เด็กเหล่านี้ก็จะถูกส่งกลับไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าหรือไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์

Denny Domecon หนึ่งในเด็กที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวฝึกทดลองการเลี้ยงเด็ก

หลักสูตรการเลี้ยงเด็กที่ใช้ทารกจริงๆ แบบนี้ดำเนินไปจนถึงช่วงปี ค.ศ.1960 ในช่วงที่คนเริ่มรู้แล้วว่าการเลี้ยงดูเด็กจริงๆ นั้นที่สำคัญไม่ใช่แค่การดูแล ให้อาหาร แต่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ตั้งแต่เมื่อเป็นทารก และการกระทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม โครงการเหล่านี้จึงถูกยกเลิกไปหรือใช้หุ่นตุ๊กตาให้การฝึกแทน น่าเสียดายที่ไม่มีการติดตามดูว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกรับเลี้ยงไปจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไร และการเลี้ยงดูแบบนี้จะมีผลอย่างไรก็การใช้ชีวิตเมื่อเป็นผู้ใหญ่

***************************************

...การทดลองแปลงเพศเด็กทารก...

 

David Reimer และ Brian Reimer เป็นฝาแฝดเหมือนเพศชายที่เกิดเมื่อปี ค.ศ.1965 เมื่อ David อายุได้ 8 เดือน เขามีปัญหาเรื่องการปัสสาวะและต้องทำการผ่าตัดโดยใช้อุปกรณ์ที่เป็นแท่งร้อนๆ เผาผิวหนังบางส่วนออก แต่การผ่าตัดล้มเหลวและหมอพลาดทำให้อวัยวะเพศของเขาถูกเผาจนไม่สามารถแก้คืนได้

พ่อแม่ของเขาพา David ไปพบคุณหมอ John Money ผู้เชี่ยวชาญด้านการระบุเพศเพื่อขอคำปรึกษา และได้ข้อสรุปกันว่า จะทำการผ่าตัดแปลงเพศให้ David กลายเป็นผู้หญิงเพื่อจะไม่ได้มีปัญหาเมื่อเติบโตขึ้นเขาจะต้องถูกเลี้ยงดูแบบเด็กผู้หญิง

อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วคุณหมอไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพชีวิตของ David สักเท่าไหร่ แต่ที่เขาต้องการคือ เพื่อศึกษาและพิสูจน์ว่า ธรรมชาติไม่ได้เป็นตัวกำหนดเพศแต่เป็นที่การเลี้ยงดูต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเด็กคนนั้นจะเติบโตมาแบบเพศไหน อีกทั้ง David ยังมีฝาแฝดชายที่ถูกเลี้ยงดูมาพร้อมๆ กัน ยิ่งทำให้เขาเป็นตัวอย่างชั้นดีในการทดลองนี้

ปัญหาก็คือ David (ซึ่งได้ชื่อใหม่เป็น Brenda) ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กผู้หญิงก็จริง แต่เขาไม่ยอมใส่ชุดกระโปรง ไม่ยอมเล่นแบบเด็กผู้หญิง และมักถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ พ่อแม่ของเขาพยายามปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากหมอ John Money แต่เขากลับไม่สนใจและยังคงตีพิมพ์ผลงานวิชาการที่เกี่ยวกับกรณีของ David ออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง David เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและได้รู้ความจริง ครอบครัวจึงหยุดการเดินทางไปหาหมอ และงานวิจัยก็ถูกล้มเลิกไป

เมื่ออายุได้ 14 ปี David ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตเป็นผู้ชายเหมือนอย่างเก่า แต่เขาต้องเผชิญกับปัญหาในการใช้ชีวิตมากมายรวมถึงกลายเป็นโรคซึมเศร้า เขามีชื่อเสียงขึ้นมาในปี ค.ศ.1997 เมื่อเขาออกมาเล่าเรื่องราวของเขา David และได้ตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติ As Nature Made Him : The Boy Who Was Raised as a Girl เขาได้แต่งงานกับผู้หญิง และเลี้ยงลูกติดของเธอทั้งสามคน

หนังสือชีวประวัติของ David Reimer

แต่สุดท้ายแล้วชีวิตของ David ก็ต้องจบลงอย่างน่าเศร้าเมื่อเขาฆ่าตัวตายในปี ค.ศ.2004 ซึ่งก่อนหน้านั้น Brian  ฝาแฝดของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตลงจากการเสพยาในปี ค.ศ.2002 เชื่อกันว่าสาเหตุหลักที่นำไปสู่การจบชีวิตของเขาก็เนื่องมาจากประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กนี้นี่เอง

 

ที่มา : Cracked , Spring

แปลและเรียบเรียงโดยทีมงาน everyday readers.com

 

13 เม.ย. 56 เวลา 01:47 7,376 1 110
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...