'กามวิตถาร' ป่วยใจอันตรายถึงชีวิต ?

ความผิดปรกติทางเพศมีหลายรูปแบบ บางประเภทขัดต่อศีลธรรมจรรยา บางประเภทอาจรุนแรงถึงขั้นก่ออาชญากรรมทางเพศ และด้วยสภาพจิตใจที่ผิดปรกติจนถึงขั้นที่คนไข้ควบคุมตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ตามมาจึงอาจร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต แต่เพราะสังคมมองว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศที่แปลกและอันตราย ไม่ใช่ความผิดปรกติทางจิตใจ หากแต่เป็นความแตกต่างด้านรสนิยมทางเพศ ที่ถึงแม้จะน่าอับอายและต้องปกปิด แต่ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่ควรก้าวก่าย ทำให้ผู้ที่มีจิตเบี่ยงเบนหรือผิดปรกติ บุคลิกภาพแปรปรวนจนถึงขั้นกามวิตถารไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม 
        นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน จิตแพทย์ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กามวิตถาร เป็นคำที่แปลมาจากคำว่า พาราฟิลเลีย (Paraphilia) ซึ่งหมายถึงการเบี่ยงเบนทางเพศ พารา (Para) หมายถึงข้าง ๆ และฟิลเลีย (Philia) หมายถึงเพศ พอใช้คำว่าเบี่ยงเบนทางเพศหลาย ๆ คนก็เข้าใจว่าเป็นการรักร่วมเพศ แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาใช้คำว่า 'กามวิต ถาร' แทน ซึ่งหมายถึงอาการผิดปรกติทางจิตใจ โดยทางจิตเวชศาสตร์จัดไว้ในกลุ่มเดียวกับบุคลิกภาพแปรปรวน (Personality Disorder) ถือเป็นโรค (Symptom) ทางจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งแบ่งได้เป็นกลุ่ม ดังนี้ 
        1. รักร่วมเพศ (Homosexuality) หมายถึง พฤติกรรมทางเพศที่แสดงอารมณ์เพศต่อเพศเดียวกัน ได้แก่ รักร่วมเพศชาย (Male Homosexual) ชายที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่คนทั่วไปเรียกว่า เกย์ (Gay) โดยแบ่งเป็นผู้แสดงบทบาทเป็นผู้กระทำในพฤติกรรมทางเพศ เรียกว่า เกย์ คิง (Gay King) และผู้แสดงบทบาทเป็นผู้ถูกกระทำ เรียกว่า เกย์ควีน (Gay Queen) และรักร่วมเพศหญิง (Female Homosexual) พฤติกรรมรักร่วม เพศหญิง เรียกกันว่า เลสเบียนนิสม์ (Lesbianism) หญิง ที่กระทำตนเป็นชายนั้นเรียกว่า ทอม (Tom) และจะมีคู่ที่เรียกว่า ดี้ ซึ่งมาจากคำว่า Lady
        2. หลงเพศ (Transsexlua- lism) คือ พวกที่มีความรู้สึกว่าตนเป็นเพศตรงข้ามของตนอย่าง แท้จริง จะดึงตัว เป็นเพศตรงข้ามกับเพศของตนตลอดเวลา (Transverstism) และมีความ รู้สึกนึกคิดและจิตใจเป็นเพศตรงข้ามกับตน พวกหลงเพศนี้พบได้น้อยกว่า รักร่วมเพศ
        3. ลักเพศ (Transvestism) คือ พฤติกรรมที่แสดงโดยการแต่งตัวเป็นเพศตรงข้ามของเพศตัวเอง แล้วทำให้มีความสุขทางเพศ พบได้ทั้งชายและหญิง แต่พบได้มากกว่าในชาย โดยพวกลักเพศชายจะยึดถือเสื้อผ้าสตรีเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขทางเพศ สำหรับผู้ที่แต่งตัวเป็นเพศตรงข้ามอย่างเปิดเผยและแต่งเป็นประจำนั้น อาจไม่ใช่ลักเพศธรรมดา แต่เป็นพวกหลงเพศและรักร่วมเพศที่แสดงออกโดยการแต่งตัวเป็นเพศตรงข้ามด้วย และเรียกว่า Symptom Transvestism 
        4. การพอใจทางเพศกับวัตถุ (Fetishism) การที่มีความพอใจอย่างหนึ่ง ซึ่งพบในชายเท่านั้น โดยจะสะสมของใช้ เช่น ยกทรง กางเกงใน ฯลฯ เพื่อความพอใจทางเพศ และพวกนี้จะเกิดอารมณ์เพศโดยนำของนั้นมาลูบไล้ สัมผัส กอดจูบ และกระทำการสำเร็จความใคร่ (Masturbation) พร้อมกันไป
        5. ซาดิสม์ และมาโซคิสม์ (Sadism and Masochism or S&M or SM) ซาดิสม์ หมายถึง การเกิดความพอใจทางเพศจนถึงขนาดสำเร็จความใคร่ (Orgasm) ด้วยการทำร้ายให้คู่ร่วมเพศเกิดความเจ็บปวด ไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ กามวิตถารพวกนี้เกิดกับชายเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมาโซคิสม์ หมายถึง การเกิดความพอใจทางเพศจนถึงขนาดสำเร็จความใคร่เมื่อได้รับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือจิตใจ กามวิตถารทั้ง 2 ประเภทนี้อาจเกิดขึ้นในคนคนเดียวกัน ในขณะเดียวกัน หรือคนละคราว ก็ได้ จึงรวมเรียกว่า Sadomasochism ซึ่งกามวิตถารพวกนี้มีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมรุนแรงได้สูง และมีแนวโน้มเป็นอันตรายแก่สังคมสูง
        6. การชอบอวดอวัยวะเพศ (Exhibitionism) คือ การมีความสุขทางเพศจากการเปิดอวัยวะเพศของตนให้ผู้อื่นซึ่งเป็นคนแปลกหน้า เห็น พบได้ในชายเป็นส่วนใหญ่ เพศหญิงพบน้อยมาก บางรายขณะเปิดอวัยวะเพศจะแข็งตัว และบางรายจะทำการสำเร็จความใคร่ไปพร้อม ๆ กัน นอกจากนี้การพูดจาหยาบโลนก็ถือว่าเป็นพวกชอบอวดอวัยวะชนิดหนึ่ง (Verbal Exhibitionism) มักจะใช้โทรศัพท์ Chat room หรือโปรแกรม Chat online เพื่อพูดจาหยาบโลนและชักจูงเป็นทำนองร่วมเพศ เป็นต้น
        7. การเป็นนักถ้ำมอง (Voyeurism or Scopophilia) การเกิดความสุขทางเพศจากการแอบดูร่างเปลือยหรือดูการร่วมเพศของคนอื่น พวกที่เป็นนักถ้ำมอง (Vogue) จะพบได้ในวัยหนุ่มสาวมากกว่าวัยสูงอายุ กลุ่มนี้เมื่อแอบดูมักจะทำการสำเร็จความใคร่ไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย พบได้น้อยมากในเพศหญิง        
        8. การพอใจทางเพศจากการถูไถร่างกายเพศตรงข้าม (Frot teurism or Frottage) หมายถึง การเกิดความพอใจทางเพศเมื่อเอาอวัยวะเพศกดหรือเสียดสีกับร่างกายเพศตรงข้าม ทั้ง ๆ ที่สวมเสื้อผ้าอยู่ และการเสียดสีนั้นจะทำให้สำเร็จความใคร่
        9. ความต้องการทางเพศกับเด็ก (Pedophilia) ได้แก่ การที่ผู้ใหญ่จะเกิดอารมณ์สุขทางเพศกับเด็กที่ยังไม่ถึงวัยหนุ่ม สาว และอาจจะเป็นเด็กเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้ โดยอาจจะเอาอวัยวะเพศให้เด็กลูบคลำ หรือจับต้องอวัยวะเพศของเด็ก เอาอวัยวะเพศไปเสียดสีร่างกายเด็กจนสำเร็จความใคร่ หรือให้เด็กใช้มือสำเร็จความใคร่ พวกที่รู้สึกรุนแรงอาจจะถึงขนาดทำการร่วมเพศกับเด็ก หรือร่วมเพศทางทวารหนักของเด็ก
        10. การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ (Zoophelia or Bestiality) หมายถึง ความพอใจทางเพศที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ พฤติกรรมจะแสดงออกโดยร่วมเพศกับสัตว์ทางอวัยวะเพศหรือทางทวารหนักของสัตว์ การให้สัตว์ดูดหรือเลียอวัยวะเพศของคน หรือดูหรือเลียอวัยวะเพศของสัตว์
        11. การมีความต้องการทางเพศกับศพ (Necrophilia or Necrophilism) หมายถึง การมีความสุขทางเพศที่เกิดจากการได้ร่วมเพศกับศพ พวกนี้มักจะทำงานที่เกี่ยวกับศพ บางคนอาจมีความต้องการร่วมเพศกับศพที่ตายใหม่ ๆ จึงฆ่าเหยื่อของตนให้ตายเสียก่อนแล้วจึงร่วมเพศกับศพ โดยเชื่อว่าความผิดปรกติชนิดนี้เกิดจากความพยายามที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่น แฝงอยู่ในจิตใจ

เหตุก่อโรคกามวิตถาร...สมมติฐานยังหลากหลาย
        นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า "สำหรับ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกามวิตถารนั้น ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร (Unknown) แต่ก็มีสมมติ ฐานที่หลากหลาย เช่น อาจจะเกิดจาก Biotechnology social คือ ทางด้านชีวภาพ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับโครโมโซม x y ที่ผิดปรกติ หรือเกิด จากฮอร์โมนที่ผิดปรกติ ซึ่งเป็นไปได้ที่ผู้ป่วยจะมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปรกติ หรือสันนิษฐานได้ว่าอาจมีรอยรั่วในสมอง หรือมีอะไรบางอย่าง ผิดปรกติในสมอง เช่น จุด รอยอยู่ในเนื้อสมอง จึงทำให้เป็นโรคนี้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุป"
        เมื่อ ถามถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคกามวิตถาร นพ.ทวีศิลป์ เผยว่าไม่สามารถบอกตัวเลขที่ชัดเจนได้ "เรื่องการเก็บสถิตินั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่เข้ามาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา จะทราบก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาทางคดีขึ้นแล้ว ทำให้ไม่สามารถเก็บสถิติได้อย่างชัดเจน คือต้องเกิดเป็นปัญหาแล้วเท่านั้นเราจึงจะทราบ ในต่างประเทศมีการคาด การณ์ว่ามีอัตราผู้ป่วยไม่มาก ประมาณ 0-1% เท่านั้น" 
        "ส่วนใน ประเทศไทยก็ไม่สามารถหาตัวเลขได้ แต่น่าจะใกล้เคียงกับของทั่วโลก คือประมาณ 0-1% ซึ่งจากข้อมูลที่เรามีการเปิดให้บริการให้คำปรึกษาปัญหาในเรื่องเพศนั้น ปัญหาที่คนส่วนใหญ่เข้ามาปรึกษาคือ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือโรค ED (Erectile Dysfunc- tion) หากประมาณการจริง ๆ จะพบว่าในผู้ป่วย 100 คน จะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคกามวิตถารเพียง 1-2 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
        ด้าน นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กล่าวในฐานะของผู้ให้คำปรึกษาทางด้านเพศว่า "ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการเก็บตัวเลขว่ามีจำนวนผู้ที่มีความผิดปรกติ ทางเพศอยู่จำนวนเท่าใด เนื่องจากเรื่องดังกล่าวไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนักจากผู้ที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นเพราะไม่ได้เป็นปัญหาที่รุนแรงมากจนต้องให้ความสนใจ อีกทั้งยังมีเรื่องอื่นที่เป็นปัญหามากกว่าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือบุคลากร ทางการแพทย์ต้องไปจัดการ เพราะปัญหาที่ร้ายแรงกว่า" 
        "ถาม ว่าเป็นปัญหาหรือไม่ คำตอบคือเป็นปัญหาในทุก ๆ สังคม โดยเฉพาะถ้าเป็นการที่ทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ข่มขืนเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือยังไม่บรรลุนิติ ภาวะ มีเพศสัมพันธ์ในลักษณะที่ผิดแปลก อย่างการเอาปลาไหลใส่ไปใน ช่องคลอดของผู้หญิง หรือมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์" นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าว 
        นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า "ถ้าเทียบกับต่างประเทศแล้ว ประเทศไทย ยังมีจำนวนผู้ที่มีความผิดปรกติทางเพศน้อยกว่า เพราะจากการศึกษาวิจัยล่าสุดเรื่อง Asia Pacific Sexual Health & Overall Wellness Survey พบว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องเพศสัมพันธ์ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ ประเทศอื่น โดยมุ่งความสนใจไปให้เรื่องอื่นที่มีความสำคัญมากกว่า เช่น การมีครอบครัวที่อบอุ่น มีการงานและฐานะทาง การเงินที่มั่นคง มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์"
        "จากการ ศึกษาวิจัยที่ได้มีการสำรวจเกี่ยวกับลำดับความสำคัญในชีวิต เพื่อดูว่าเพศสัมพันธ์มีความสำคัญต่อชีวิตในระดับไหน โดยแบ่งออกเป็นมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด สำหรับประเทศไทยพบว่าให้ความสำคัญเรื่องเพศสัมพันธ์น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ ประเทศอื่น แต่ข้อมูลเหล่านี้ไม่ค่อยได้ออกไป เนื่องจากสื่อให้ความสนใจน้อย นอก จากคนในวงวิชาการเท่านั้น ซึ่งลำดับความสำคัญในชีวิต ได้แก่ ชีวิตครอบครัว สุขภาพร่างกาย ฐานะทางการเงิน อาชีพการงาน เพศสัมพันธ์ ความรัก และความโรแมนติค สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ความเกี่ยวข้องกับชุมชน ความมีเกียรติ การเรียนรู้สิ่งใหม่ การออกกำลังกาย กิจกรรมยามว่าง การพบปะสังสรรค์ ทั้งหมดที่กล่าวมาคือความสำคัญในชีวิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพศสัมพันธ์เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น" นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าว

อาการออโต้อีโรติก และแนวทางการรักษา 
        สำหรับ อาการออโต้อีโรติก (Autoerotic asphyxiation) กลายเป็นคำฮิตที่คนไทยสืบค้นในอินเตอร์เน็ตมากที่สุด เนื่องจากมีการสันนิษฐานว่า เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของ 'เดวิด คาราดีน'ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง นพ.ทวีศิลป์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการของโรคนี้ว่า ออโต้อีโรติก (Autoerotic asphyxiation) เป็นลักษณะทางจิตชนิดหนึ่งของอาการทางกามวิตถาร ที่เรียกว่า Paraphilia มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนของการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มความพึงพอใจด้านเพศ ด้วยการทรมานตนเองหรือคู่นอน และทำให้สมองขาดออกซิเจนโดยการรัดคอหรือแขวนคอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการบรรลุจุดสุดยอดในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การรัดคอ เอาถุงครอบศีรษะ นำอุปกรณ์มาปิดปากปิดจมูก ระหว่างนั้นก็จะมีการทำกิจกรรมทางเพศอื่น ๆ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ทั้งนี้ อาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ หรือได้รับบาดเจ็บ เช่น หลอดลมอักเสบ หรือกระดูกคอเคลื่อนจากการรัดคอ และถ้าร้ายแรงกว่าคืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ผู้ป่วยเหล่านี้ก็พบได้น้อยมาก เนื่อง จากผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปรกติ เพราะเขาเห็นว่าการกระทำนั้นทำให้เขามีความสุข จึงไม่เข้ารับการรักษา จะทราบก็ต่อเมื่อเกิดความ ผิดพลาดจนทำให้เกิดการเสียชีวิต แต่คนกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการฆ่าตัวตายแต่อย่างใด"
        นพ.ทวีศิลป์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "กลุ่มอาการดังกล่าวเป็นได้ทั้งชายและหญิง แต่ส่วนใหญ่จะพบมากในเพศชาย คนกลุ่มนี้จะไม่มีอารมณ์ทางเพศต่อสิ่งเร้าตามปรกติ หรือการมีเพศสัมพันธ์แบบปรกติไม่ทำให้เกิดความสุขทางเพศหรือถึงจุดสุดยอดได้ แต่จะถึงจุดสุดยอดต่อเมื่อถูกทำให้ขาดอากาศหายใจก่อน ซึ่งคนเหล่านี้มักจะทดลองหาวิธีการมีเพศสัมพันธ์แบบต่าง ๆ ให้มีความสุขตามที่ต้องการ จนกระทั่งมาค้นพบว่าวิธีการขาดอากาศหายใจทำให้มีความสุขทางเพศได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่าคนกลุ่มนี้มีประวัติทำร้ายผู้อื่น หรือทำร้ายคู่นอนของตนเอง" 
        "สำหรับแนวทางการรักษาอาการทางจิต ชนิดนี้ทำได้ยาก เพราะผู้ป่วยมักจะไม่มาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา เพราะเห็นว่าตนเองทำแล้ว มีความสุข ทำให้เกิดความพึงพอใจ จึงไม่อยากรักษาหรือแก้ไข และการรักษาก็ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ซึ่งวิธีการรักษาจำเป็นต้องใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน ทั้งจิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด รวมทั้งการใช้ยาในการบำบัดด้วย เช่น การฉีดยาลดฮอร์โมน เพื่อให้ลดความต้องการ หรืออีกวิธีหนึ่งโดยการให้ยารักษาอาการย้ำคิดย้ำทำ เป็นต้น"
        นพ.ทวี ศิลป์ กล่าวในฐานะจิตแพทย์ว่า "ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ป่วยที่มีอาการกามวิตถารเข้ามารับการรักษาเลย ซึ่งหากในอนาคตมีผู้ป่วยเข้ามาขอความช่วยเหลือจริง ๆ ก็อยากให้แพทย์ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ อันดับแรกต้องหาสาเหตุก่อนว่าเกิดจากอะไร ถ้าผู้ป่วยมีความทุกข์ใจมาก ๆ ก็จะเป็นโอกาสให้ทำการรักษาเขาได้ หลังจากนั้นก็พยายามให้ผู้ป่วยเรียนรู้พฤติกรรมในการมีความสุขทางเพศที่ถูก ต้อง ให้ยึดตรงนี้เป็นจุดหลัก อย่ายึดติดกับการมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดปรกติอย่างที่เคยเป็นมา"
        "กาม วิตถารเป็นเรื่องที่มีความหลากหลายทางเพศเยอะมาก ไม่ใช่แค่เพศชายหรือหญิงเท่านั้น และเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะฉะนั้นแพทย์ที่ต้องทำงานด้านนี้ เรื่องการซักประวัติ การอธิบาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในส่วนของแพทย์ท่านใดที่เจอเคสผู้ป่วยลักษณะนี้ ก่อนจะให้ความช่วยเหลือควรจะมีความรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น หรือถ้าทำการรักษาไม่ได้ควรส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ แต่ทั้งนี้ก็อย่าหวังผลให้หายขาด เนื่องจากผู้ป่วยบางคนอายุมากและเป็นมานานแล้ว กิจกรรมทางเพศที่ผิดปรกติเหล่านี้ถือเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปแล้ว หน้าที่ที่ดีที่สุดของแพทย์คือ พยายามบำบัดให้เกิดอันตรายต่อชีวิตให้น้อยที่สุด เรียกว่าเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาจะดีกว่า"

วิพากษ์กามวิตถาร ไม่อาจแบ่งแยกเป็นขาวกับดำ
        ด้าน นพ.พันธ์ศักดิ์ แสดงทัศนะถึงความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องกามวิตถารว่า ถ้าตอบแบบนักวิชาการคุณหมอคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ เพราะยังมีประเด็นที่น่าสนใจกว่าอีกมาก เช่น การกินดีอยู่ดี การมีสุขภาพ ที่ดีของประชาชน ฯลฯ ทุกวันนี้เมื่อมีการพูดถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ทุกคนจะตาโต ทุกคนจะให้ความสนใจโดยไม่ได้คำนึงว่ามีประโยชน์หรือ ไม่ จึงอยากฝากข้อคิดว่าชีวิตยังมีเรื่องอีกมากมายมหาศาล เรื่องของเพศ สัมพันธ์เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
        "อย่าง กรณีการนำเสนอข่าวของเดวิด คาราดีน ว่าเสียชีวิตจากการ Autoerotic asphyxiation (AEA) คือการทำให้ตัวเองมีความสุขทางด้านเพศโดยการทำให้เกิดภาวะการขาดออกซิเจน และปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ในวงกว้างหรือไม่ ถ้าตอบแบบฟันธงก็คือมันมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่าอีกมาก และเดวิดก็มีเรื่องดี ๆ ในชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีเรื่องที่ควรจะเป็นตัวอย่างดี ๆ แต่กลับไม่เขียนถึงเขา ซึ่งสวนทางกับต่างประเทศที่ลงข่าวไม่เหมือนกันกับเรา เหมือนกับว่าทำความดีมาตลอดชีวิต ทำผิดพลาดมาครั้งเดียว สิ่งที่ทำมาทั้งหมดไม่มีความหมาย" นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าว 
        ทั้ง นี้ นพ.พันธ์ศักดิ์ เห็นว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจนออกเป็นขาวกับดำ เพราะตามสิทธิทางเพศที่ได้ระบุไว้คือ มนุษย์มีสิทธิที่จะกระทำการเพื่อตอบสนองต่ออารมณ์ทางเพศซึ่งเกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ ถ้าการกระทำอันนั้นไม่ได้เป็นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของตนเองและ ผู้อื่น ไม่ได้ทำจนกระทั่งหมกมุ่นจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมทั้งการกระทำอันนั้นไม่ได้บังคับจิตใจให้ผู้อื่นมากระทำตามตน และกระทำในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ การกระทำดังกล่าวถือว่าปรกติ 
        "ความรักเป็นเรื่องปรกติ และไม่ได้หมายความว่าวิตถาร ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงรักกัน ชายรักชาย หญิงรักหญิง คืออย่ามองเพียงแต่ว่าถ้าหากไม่ได้กระทำตามคนส่วนใหญ่แล้วจะเรียกได้ว่า วิตถาร กามวิตถารเป็น ความผิดปรกติทางจิต คนที่เป็นมักสังเกตไม่ได้ เพราะมันเป็นพฤติกรรมส่วนตัวที่หมอเองก็ดูไม่ออกว่าเขาทำ และคนที่ทำเขาก็คงไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดปรกติหรือไปเล่าให้ใครฟังอยู่แล้ว จะไปรู้อีกทีก็ตอนที่เสียชีวิตแล้วเท่านั้น และลักษณะแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อสังคม แต่อันตรายต่อชีวิตของตนเอง ดังนั้น ถ้าคิดอยากจะแก้ไขต้องทำอย่างจริงจัง ต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อหาทางออก"

นพ.พันธ์ศักดิ์ แนะแก้ที่ต้นตอของปัญหา
        สำหรับ ปัญหากามวิตถารที่เกิดขึ้นนั้น หากคิดจะแก้ไขต้องมองกันที่สาเหตุของปัญหา และแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยสาเหตุของความผิดปรกติทางเพศส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยครอบครัว การอบรมเลี้ยงดู ปลูกฝังความรู้หรือค่านิยมเรื่องเพศศึกษา ซึ่งมักเป็นค่านิยมที่ผิด ๆ อีกทั้งผู้ปกครองยังเห็นว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ควรปกปิด ทำให้เด็กโตขึ้นมาขาดความรู้เรื่องธรรมชาติของกามารมณ์ แยกแยะไม่ได้ว่าพฤติกรรมทางเพศอย่างใดปรกติหรือไม่ปรกติ 
        "ถาม ว่าถ้าพ่อแม่ดี ครูดี จะวิตถารไหม นั่นแหละคือทางออกหรือทางแก้ปัญหา อย่ามองแต่ว่าใครผิด ให้ถามว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ปัจจุบันไม่มีคนสอนเรื่องเพศที่ถูกต้อง ตัวอย่างที่พอจะหาได้ก็มีตามหนังสือ อินเตอร์ เน็ต ซึ่งมันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ผมคิดว่าถ้ามีแม่หรือครูที่ดีที่คอยอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่วัยเด็กก็เชื่อว่า คงไม่เกิดปัญหาแบบนี้ ขอย้ำว่ากามวิตถารเป็นปัญหา เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง วิธีการป้องกันไม่ให้เจอคนทีเป็นกามวิตถารสำคัญกว่ามากในสังคมเรา เพราะถ้าเขากระทำ กับตัวเองจนเป็นอันตราย และไม่คิดจะแก้ไข เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้" นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าว

เครดิต เนื้อหาโดย วงการแพทย์ ฉบับที่ 298

29 พ.ค. 55 เวลา 10:38 4,981 3 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...