70 กว่าปีจึงได้เห็นภาพการประหารชีวิตหมู่ชาวฝรั่งเศส

ภาพการสังหารหมู่ชาวฝรั่งเศสที่เก็บเงียบมานานกว่า 70 ปี เพิ่งจะมีการเปิดเผยและเผย

แพร่เมื่อเร็วๆ นี้ ในภาพเป็นการยิงเป้าแนวร่วมและผู้ต่อต้านชาวฝรั่งเศสโดยกองทัพนาซี

เยอรมันนีที่ Mont Valérien ป้อมปราการชานเมืองด้านตะวันตกของกรุงปารีส ในช่วงสง

ครามโลกครั้งที่ 2  ช่วงคริสตศตวรรษที่ 20 (1901-2000) จำนวนผู้ถูกสังหารในครั้งนั้น

มากกว่า 1,000 คน นับเป็นจำนวนมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศสยุคนั้น กองทัพนาซีได้จับ

กุมผู้ต่อต้านและแนวร่วมที่ส่วนมากเป็นชาวยิวและผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ด้วยข้อหาว่ามี

ส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบโจมตีสังหารทหารเยอรมันนีแล้วตัดสินประหารชีวิตโดยตุลาการ

ศาลทหารเยอรมันนี นักโทษทุกคนถูกบรรทุกโดยรถยนต์บรรทุกขนส่งทหารมายังป้อม

ปราการด้านตะวันตกนอกเมืองปารีส ภายในที่คุมขังบางคนได้ขีดเขียนข้อความลงบนฝา

ผนัง ระบุชื่อนามสกุลและวันตาย และบางรายเขียน Vive la France ฝรั่งเศสจงเจริญหรือ

ต้องมีเอกราช

ภาพผู้ต่อต้านชาวฝรั่งเศสถูกยิงเป้าหมู่โดยทหารนาซี
ที่ชานเมืองกรุงปารีสในกุมภาพันธ์ 1941(2484)
เพิ่งจะเผยแพร่ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก

 

" พวกมันพานักโทษมาที่นี่ เพื่อฆ่าได้อย่างเงียบๆ และอย่างเลือดเย็น ไม่ต้องกังวลกับการ

รบเพื่อแย่งชิงนักโทษ " Chloe Théault เจ้าหน้าที่ทหารผ่านศึกที่ทำงานอยู่ที่ Mont

Valérien บอกกับผู้สื่อข่าว นักโทษหญิงจะถูกนำตัวไปยังประเทศเยอรมันนี เพื่อประหาร

ชีวิตด้วยการตัดคอ (บางแหล่งข่าวระบุว่าประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ) ทั้งนี้เพื่อไม่ให้

ชาวบ้านทราบเรื่องแล้วเกิดความโกรธแค้นกับกองทัพนาซี ส่วนนักโทษชายจะถูกผ้ามัด

ปิดตาบางรายจะถูกมัดกับหลักประหารไม้ แต่บางรายจะยืนพิงหลักประหารไม้ด้วยตนเอง 

หลักไม้ประหารชีวิตมีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 5 หลัก ส่วนด้านหลังเป็นเนินเขาโล่ง ทหารที่ทำ

หน้าที่เป็นเพชฌฆาตมีจำนวนทั้งสิ้นรวม 60 คนแต่แบ่งกลุ่มทำหน้าที่ยิงเป้านักโทษเนื่อง

จากคนที่ถูกประหารมีมากดังนั้นทหารเยอรมันนีไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นคนยิงเป้าคนด้วยกระ

สุนจริงหรือไม่เพราะจะมีปืนหนึ่งกระบอกที่บรรจุกระสุนปลอม

หลักไม้ประหารชีวิต มีรอยกระสุน 

โลงศพที่ใส่นักโทษประหารชีวิต ก่อนพาไปฝังแบบไร้โลงศพ/ไร้ญาติ

โบสถ์เก่าที่แปลงสภาพเป็นที่เก็บหลักไม้ประหารชีวิต กับ โลงศพ

 

ภาพอนุสรณ์สถานที่ Mont Valérien

ภาพอนุสรณ์สถานที่ Mont Valérien
(สังเกตเนินดินด้านหลังคล้าย ๆ กับภาพแรก)
 

เนื่องจากจำนวนคนที่ถูกประหารชีวิตมีจำนวนมาก ดังนั้นจึงสั่งห้ามถ่ายภาพการประหาร

ชีวิตโดยเด็ดขาดเพราะกองทัพนาซีเกรงกลัวว่า ถ้าหากมีภาพหลุดออกไปอาจจะมีการนำ

ภาพถ่ายเหล่านี้ไปขยายผลทำการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านกองทัพนาซี แต่มีทหาร

ชั้นยศต่ำกว่าระดับสัญญาบัตรรายหนึ่งชื่อ Clemens Rüter ได้ขับรถจักรยานยนต์คุ้มกัน

ของทหารไปแอบซ่อนตัวที่หลังพุ่มไม้แล้วถ่ายภาพได้จำนวน 3 ภาพในวันที่ 21 กุมภา

พันธ์ 1941 (2484) ด้วยกล้องฟิล์ม Minox

ตัวอย่างกล้องฟิล์ม  Minox  (สมัยก่อนมีชื่อเสียงมากในเรื่องการทำกล้องจารชน)
ยังมีสายการผลิตอยู่แวะชมได้ที่  http://www.minox.com/index.php?L=1
 

Clemens Rüter นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค ไม่เคยเอ่ยปากเล่าเรื่องนี้กับใคร

และปล่อยให้ฟิล์มคงค้างอยู่ในกล้องถ่ายรูปเป็นเวลากว่า 40 ปี แต่ในช่วงก่อนที่เขาใกล้

ตายช่วงเดินทางไปแสวงบุญที่กรุงโรม (น่าจะไปแสวงบุญที่นครรัฐวาติกันที่มีพระสันตปา

ปาเป็นประมุขรัฐทางโลกในนครรัฐแห่งนี้ประมุขทางธรรมสำหรับชาวคริสต์นิกายโรมันคา

ทอลิค) เขาจึงได้เล่าเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมเดินทางที่ไปแสวงบุณย์ด้วยกันและได้เข้าพักร่วม

กันในห้องพักเดียวกันถึงเรื่องความลับดำมืดที่เขาปกปิดไว้มานาน

ทหารเยอรมันนีนั่งด้านนอกร้านกาแฟในกรุงปารีส์ ที่ Champs Elysees ฌองเซลีซี
ในวันบุกคุกบาสตีล์ Bastille Day หรือวันชาติฝรั่งเศส 14 กรกฎาคมในปี 1940(2483)
ประเทศฝรั่งเศสถูกปกครองโดยกองทัพนาซีเยอรมันนีเมื่อตอนต้นปี 
และได้รับเอกราชอีกครั้งในปี 1944(2487)
 

" เขารู้สึกสำนีกผิดและเขาละอายใจ เพราะเขาต่อต้านการประหารชีวิตนักโทษ เขาพูด

อย่างเปิดอกกับสหายของเขา " Jean-Louis Macron อดีตอนุศาสนาจารย์ที่ป้อมปราการ

Mont Valérien กล่าวเรื่องนี้

เรื่องมันบังเอิญอย่างยิ่งที่สหายร่วมห้องพักของ Clemens Rüterทำงานให้กับสมาคม

Franz Stock (บาทหลวงชาวเยอรมันนี ทำหน้าที่เจ้าอาวาสในฝรั่งเศสได้ทำพิธีศีลล้าง

บาปให้กับนักโทษ 863 คนใน Mont Valérien ตามบันทึกย่อส่วนตัวของท่านที่ค้นพบ

ในภายหลัง และท่านประมาณว่าท่านทำหน้าที่พิธีศีลล้างบาปได้น่าจะเพียง 1 ใน 4

ของคนที่ถูกประหารชีวิตในครั้งนั้น บันทึกของท่านก่อนตายระบุว่าน่าจะมากกว่า 2,000

คน แต่ในอนุสรณ์สถาน Mont Valérien  ระบุว่ามากกว่า 4,500  คน)

สหาย Clemens Rüter มักจะเดินทางไปที่ Mont Valérien เสมอๆ หรือรู้จักกันในชื่อว่า

Hell's chaplain (ป้อมนรก) เพื่อสวดมนต์วิงวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดยกโทษและ

ไถ่โทษบาปให้กับเหล่าบรรดานักโทษที่ถูกประหารชีวิตในวาระสุดท้ายรวมทั้งทหารนาซี

ที่ร่วมกระทำการในครั้งนั้นด้วย ทำให้เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมที่เป็นสัญลักษณ์

ของความสมานฉันท์ระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวเยอรมันนี (a symbol of Franco-German

reconciliation) สมาคมแห่งนี้ไม่เปิดเผยตัวตนมาหลายปีแล้ว และมักจะดำเนินกิจกรรมที่

ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกองทัพนาซี อนึ่ง ในการสังหารหมู่ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากที่

Mont Valérien เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ลึกลับและไม่มีประจักษ์พยานหลักฐานที่ชัดเจนจน

ทำให้นักประวัติศาสตร์รายหนึ่งถึงกลับกล้าระบุออกมาเลยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกหลอก

ลวง เป็นเรื่องเล่าแต่งเสริมเติมแต่งขึ้นมาแต่เมื่อพบกับหลักฐานชิ้นสำคัญของบาทหลวง

Franz Stock จึงมีการรื้อฟื้นประวัติศาสตร์และทำอนุสรณ์สถานที่ Mont Valérien

บันทึกย่อของบาทหลวง Franz Stock
 

ภาพถ่ายและประวัติย่อ Missak Manouchian

 

อย่างไรก็ตาม Serge Klarsfield ชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากในการทำหน้าที่นักล่า

อาชญากรสงคราม (พลพรรคนาซี) (คดีอาชญากรสงครามพลพรรคนาซีไม่มีอายุความ

จนกว่าผู้ต้องหาจะตายหรือมีหลักฐานแน่ชัดว่าตายจริง จึงจะจำหน่ายคดีออกจากสารบบ

การติดตามตัวผู้ต้องหา) Serge Klarsfield เกิดความสนใจในภาพถ่ายดังกล่าวนี้และเมื่อ

เดือนธันวาคมปีที่แล้วนี่เอง เขาได้สรุปผลการตรวจสอบและระบุว่าคนที่ถูกประหารในรูป

เป็นสมาชิกเครือข่ายกองกำลังติดอาวุธของ Missak Manouchian ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

ในฐานะนักรบกองโจร เป็นทั้งกวีและกรรมกรในโรงงานที่เก่งกล้าในการทำการสู้รบแบบ

กองโจรกับกองทัพนาซีและมีการบริหารจัดการภายในองค์กรใต้ดินได้อย่างดีเยี่ยมในการ

ต่อต้านกองทัพนาซีในกรุงปารีส



นักล่าอาชญากรสงครามพลพรรคนาซี  Serge Klarsfield ชาวฝรั่งเศส 
ระบุว่าผู้ที่ถูกประหารชีวิตเป็นสมาชิกกองกำลังติดอาวุธ
เครือข่ายต่อต้านกองทัพนาซีที่นำโดย Missak Manouchian
 

กองกำลังติดอาวุธ Missak Manouchian เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายต่อต้านที่นิยมลัทธิคอม

มิวนิสต์กลุ่ม FTP-MOI (Les Francs-tireurs et partisans- Main d'œuvre immigrée)

กองทัพนาซีตั้งฉายากลุ่มนี้ว่า The Army of Crime กองทัพพวกอาชญากร เรื่องของ

Missak Manouchian และสหายร่วมรบของเขาได้มีการจัดสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว

โดยมีภาพโฆษณาภาพยนต์เรื่องนี้เป็นรูปภาพผู้ต้องหาขาวดำบนพื้นกระดาษหมายจับสี

แดง หรือที่เรียกกันว่า "l"Affiche Rouge" ที่เคยปิดไปทั่วประเทศฝรั่งเศสตามคำโฆษณา

ชวนเชื่อของนาซีว่า กลุ่มก่อการร้ายนี้อยู่ภายใต้ร่มเงา พวกคนต่างชาติ/พวกอาชญากร

มีจดหมายจำนวน 19 ฉบับของ Missak Manouchian ที่มีการจัดแสดงไว้ในสถานสุสานรำ

ลึกได้กล่าวอำลากับภริยาด้วยถ้อยคำว่า " Mélinée ที่รัก และลูกน้อยกำพร้าของพ่อในอีก

ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้พ่อคงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้แล้ว" ในจดหมายมีถ้อยคำระบุอย่าง

ชัดเจนและขอร้องให้ภริยาเขาแต่งงานใหม่ได้เลยหลังจากที่เขาตายในวันที่16พฤศจิกายน

1943 (2486) และเขายังระบุว่าเขาไม่อาฆาตแค้นผู้ใด ยกเว้นแต่คนที่ปรักปรำใส่ร้ายเขา

กับสหายร่วมรบ 23 คน "ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะตาย ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้โกรธเกลียด

ชาวเยอรมันหรือต่อต้านต่อทุกคนในทุกๆ เรื่อง ทุกคนต่างต้องได้รับผลการกระทำของตน

เอง" เขาเขียนในบทสุดท้ายว่า " สงครามครั้งนี้คงไม่ยาวนานนัก "

เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้วนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1944 (2487) ที่นายพล Charles de

Gaulle ประกาศผ่านสถานีวิทยุ BBC ที่นครลอนดอนเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสทุกคนลุก

ขึ้นมาจับอาวุธสู้กับกองทัพนาซีเยอรมันนี (วัน D-Day วันยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มัง

ดี ฝรั่งเศส วันที่ 6 มิถุนายน 2487เป็นการเริ่มต้นยุติสงครามโลกครั้งที่ 2  ที่กองทัพ

พันธมิตร มีชัยชนะเหนือกองทัพฝ่ายอักษะ เยอรมันนี อิตาลี)

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...