ทัวร์พม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ (ตอนที่ 2)

 

 

 

 

 

ทัวร์พม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ (ตอนที่ 2)

 

 

  "พม่า" หรือ "สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา" ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสังคมปิดมานานหลายปี แต่หลังจากเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในรอบ 50 ปี พร้อมกับกำลังจะเข้าร่วมเป็นประชาคมอาเซียนด้วยแล้ว ทำให้นักเดินทางหลาย ๆ คน อยากเดินทางไปสัมผัสกับความเจิดจรัสของดินแดนแห่งนี้ เพราะถือเป็นแหล่งร่ำรวยอารยธรรมที่อุดมไปด้วยโบราณสถาน เมืองโบราณ และมหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ยังคงความงดงามไว้เหมือนอดีตกาล อาจเพราะพม่าได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ยึดมั่นคำสอนในพระพุทธศาสนา อย่างเหนียวแน่นที่สุดชาติหนึ่งในโลก

 

 

 


หลังเสร็จพิธีเราเข้าไปชมและทำความเคารพได้ใกล้ชิดแล้วครับ



เป็นพิธีกรรมที่น่าสนใจจริง ๆ ครับ 



          หลังจากชมพิธีล้างหน้าพระมหามุนี เช้าวันนั้นเราได้เดินทางไปเมืองมินกุน ก่อนถึงเราจะต้องล่องเรือในแม่น้ำอิระวดีไปยังเมืองดังกล่าว อันดับแรกเราไปชมระฆังสำริดมินกุน ที่สร้างโดยพระเจ้าโบดอพญา เป็นระฆังใหญ่ที่สุดอันดับสองในโลก (รองจากระฆังที่รัสเซีย) แต่ถ้านับเป็นระฆังชนิดแขวนแล้วสามารถตีดัง พม่าบอกว่าเป็นระฆังแขวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 12 ฟุต และวัดปากขอบยาว 16 ฟุต 3 นิ้ว หนัก 90 ตัน



          ถัดไปไม่ไกล...เจดีย์ชินพิวเม (เมียะเต็งดาน) ประดิษฐานอยู่เหนือระฆังมิงกุนไม่ไกล ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สวยสง่ามากแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาในพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์มีต่อพระมหาเทวีชินพิวเม ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร จึงได้รับสมญานามว่า "ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิระวดี" เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาล คือมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุ อันเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางโลกและจักรวาล ล้อมรอบด้วยขุนเขาและมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ



          วันนี้อากาศร้อนแรงมาก เราไม่ค่อยสนุกนักกับกิจกรรมกลางแจ้ง ตากแดดและอากาศร้อนแบบนี้ ก็เลยเน้นภาพคนกับวิวต่าง ๆ ภาพวิว วัดและอาคารต่าง ๆ ถ่ายมาน้อย ฝากไว้อีกสักภาพครับ



          กลับเข้ามาที่เมืองมัณฑะเลย์ เราแวะไปชม พระราชวังมัณฑะเลย์ พระราชวังที่ส่วนใหญ่ก่อสร้างด้วยไม้สักที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย ในสมัยสงครามมหาบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2488 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโดยกองทัพอังกฤษ ได้ทิ้งระเบิดจำนวนมากมายถล่มพระราชวังมัณฑะเลย์ของประพม่า จนไฟลุกไหม้เป็นจุล ด้วยเหตุผลว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของกองทัพญี่ปุ่น พระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพระราชวังไม้สักก็ถูกไฟไหม้เป็นจุล เผาราบเป็นหน้ากลอง หลงเหลือก็แต่ป้อมปราการและคูน้ำรอบพระราชวัง ปัจจุปันพระราชวังที่เห็นอยู่เป็นพระราชวังที่รัฐบาลพม่าได้จำลองรูปแบบของพระราชวังของเก่าขึ้นมาครับ
          


โดยรวมแล้วพระราชวังแห่งนี้ไม่น่าสนใจมากนักครับ เราจึงใช้เวลาเที่ยวชมไม่นานนักครับ



          จากนั้นเราก็ไปเที่ยววัดต่าง ๆ อีกหลายแห่งเลยครับ หนึ่งในนั้นคือ วัดชเวนันดอร์ สำหรับวัดนี้เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง โดยพระเจ้ามินดงได้ทรงให้รื้อเอาไม้สักทองจากพระราชวังเก่ามาก่อสร้าง และเป็นวัดที่พระเจ้ามินดงทรงเสด็จมานั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรม ดังนั้น วัดนี้จึงมีความสวยงามหลากหลายด้วยด้วยสถาปัตยกรรมช่างแห่งมัณฑะเลย์ มีการแกะสลักปิดทอง สำหรับใครที่ชอบศิลปะไม้ งานแกะสลัก ก็ไม่ควรพลาดครับ ภาพนี้เด็กสาวขายดอกไม้ในวัดแห่งนี้...



          อีกวัดครับ วัดกุโสดอร์ เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 4 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม



อีกภาพในวัดกุโสดอร์



แม่ชีน้อยเดินผ่านมาเลยขอถ่ายภาพหน่อยครับ



          และก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ มัณฑะเลย์ฮิลล์ ตั้งอยู่กลางเมืองมัณฑะเลย์ สูง 236 เมตร ปากทางขึ้นมารูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่สองตัว ระหว่างทางมีปูชนียสถานให้สักการบูชาเป็นระยะ ๆ หากว่าท่านไม่อยากเดินขึ้นก็สามารถนั่งรถสองแถวขึ้นบนยอดมัณฑะเลย์ได้เลย บนยอดเขามัณฑะเลย์มีวิหาร "ซูตองพญา" รูปทรงคล้ายมณฑปครอบพระมหามัยมุนี ภายใต้วิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมน์ พระกัสสป และพระสมณโคดม รอบวิหารมีระเบียงสำหรับชมทัศนียภาพเมืองมัณฑะเลย์ และสามารถมองเห็นแม่น้ำอิระวดี พระบรมมหาราชวัง วัดกุโสดอว์...ภาพองค์พระในอาคารบนยอดเขามัณฑะเลย์



          บรรยากาศที่นี่สบาย ๆ ครับ แม้จะไม่ได้สวยงามมากมายนัก แต่ก็เป็นการพักผ่อนชมพระอาทิตย์ตกดินในยามเย็น ในมุมที่ดีที่สุดของเมืองนี้แล้วครับ



          เราต้องลาจากเมืองมัณฑะเลย์แล้วครับ เช้าวันต่อมาเราบินต่อไปยัง Heho เพื่อเดินทางต่อไปทะเลสาปอินเลครับ



          ทะเลสาบอินเล (Inle Lake) ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของรัฐฉาน อยู่ห่างจากเมืองตองยีประมาณ 25 กิโลเมตร เหมาะแก่การมาเที่ยวชมเพื่อการศึกษาถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่า ที่เรียกได้ว่ากลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่า ชาวอินทา (Intha) ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยปีแล้ว โดยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการทำการเกษตรบนเกาะวัชพืช ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกลางลำน้ำในทะเลสาบ



          การทำประมง ในทะเลสาบเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะวิธีการหาปลานั้น เรียกได้ว่าไม่เหมือนชาวประมงที่ใด นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่ควรไปเยี่ยมเยือนครับ กับบรรยากาศสบาย ๆ ชมวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างแท้จริง



          การพายเรือด้วยเท้า เป็นลักษณะอันโดดเด่นเฉพาะตัวของชาวอินทา สาเหตุของการพายเรือด้วยเท้าของชาวอินทา เป็นเพราะว่าปรับการดำรงชีวิต และเพิ่มความสะดวกให้เข้ากับหลักทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาปอินเล การไปดูชาวอินทาพายเรือด้วยเท้า อาจเป็นเหตุผลต้น ๆ ของการไปเที่ยวทะเลสาบอินเล แต่วิถีชีวิตและธรรมชาติที่บริสุทธิ์สวยงามของที่นี่ก็น่าประทับใจจริง ๆ ครับ



          ทะเลสาบอินเล มีพื้นที่ประมาณ 116 ตร.ก.ม. มีความลึกประมาณ 2 - 8 เมตร (พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามฤดู) มีความสวยงามตามธรรมชาติ เป็นแรงดึงดูดที่สำคัญดึงให้นักท่องเที่ยวมาเยือน ผืนน้ำกว้างใหญ่และวิวทิวเขาอันสวยงาม รวมทั้งเสน่ห์วิถีชีวิตของชาวอินตาที่เรียบง่าย 

          ทะเลสาปอินเล มหัศจรรย์ของการเกษตรกรรมลอยน้ำ เป็นภูมิปัญญาของชาวอินทาที่รู้จักดึงเอาธรรมชาติรอบตัว มาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างอย่างสูงสุดและเหมาะสม แปลงผักในทะเลสาบเกิดจากการตัดเอาหญ้าวัชพืชและสาหร่ายในทะเลสาป มาดัดแปลงทำเป็นแปลงเกษตรลอยน้ำ


ชมวิถีชีวิตที่ทะเลสาปอินเลครับ ชาวบ้านเก็บสาหร่าย พืชน้ำไปทำแปลงเกษตรลอยน้ำ



          ทะเลสาบอินเล เป็นที่ตั้งของชุมชนกลางน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้านมีอาชีพเกษตรกรรมทั้งเพาะปลูกและประมง และมีสินค้าหัตถกรรมขนาดเล็ก เช่น การทอผ้า ตีเหล็ก บุหรี่ และอีกส่วนหนึ่งก็มีรายได้จากการบริการท่องเที่ยว บ้านเรือนของชาวอินทา ก็ล้วนแต่ปลูกหลักปักเสาลงในทะเลสาบ และอยู่ใกล้กับแปลงเกษตรลอยน้ำของพวกเขานั่นเอง



มาดูบรรยากาศที่พักของเราที่ทะเลสาปอินเลครับ...ยามเย็น



ยามเช้าที่ท่าเรือของรีสอร์ทที่เราพัก



          อีกภาพแล้วกันครับ หากเราต้องการภาพสวย ๆ ก็ต้องเลือกว่าจะไปถ่ายภาพให้ได้แสงสวย ๆ ในสถานที่ใดบ้าง แล้วจัดโปรแกรมให้ลงตัวให้สามารถไปสถานที่นั้น ๆ ในช่วงเวลาที่แสงงาม ๆ เท่านี้ก็จะได้ภาพดี ๆ และความทรงจำดี ๆ ไปนาน ๆ ครับ เช่น สะพานอุเบ็งถ้าไปตอนกลางวัน...ไม่มีอะไรสวยงามเลย ร้อนอย่างเดียว ต้องไปตอนเย็น ๆ ครับ



          เราพักที่อินเลสองคืน ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่ชอบน้ำครับ มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายมาก ๆ เราได้นั่งเรือเที่ยวชมไปตามจุดต่าง ๆ ที่น่าสนใจ มีทั้งวัด ทั้งตลาด ร้านค้าของกลุ่มชาวบ้าน เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน และธรรมชาติที่สวยงามของทะเลสาปอินเลครับ



สภาพบ้านเรือนของชาวบ้านที่ทะเลสาปแห่งนี้ครับ



ตลาดนัดผลัดเปลี่ยนเวียนไปตามชุมชนต่าง ๆ เป็นประจำทุก ๆ สัปดาห์



วิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่ครับ



ดูบรรยากาศทั่ว ๆ ไปของการท่องเที่ยวในทะเลสาปอินเลอีกหน่อยนะครับ แล้วค่อยไปต่อกัน 



เรือที่เรานั่งเที่ยวชมในระหว่างอยู่ที่นี่ครับ



อีกนิดกับวิถีชีวิตและการหากินของชาวบ้านในช่วงแสงอ่อนของวัน 



ได้เวลากลับที่พักและต้องจากอินเลไปต่อยังจุดหมายต่อไปแล้วครับ 



          วันต่อมาเราบินกลับย่างกุ้งอีกครั้ง จากนั้นเราก็นั่งรถมุ่งหน้าไปสู่ไฮไลท์ของช่วงสุดท้าย พระธาตุอินทร์แขวน...ระหว่างการเดินทางเราแวะชมพระราชวังและวัดต่าง ๆ เราเดินทางถึงทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนในช่วงบ่ายแก่ และเราเลือกที่จะเดินขึ้นไปยังที่พัก ที่อยู่ใกล้ ๆ พระธาตุอินทร์แขวนนั้นเอง มาทันแสงสุดท้ายของวันพอดีครับ



          พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย (อังกฤษ : Kyaikhtiyo) ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขาพวงลวง เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวน คือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ (สุนัข) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต



มีเวลาไม่มากต้องรีบถ่ายก่อนแสงจะหมดครับ 



          มีตำนานเล่าขานกันในสมัยพุทธกาลว่า ฤๅษีติสสะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงมอบให้ไว้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ ส่วนฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม เมื่อเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขารเต็มที เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของเขา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) จึงช่วยเสาะหาก้อนหินดังกล่าวจากใต้ท้องมหาสมุทร และนำมาวางหรือแขวนไว้บนภูเขาหิน 



          บางตำนานก็เล่าว่า มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้า เมื่อครั้นมาโปรดสัตว์ในถ้ำไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา



สุดท้ายแล้วครับ...กับแสงยามเช้าของวันใหม่ที่พระธาตุแห่งนี้



          ขอบคุณทุกท่านที่แ+ะUข้}มา^รบ ผ׸ลnมขૉอมูล บริษัททัวร์ที่เราใชӹบิกรเ็ขอพม;า๫ขาครับ โดยรวมแล้วพวกเราป

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...