ทัวร์พม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ (ตอนที่ 1)

 

 

 

 

 

ทัวร์พม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์

 (ตอนที่ 1)

 






          "พม่า" หรือ "สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา" ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสังคมปิดมานานหลายปี แต่หลังจากเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในรอบ 50 ปี พร้อมกับกำลังจะเข้าร่วมเป็นประชาคมอาเซียนด้วยแล้ว ทำให้นักเดินทางหลาย ๆ คน อยากเดินทางไปสัมผัสกับความเจิดจรัสของดินแดนแห่งนี้ เพราะถือเป็นแหล่งร่ำรวยอารยธรรมที่อุดมไปด้วยโบราณสถาน เมืองโบราณ และมหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ยังคงความงดงามไว้เหมือนอดีตกาล อาจเพราะพม่าได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ยึดมั่นคำสอนในพระพุทธศาสนา อย่างเหนียวแน่นที่สุดชาติหนึ่งในโลก

          ดังนั้น วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยจะพาเพื่อน ๆ ไป "ทัวร์พม่า" เพื่อชมความงดงามของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ผ่านบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายในมุมมองสวย ๆ ของ คุณ ykumsri สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กันค่ะ งานนี้รับรองว่าหากดูจบ... คุณจะรีบเคลียร์งานพร้อมกับเก็บกระเป๋าแล้วออกไปเที่ยวพม่าในทันที ^^ 





          พม่า...ประเทศเพื่อนบ้านที่น่าสนใจ เที่ยวไม่ยาก ราคาไม่แพง เป็นอีกประเทศหนึ่งที่คุ้มค่าการเดินทาง เหมาะสำหรับทุกท่านที่มีเวลาจำกัด ค่าใช้จ่ายไม่มากนักครับ ทริปนี้เรารวมกลุ่มเพื่อนได้สิบเอ็ดคน เราจึงเลือกที่จะหามืออาชีพทางพม่าช่วยเรา จะได้ไม่ยุ่งยากเสียเวลา โดยเราหวังว่าจะได้เที่ยวครบตามเส้นทางหลัก ๆ ที่เรากำหนดให้เขาไป โดยเขาสามารถเสริมสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมให้เราได้ เพื่อให้พวกเราประทับใจกับการเลือกใช้บริการของเขาด้วยครับ 



          เป็นการเดินทางเมื่อต้นปี แต่ข้อมูลบางอย่างอาจพอเป็นประโยชน์กับพวกเราที่สนใจไปเที่ยวพม่าบ้าง เลยขออนุญาตรีวิวให้เป็นแนวทางเล็กน้อยครับ ช่วงที่เหมาะสมในการเที่ยวพม่า สำหรับผมคิดว่าช่วงหน้าหนาวเหมาะสมมาก ๆ เพราะอากาศเหมือน ๆ บ้านเรา ร้อนมากเช่นกัน ดังนั้น หน้าหนาวน่าจะทำให้การเดินทางสบายและผ่อนคลายมากกว่าครับ



          เราเลือกใช้บริษัททัวร์แห่งหนึ่งในพม่า โดยเราค้นหาข้อมูลของบริษัทนี้อย่างรอบด้าน จนเรามั่นใจแล้วจึงติดต่อไปครับ เจ้าของบริษัทเป็นแพทย์หญิงชาวพม่าครับ เราได้ไกด์ คือ คุณแอดดี้ พูดไทยได้ บริการดีมากครับ พวกเราประทับใจกันทุกคน 

          มาเริ่มดูบรรยากาศตั้งแต่วันแรกกันเลยแล้วกันครับ เราไปถึงพม่าตอนเช้า มีคุณหมอและทีมงานมารอรับพร้อมรถตู้ที่เราจะใช้ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในวันนี้ด้วยครับ ถึงขณะนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เราเริ่มวันแรกด้วยวัดต่าง ๆ ในย่างกุ้งกันครับ เยอะจนจำชื่อไม่หวาดไม่ไหว...หนึ่งในวัดที่เราแวะไปในเช้านี้ครับ 



          ขอไปช้า ๆ นะครับ อาจแวบไปทำภาระกิจเป็นระยะ ๆ ไปดูอีกวัดครับ




          และก็ต้องแวะไปขอพรดี ๆ จากเทพทันใจ




บรรยากาศภายนอกของวัด...แห่งเดียวกันนี้




          เที่ยวหลายวัดเลยครับ...รอมาที่ไฮไลท์ของวัน เราตั้งใจจะมาที่มหาเจดีย์ชเวดากอง ในช่วงบ่ายแก่ ๆ เพื่อจะเก็บภาพยามเย็น ๆ ที่สวยงามขององค์เจดีย์ที่สวยงามแห่งนี้ครับ ภาพนี้เป็นทางเข้าน่าจะทางทิศตะวันตก เป็นอีกทางเข้าที่สวยงาม คนเข้าทางนี้ไม่เยอะไม่วุ่นวายดีครับ



          พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น



          ตามตำนานเจดีย์ชเวดากองนั้น สร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6 - 10 โดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น โดยนำมาบรรจุอยู่ที่พระธาตุเพียงสองเส้นเท่านั้น



          พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมา ทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา



          บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อมาถึงทางเข้า ให้เดินตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตร รอบ ๆ พระเจดีย์ก็มีศาลเจ้าเล็ก ๆ อยู่รายรอบ



          ค่ำนั้นเราไปกินมื้อเย็นที่ ภัตตาคารการะเวก แล้วรุ่งเช้าเราต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อบินไปยังพุกาม...Bagan ต่อไปครับ ภาพนี้ที่ตลาดเช้าใกล้เมืองพุกาม จุดแรกที่เราแวะชมวิถีชาวบ้านในพม่า



          เจดีย์ชเวชิกอง (Shwezigon pagoda) ชาวพม่าทั่วไปเคารพนับถือความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์แห่งนี้เป็นอันมาก เป็น 1 ใน 5 มหาเจดีย์สถานของพม่า เพราะเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้ว เจดีย์รูปแบบศิลปะพม่าอย่างแท้แห่งนี้ สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อโนรธา (King Anawrahta) แต่แล้วเสร็จในสมัยของกษัตริย์จันสิตธา (King Kyanzittha)



          องค์เจดีย์สีทองอร่ามทรงระฆังคว่ำ สูง 160 เมตร ภายในมีหอผีนัต ซึ่งเป็นวิหารยาวที่ตั้งรูปผีหลวงที่ชาวพม่าเคารพนับถือ ในอดีตนั้นเจดีย์แห่งนี้มีความสำคัญกับชาวพม่ามาก เพราะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตนเป็นพุทธมามกะตั้งแต่โบราณ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเข้าชมเจดีย์นี้ คือ ภาพประวัติพุทธชาดกของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏบริเวณผนัง



          อาณาจักรพุกาม (อังกฤษ : Pagan Kingdom) เป็นอาณาจักรโบราณ ในช่วง พ.ศ. 1587 - พ.ศ. 1830 พุกามเป็นอาณาจักรและราชวงศ์แห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกามในปัจจุบัน เดิมมีชื่อว่า "ผิวคาม" (แปลว่า หมู่บ้านของชาวผิว) เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทิศตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่อยู่ของชาวผิว ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง ในปี พ.ศ. 1587 พุกามถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ พระองค์ต้องทำสงครามกับชาวมอญที่อยู่ทางใต้ จึงได้สถาปนาชื่ออย่างเป็นทางการของพุกามว่า "ตะริมันตระปุระ" (หมายความว่า เมืองที่ปราบศัตรูราบคาบ) 

          ที่พุกามมีวัดเก่าแก่มากมาย เราเที่ยวชมอยู่หลายวัด รอเวลาเย็น ๆ เพื่อจะชมแสงสุดท้ายของวันเหนือทุ่งเจดีย์แห่งพุกามครับ





          ในรัชสมัยพระเจ้าจานสิตา กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พุกาม เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มอญที่อยู่ยังหงสาวดีทางตอนใต้ ได้ทำสงครามชนะพุกามและครอบครองดินแดนของพุกามไว้ได้ พระองค์จึงรวบรวมชาวพม่าและชาวมอญบางส่วนตีโต้คืน จึงสามารถยึดพุกามกลับมาไว้ได้ พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู และใน พ.ศ. 1687 พระองค์ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ชื่อ "ตะเบียงนิว" (แปลว่า เจดีย์แห่งความรู้) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามไว้ด้วย



          คืนนั้นเราพักในเขตทุ่งเจดีย์ รุ่งเช้าเราจึงออกมาเก็บภาพทุ่งเจดีย์ในบรรยากาศแสงอ่อน ๆ ยามเช้าครับ



อีกสักภาพครับ ก่อนจะเดินกลับเข้าที่พักเตรียมกินมื้อเช้าครับ




          หลังมื้อเช้าเราออกเดินทางไปยัง ภูเขาโปปา (Mount Popa) เป็นภูเขาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่สิงสถิตของบรรดาเทวดาและนัตทั้งหลาย  ตามความเชื่อดั้งเดิมของประชาชนชาวพม่าตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 4 แล้ว โดยกษัตริย์ของอาณาจักรในอดีตของพม่า จะต้องจัดงานเคารพบูชาผีนัตเป็นประจำทุกปี 

          โดยชาวพม่าเชื่อว่าภูเขาแห่งนี้เป็นเสมือนบ้านของผีนัต มีการเฉลิมฉลองเพื่อความเคารพต่อผีนัตในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพุกามประมาณ 50 กิโลเมตร โดยมีความสูงทั้งสิ้น 1,518 เมตร ระหว่างทางแวะชิมน้ำตาลก้อน ที่ชาวบ้านทำจากต้นตาลแท้ ๆ สด ๆ ครับ



          เราต้องออกแรงเดินขึ้นไปยังยอดเขาด้านขวามือในภาพ ทางขึ้นเป็นบันไดเรียบร้อย ช่วงแรกมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย บนยอดเขาเป็นวัดที่ชาวพม่าเลื่อมใสมากอีกแห่งหนึ่งครับ อย่างไรก็ดี แดดวันนี้ร้อนแรงมาก เราไม่ค่อยสนุกกับสภาพอากาศในวันนี้นักครับ



          ในช่วงบ่ายเรากลับมาเที่ยวต่อในเขตพุกาม ที่นี่มีวัดมากมายให้เราเที่ยวกันจนเบื่อกันไปข้างหนึ่งเลยครับ



          กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม คือ พระเจ้านรสีหบดี สร้างเจดีย์องค์สุดท้ายแห่งพุกาม เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1819 และเมื่อสร้างเจดีย์องค์นี้เสร็จ ได้มีผู้ทำนายว่า อาณาจักรพุกามจะถึงกาลอวสาน ซึ่งต่อมาก็เป็นจริงดังนั้น เมื่อกองทัพมองโกลยกทัพเข้ามาบุกในปี พ.ศ. 1827 และพุกามถึงคราวล่มสลายในปี พ.ศ. 1830 รวมระยะเวลาแล้ว 243 ปี มีกษัตริย์อยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น 11 พระองค์



          บ่ายวันนั้นที่หมู่บ้านใกล้ที่เราพักมีงานบวชเณร เราเลยแวะไปเก็บบรรยากาศประเพณีของชาวบ้านที่นี่มาด้วยครับ พอช่วงเย็นเราได้ไปลงเรือล่องไปตามแม่น้ำอิระวดี ชมวิถีชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำ และพระอาทิตย์ตกดินในบรรยากาศสบาย ๆ ครับ



อีกสักภาพครับ ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีครับ




          เช้าตรู่วันต่อมาเราบินไปเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งที่นี่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจให้เราเที่ยวชมมากมายเช่นกัน เราเริ่มกันแต่เช้าครับ ไปตักบาตรเช้ากัน...



          มัณฑะเลย์ (Mandalay) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี อดีตเมืองหลวงที่สำคัญของประเทศพม่า ก่อตั้งโดยกษัตริย์มินดง ในปี พ.ศ. 2400 แต่ภายหลังจากที่พม่าได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2428 ทำให้เมืองแห่งนี้ลดความสำคัญลงไป แต่ทว่าปัจจุบันเมืองมัณฑะเลย์ได้รับการปรับปรุง จนกลายเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศพม่า โดยมีขนาดประชากรที่มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ และมีความสำคัญทั้งในแง่ของศิลปะ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว



          พระเจ้ามินดง ทรงสร้างเมืองมัณฑะเลย์เป็นราชธานีใน พ.ศ. 2400 นามนี้ได้มาจากชื่อเขา ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองเขานี้ เป็นเขาศักดิ์สิทธิ์มาช้านานแล้ว และตำนานได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธองค์และพระอานนท์ได้เสด็จมาประทับพักที่นั่น พระพุทธองค์ได้ประธานพุทธทำนายไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบ 2,500 ปี จักเกิดเป็นเมืองใหญ่เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาขึ้นที่เชิงเขาแห่งนี้ พระเจ้ามินดงจึงทำพุทธทำนายให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา โดยทรงย้ายราชธานีจากเมืองอมรปุระมายังเมืองมัณฑะเลย์ เมืองนี้มีนามอีกนัยหนึ่งว่า รัตนบูชา

          สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คือวัดเช่นเดิมครับ ที่นี่มีวัดที่สวยงามน่าสนใจมากมาย



          เราเที่ยวชมวัดต่าง ๆ อยู่หลายแห่ง และช่วงสุดท้ายของวันเป็นไฮไลท์สำคัญของวันนั้นครับ เราไปชมแสงสุดท้ายของวันที่ U Bein Bridge ครับ



          เมืองอมรปุระ เป็นเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองมัณฑะเลย์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือ สะพานอูเบ็ง (U-Bein) สร้างโดยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสมัยพระเจ้าโบดอพญา ที่ชื่อ อูเบ็ง สะพานนี้เป็นสะพานไม้สักที่สร้างข้ามทะเลสาบเตาง์ตะมัน  (Toungthamon) ประมาณ 1 กิโลเมตร  วัสดุบางส่วนก็นำมาจากกรุงอังวะด้วย โดยสะพานนี้สร้างเพื่อเป็นทางเชื่อมไปสู่เจดีย์จ๊อกตอยี นับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่มีชื่อเสียงจุดหนึ่งของเมืองอมรปุระ หรือมัณฑะเลย์ซึ่งอยู่ติดกัน



อีกสักภาพครับ...




เช้ามืดวันถัดมา...กับพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์ 



          พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของชาวยะไข่แห่งเมืองธัญญวดี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐยะไข่ ทางด้านตะวันตกของพม่าติดกับบังคลาเทศ) โปรดฯ ให้สร้างพระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า "มหาปราชญ์" ขึ้นในปี พ.ศ. 689 หรือเกือบสองพันปีมาแล้ว เหตุเพราะพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าพระสุบินประทานพรแก่พระเจ้าจันทสุริยะ ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น เพื่อเชิดชูพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง แต่เนื่องจากว่ามีขนาดใหญ่จึงต้องหล่อแยกเป็นชิ้น แล้วจึงนำมาประสานกันได้สนิทจนไม่เห็นรอยต่อเป็นที่น่าอัศจรรย์ เชื่อกันว่าเป็นด้วยพรของพระศาสดาประทานไว้



          ด้วยเหตุแห่งความศรัทธาว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต จึงเป็นที่มาของธรรมเนียมการล้างพระพักตร์ให้องค์พระทุก ๆ รุ่งสาง เหมือนดั่งคนที่ต้องล้างหน้าแปรงฟันทุกเช้า โดยมีพระทำหน้าที่ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีทุกวันตั้งแต่ราวตีสี่ครึ่ง เริ่มจากประพรมพระพักตร์ด้วยน้ำผสมเครื่องหอมทำจากเปลือกไม้ "ตะนะคา" ซึ่งชาวบ้านนำมาบริจาคให้วัดทุกวัน จากนั้นก็ใช้แปรงขนาดใหญ่ขัดสีบริเวณพระโอษฐ์ดั่งการแปรงฟัน แล้วใช้ผ้าเปียกลูบไล้เครื่องหอมดั่งการฟอกสบู่จนทั่วทั้งพระพักตร์ จึงมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการใช้ผ้าขนหนูเช็ดพระพักตร์ให้แห้ง และขัดสีให้เนื้อทองสัมฤทธิ์ที่พระพักตร์ให้สุกปลั่งเป็นเงางามอยู่เสมอ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดพระมหามัยมุนี จึงเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่มเอิบเป็นประกายวาววามอย่างที่สุดองค์ 

** โปรดติดตามตอนต่อไป**
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...