นิบิรุ…แหกตาโลก


 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นที่มาแรงมากและกำลังเป็นที่สนใจในขณะนี้ คือ”วันสิ้นโลก” ซึ่งข้อมูลหลายแหล่งต่างก็ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือวันที่ 21 หรือ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งถ้านับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว…

ไม่มีใครระบุได้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับโลกกันแน่ แต่ก็มีความน่าจะเป็นมากมาย มีการกล่าวอ้างถึงทฤษฎีต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ทั้งอุทกภัยครั้งใหญ่ แผ่นดินไหว พายุสุริยะ สนามแม่เหล็กโลกกลับทิศ ฯลฯ รวมถึงการอ้างถึงคำทำนายของอารยธรรมโบราณอย่างชาวมายา (Maya) และ แอสเท็กซ์ (Aztecs) ซึ่งต่างมีคำทำนายและปฏิทินที่สิ้นสุดลงในวันที่ 23 ธันวาคม 2012 เหมือนกัน

หากใครที่ศึกษาเกี่ยวกับปฏิทินและคำทำนายของชาวมายา จะทราบว่า คำทำนายนั้นไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าโลกเราจะถึงกาลอวสานแต่อย่างใด

แต่หลักฐานที่กล่าวอ้างนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ปฏิทินของชาวมายาเท่านั้น ยังมีอีกหลายอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในสมัยก่อนก็กล่าวถึงวันสุดท้ายของโลกไว้เหมือนกัน เช่น ตำนานในมหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย แห่งลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทิส มีความเชื่อเกี่ยวโยงกับวันสิ้นโลก นั่นคือเรื่องราวความเชื่อของชาวสุเมเรียน (Sumerian) ที่กล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงที่ 12 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “ดาวนิบิรุ (Nibiru)” หรือ “Planet X” นั่นเอง (ที่เรียก Planet X หรือดาวเคราะห์ดวงที่ 10 ก็เพราะตอนนั้นดาวพลูโตยังไม่ถูกปลด)

เป็นที่ทราบกันว่าเมื่อก่อนในระบบสุริยจักรวาลของเรามีดาวเคราะห์ 9 ดวง แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดาวพลูโต ถูกปลดให้เป็นดาวเคราะห์แคระไปแล้ว จึงเหลือเพียง 8 ดวง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ว่ากันว่าชาวสุเมเรียนนี้มีความรู้ทางดาราศาสตร์ค่อนข้างลึกซึ้งถึงขั้นค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่ 12 แล้ว และเจ้าดาวนี้เองที่จะพุ่งชนโลกในที่ ค.ศ.2012 และเป็นจุดจบของมนุษยชาติ

สุเมเรียนเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อว่า “แรกเริ่ม” ที่สุดของโลก จะเจริญถึงเพียงนั้นจริงหรือ?…

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อนว่าทำไมหลายฝ่ายถึงเชื่อว่ามีดาวนิบิรุอยู่จริง ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นมันเลย

แรกเริ่มเดิมทีตอนที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบดาวยูเรนัสใหม่ ๆ สงสัยว่าทำไมยูเรนัสจึงมีวงโคจรแปลก ๆ เหมือนมีดาวที่ใหญ่ว่าส่งอิทธิพลมาถึงมัน จากนั้นเราจึงค้นพบดาวเนปจูน ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากดาวอีกดวงหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปเช่นกัน และต่อมาเราก็ค้นพบดาวพลูโต และเชื่อว่า เจ้าพลูโตนี่เองที่มีผลต่อวงโคจรของดาวทั้งสองดวง แต่เนื่องจากดาวพลูโตนี้เล็กมาก ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในช่วงแรก ๆ คิดว่า น่าจะมีดาวดวงอื่นอีกที่ส่งแรงโน้มถ่วงมารบกวนวงโคจรของดาวเหล่านี้ และต้องเป็นดาวที่ใหญ่มากด้วย พวกเขาจึงตั้งชื่อดาวลึกลับที่ยังไม่ค้นพบนั้นว่า Planet X

ซึ่งก็มีผู้นำไปตีรวมกับตำราของชาวสุเมเรียนว่า มันคือดาวดวงเดียวกับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (ที่ว่าจะชนโลก) เพราะชาวสุเมเรียนนั้นมีการแบ่งระบบดาว และนับลำดับดาวไม่เหมือนปัจจุบัน โดยพวกเขาจะนับรวมดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์เข้าไปด้วย ดังนั้นดาวนิบิรุ จึงอยู่อันดับที่ 12

แหล่งข้อมูลบางแห่งกล่าวว่า นิบิรุมีขนาดใหญ่กว่าโลก 5 เท่า หรือประมาณดาวพฤหัสบดี (มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อดาวพฤหัสฯ หนักกว่าโลก 317.89 เท่า มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 11.28 เท่า) แถมยังมีวงโคจรซ้อนทับกับโลกอีกด้วย มันจะเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลของเราทุก ๆ 3600 ปี และจะพุ่งชนโลกของเราในปี 2012

บ้างก็พยายามจะบอกว่าชาวสุเมเรียนได้บันทึกไว้ว่า ดาวดวงนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย โดยเรียกคนเหล่านั้นว่า อนูนนากิ (Anunnaki) และดาวดวงนี้ก็เคยชนโลกจนแหว่งเหลือเพียงครึ่งเดียวมาแล้วด้วย พร้อมแสดงหลักฐานให้เห็นว่าโลกของเรานั้นมีเพียงซีกเดียวเท่านั้น โดยถ้าสูบน้ำออกจากโลกเราให้หมด ก็จะเห็นว่าเนื้อโลกมันหายไปส่วนหนึ่งจริง ๆ ซึ่งก็คือส่วนที่อ้างว่าถูกดาวนิบิรุเฉี่ยวชนไป

แต่ชาวสุเมเรียนมีความสามารถด้านดาราศาสตร์ถึงขั้นรู้จักดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ที่ผ่านเข้ามาทุก ๆ 3600 ปี จริงหรือ? มันเป็นอารยธรรมแรกของโลกเลยนะนั่น…

หลายฝ่ายพากันแตกตื่นรีบค้นหาหลักฐานทั้งทางด้านวิชาการและโบราณคดีกันใหญ่ โดยเฉพาะหลักฐานแผ่นดินเหนียวที่ชาวเมโสโปเตเมียใช้บันทึกอักษรลิ่ม หรือ คูนิฟอร์ม (Cuneiforms) ที่มีอยู่มากมายหลายชิ้น แต่ที่กล่าวถึงดาวนิบิรุ มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

“นิบิรุ” ในอักษรลิ่มนั้น มีความหมายหลายแบบมาก ซึ่งส่วนมากจะหมายถึง “การก้าวข้าม” (เช่น การเดินทางด้วยเรือข้ามฟาก, เรือข้ามฟาก, การข้ามแม่น้ำ, ส่วนตื้นของแม่น้ำที่สามารถข้ามได้ เป็นต้น) ไม่ค่อยมีความหมายเกี่ยวข้องกับดาวซักเท่าไหร่ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความหมายถึงดวงดาว หรือว่าด้วยเหตุนี้ มันจึงหมายถึงดวงดาวที่เดินทาง “ข้ามวงโคจร” เข้ามาในระบบสุริยจักรวาลจนชนกับโลก?

บางท่านอาจสงสัยว่า นักภาษาโบราณ แน่ใจได้อย่างไรว่า นิบิรุ คำไหนหมายความถึงดวงดาว คำไหนหมายความว่าอย่างอื่น?

คำตอบคือ ในภาษาโบราณไม่ว่าจะเป็นภาษาอียิปต์โบราณ หรือ อักษรลิ่ม ต่างก็มีความคล้ายคลึงกันตรงที่จะมีอักษระที่เรียกว่า “ตัวเขียนกำกับความหมาย(Determinative)” และ “ตัวเขียนแทนทำ(Logogram)” โดยตัวเขียนกำกับความหมายจะเป็นตัวบอกว่าคำต่าง ๆ ที่เขียนอยู่นั้นหมายถึงอะไร ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าการถอดความภาษาลิ่มนั้นถูกต้องแน่นอน และ นิบิรุ คำไหนหมายถึงการก้าวข้าม คำไหนหมายถึงดวงดาว

จากการค้นคว้าและพิสูจน์ทั้งหลายทั้งปวง สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่นักวิชาการค้นพบเกี่ยวกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย คือ เรื่องราวของการศึกษาดาราศาสตร์ของอารยธรรมนี้สามารถสืบย้อนกลับไปได้เพียง 1800 ปี ก่อนคริสตกาลเท่านั้น ไม่มีหลักฐานที่ระบุได้ว่า ศาสตร์แขนงนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ชาวสุเมเรียนเจริญรุ่งเรืองเมื่อ 3300 ปีก่อนคริสตกาลเลยหรือไม่

สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ จากการตรวจหลักฐานเกี่ยวกับดาราศาสตร์ของพวกเขา พอจะบอกได้ว่า ชาวสุเมเรียน รู้จักดาวเคราะห์เพียง 5 ดวงเท่านั้น ถ้ารวมดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ด้วยก็เป็น 7 และแน่นอน เจ้านิบิรุ ก็ต้องเป็นหนึ่งในเจ็ดดวงนั้นนั่นเอง…

ถ้าคิดกับแบบนั้นแล้ว นิบิรุ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเทพมาร์ดุค (Marduk) เทพแห่งชีวิตและแสงสว่างประจำนครบาบิโลน แต่จากจารึกบางแผ่นก็ตีความหมายได้ว่า มันอาจจะเป็นดาวอังคารได้ด้วยเช่นกัน

มีข้อมูลที่แน่นอนที่สุดอย่างหนึ่งคือ “ชาวสุเมเรียน ไม่ได้กล่าวเอาไว้ในจารึกแผ่นดินเหนียวแผ่นใดเลยว่า ดาวนิบิรุนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่รอบนอกวงโคจรของดาวพลูโต หรือแม้กระทั่งว่ามันเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12″

หลักฐานต่าง ๆ ที่นักวิชาการนำมากล่าวอ้างจนได้ข้อมูลเหล่านี้มีทั้งจารึกแผ่นดินเหนียว และเครื่องมือดาราศาสตร์โบราณหลายชิ้น ทำให้เราทราบว่าชาวสุเมเรียนมีการแบ่งปี แบ่งเดือน และแบ่งดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไร (ส่วนมากมีการเปรียบเทียบดาวกับเทพเจ้า)

หลักฐานจากจารึกชิ้นหนึ่งเรียกนิบิรุว่า “ดาวแดง” จึงมีการสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นดาวอังคารก็ได้ แต่ต่อมาเจอหลักฐานสำคัญคือจารึกอักษรลิ่มคำว่า MULSAG.ME.GAR ซึ่งหมายถึงดาวพฤหัสบดี กำกับไว้ชัดเจน จึงเชื่อได้ว่า แท้จริงมันคือดาวพฤหัสอย่างแน่นอน

และหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ทำให้เชื่อได้แน่ว่า มันจะต้องเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรียนรู้จักแน่นอนคือ มันเป็นดาวบนท้องฟ้า ที่อยู่ในรายชื่อดาว 36 ดวงซึ่งมีตำแหน่งคงที่ในแต่ละเดือนของทุก ๆ ปี (อยู่ในแผนที่ดาวด้วย) นั่นหมายถึงชาวสุเมเรียน เห็นมันอยู่ทุกปี ความเชื่อที่ว่า มันจะมาทุก ๆ 3600 ปี จึงถูกหักล้างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะอันที่จริงไม่มีบันทึกในลักษณะนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ

สรุป ดาวนิบิรุ ในความเชื่อของชาวสุเมเรียน เป็นเพียงดาวพฤหัส ซึ่งถูกนำมาเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเทพมาร์ดุคเท่านั้น ไม่ได้เป็นดาวดวงใดนอกเหนือจากที่เรารู้จัก และไม่มีทางพุ่งชนโลกได้แน่นอน…

 

เป็นทฤษฏีที่แตกต่างจากเว็ปอื่นๆอยู่พอสมควรนะคะ แต่ข้อมูลนี้ค่อนข้างเป็นข้อเท็จจริงค่ะ

คือตอนนี้น่าจะแน่แล้วว่า นิบิรุ ที่ชาวสุเมเรียนกล่าวถึง คือ ดาวพฤหัส

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...