เจาะประวัติ "ซีไอเอ" ตอน๒ ซีไอเอ พระเอกหรือผู้ร้าย

ซีไอเอ พระเอกหรือผู้ร้าย
ซีไอเอ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีอื้อฉาวมากมายนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา เช่นถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างพื้นที่ 51

 

รูปพื้นที่ 51(สมัยนั้นค่ะ)

ขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานีทดลองเครื่องบินล่องหน (Stealth aircraft)


Stealth aircraft

 

และกลายเป็นสถานีทดลองเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาวในที่สุด

ปี ค.ศ. 1953 ผอ. อัลเลน ดูลเลส (Allen Welsh Dulles)

ผอ. อัลเลน ดูลเลส (Allen Welsh Dulles)

 

สั่งให้มีการทดลองการควบคุมจิตใจมนุษย์ Mind control ภายใต้ชื่อการทดลอง MKULTRA ซึ่งการทดลองนี้ได้ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปหลายล้านเหรียญทีเดียว ในปี ค.ศ. 1960 ซีไอเอ ได้อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารผู้นำคณะปฏิวัติของคิวบา คือนาย ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

นาย ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1961 ซีไอเอ ส่งพลร่ม 1,300 นาย ไปปฏิบัติภารกิจในคิวบา ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จปี ค.ศ. 1962 ซีไอเอ พัวพันกับการลอบติดกล้องจารกรรมในเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อดังที่ถูกใช้ในสถานทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน

ในสงครามเวียดนาม ซีไอเอ ได้ใช้สงครามจิตวิทยา สร้างความรุนแรงเพื่อให้ประชาชนต่อต้านพวกเวียดกงมีรายงานว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกฆาตกรรมถึง 20,000 คน แต่ก็มีแหล่งข่าวบางแห่งแย้งว่ายอดของเหยื่อน่าจะสูงถึง 40,000 คน

ปี ค.ศ. 1995 ซีไอเอ ริเริ่มโครงการสายลับพลังจิตภายใต้ชื่อ โครงการสตาร์เกต โดยมีจุดประสงค์ที่จะทำการจารกรรมระยะไกล เช่น การสืบหาแหล่งที่ซ่อนใต้ดินของข้าศึกหรือสถานที่กักกันเชลย

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของเรื่องราวอื้อฉาวที่ ซีไอเอ มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในอันที่จริงแล้วเราจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ยังเป็นปริศนามากกว่าร้อยเรื่อง จนเมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996ได้มีการเดินขบวนประท้วง ซีไอเอ ที่ลอสแองเจลิส เพื่อขอให้ ซีไอเอ ยุติภารกิจต่างๆ

บันทึกลับรายงานจานบิน

มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ในช่วงต้นๆ ของการสำรวจวัตถุบินลึกลับ ซีไอเอ ได้ทำรายงานการสำรวจปลอมขึ้นเพื่อปกปิดปฏิบัติการลับของพวกเขาต่อสาธารณชน หรือว่าวัตถุบินลึกลับที่ชาวบ้านเห็นบินอยู่บนท้องฟ้าในช่วงทศวรรษที่ 1950 แท้ที่จริงแล้วก็คือ เครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 ?

 

U2

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลงราวปลายทศวรรษที่ 1950 หลายประเทศทั่วโลกก็ตกอยู่ในสภาวการณ์ "สงครามเย็น" (Cold War) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐหลายคนเชื่อกันว่า ปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ (UFO phenomenon) ที่พบเห็นบ่อยครั้งในช่วงนี้ เกิดจากการข่มขู่ของพวกมนุษย์ต่างดาว

 

ปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ (UFO phenomenon)

 

พบจานบินครั้งแรก

รายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1947 เมื่อเคนเนท อาร์โนลด์ (Kenneth A. Arnold)

เคนเนท อาร์โนลด์ (Kenneth A. Arnold)

นักธุรกิจและนักบินเครื่องบินส่วนตัวกำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาเรนเนียร์ (Mount Rainier)

เทือกเขาเรนเนียร์ (Mount Rainier)รัฐวอชิงตัน

ขณะนั้นเขากำลังบินอยู่ที่ระดับความสูง 9,000 ฟุต เมื่อเขามองต่ำลงมาก็พบว่า
มีวัตถุลึกลับคล้ายจานจำนวน 9 ลำ บินอยู่เบื้องล่าง

จากนั้นมาก็เริ่มมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับทั้งจากนักบินกองทัพอากาศ นักบินพาณิชย์ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการบินทั่วสหรัฐ พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)

 

พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)

หัวหน้าศูนย์บริการเทคนิคการบินจึงได้เริ่ม "โครงการจานบิน" (Project Saucer) ขึ้นในปี ค.ศ. 1948 โครงการนี้มีหน้าที่ในการรวบรวม ตรวจสอบ วัดผล และสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ เพื่อใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่ายานอวกาศจากนอกพิภพอาจเป็นเรื่องจริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติซึ่งในเวลาต่อมา นาธาน ได้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการสัญลักษณ์" (Project Sign)

หน่วยงานที่รับผิดชอบในโครงการสัญลักษณ์ก็คือ แผนกเทคนิคสืบราชการลับ ของศูนย์ยุทโธปกรณ์การบินที่ฐานทัพไรท์ (Wright field) ซึ่งปัจจุบันก็คือฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน (Wright-Patterson Air Force Base)

ฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน (Wright-Patterson Air Force Base)
ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเดทัน รัฐโอไฮโอ

โครงการสัญลักษณ์ได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1948 ในตอนแรกนั้นบรรดานักวิจัยต่างเชื่อว่า วัตถุบินลึกลับ เหล่านั้นเป็นอาวุธของรัสเซีย แต่ต่อมาเมื่อมีการสืบสวนลึกลงไปก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคาดไว้ พวกเขาจึงสรุปว่าวัตถุบินลึกลับที่พบเห็นกันอาจจะเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ก็ได้

ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่าปรากฏการณ์ที่ได้รับแจ้งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่เกิดจากผู้แจ้งข่าวเพ้อเจ้อไปเองบ้าง ข่าวเท็จบ้าง สำคัญผิดบ้าง และบางครั้งก็เกิดจากผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นโรคประสาทแต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงสืบสวนเรื่องปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านี้อยู่ต่อไปเพราะพวกเขาก็ยังคงคิดว่ามีหลายเหตุการณ์ที่อาจเป็นเรื่องจริง

บิดเบือนข้อมูล

ท่ามกลางข่าวลือเรื่องวัตถุบินลึกลับที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพอากาศก็ยังคงพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ในปลายทศวรรษที่ 1940 กองทัพอากาศได้เริ่มโครงการใหม่ชื่อว่า "โครงการกรูดจ์" (Project Grudge)

โครงการนี้มีหน้าที่ในการสร้างข่าวออกสู่สาธารณชน เพื่อให้ประชาชนคลายความวิตกกังวลเรื่องมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลกโดยการออกข่าวชักจูงให้ประชาชนมีความเห็นคล้อยตามว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นเรื่องอธิบายได้ง่ายๆหาใช่จานบินของมนุษย์ต่างดาว เช่น ลูกบอลลูน เครื่องบิน ดาวเคราะห์ ดาวตก ฝนลูกเห็บ หรือแสงสะท้อน

จากการสืบสวนอยู่นานนับปี ก็ไม่พบหลักฐานว่าปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับจะเกิดจากการบุกรุกจากพวกมนุษย์ต่างดาวหรือแม้แต่เป็นอาวุธลับของประเทศที่เป็นศัตรูของสหรัฐ ในทางตรงกันข้าม การที่รัฐบาลตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาสืบสวนเรื่องนี้กลับทำให้ประชาชนต่างยิ่งหวาดผวาว่าเรื่องที่พวกเขากลัวจะเป็นความจริง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ล้มเลิกโครงการนี้ลงเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1949

เลิกไม่ได้

วันที่ 19-20 กรกฏาคม 1952 เรดาร์ของสนามบินนานาชาติใน กรุงวอชิงตัน และ ฐานทัพอากาศแอนดรูว์
จับภาพวัตถุบินลึกลับได้ แล้วจู่ๆ มันก็หายไปจากจอเรดาร์ วันที่ 27 กรกฏาคม มันก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกและหายไปเฉยๆ เหมือนครั้งก่อน กองทัพอากาศก็รีบออกมาให้ข่าวว่ามันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกระทันหันจึงทำให้สัญญานเรดาร์สะท้อนกลับ

วันที่ 29 กรกฏาคม ว่าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับสายวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ
(CIA's Acting Assistant Director for Scientific Intelligence) ได้ทำบันทึกรายงานถึง
ว่าที่ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับว่า "สืบเนื่องจากการที่มีผู้พบเห็นวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติทั้งชนิดเห็นได้ด้วยตราเปล่าและปรากฏบนจอเรดาร์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้นเพื่อหาข้อเท็จจริง"

งานชิ้นแรกที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษกระทำก็คือ การสืบค้นข่าวจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารของรัสเซียเพื่อหาดูว่าทางค่ายคอมมิวนิสต์นั้นมีการสร้างอาวุธลับอะไรหรือเปล่า เพราะพวกเขาเกรงว่าวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติเหล่านั้นอาจมาจากรัสเซีย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีข้อมูลใดสามารถนำมาผูกโยงกับเรื่องนี้ได้

เป็นภัยต่อความมั่นคง

วันที่ 1 สิงหาคม เอ็ดเวิร์ด เทาส์ (Edward Tauss) หัวหน้าฝ่ายสรรพาวุธของ ซีไอเอ ได้รายงานข่าวว่าจากการที่เขาได้ตรวจสอบข่าววัตถุบินลึกลับกว่า 1,000 ข่าวที่ถูกส่งมายังฝ่ายเทคนิคการบิน (Air Technical Intelligence Center - ATIC) นั้นมีอยู่ราว 100 ข่าวที่ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไร

 

แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะว่าข้อมูลข่าวที่ได้รับแจ้งนั้นมีน้อยเกินไป และตราบใดที่เขายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไร รัฐบาลควรที่จะต้องปกปิดเรื่องเหล่านั้นไว้เป็นความลับ

เอ็ดเวิร์ด ยังได้แนะนำอีกด้วยว่าประชาชนไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่ารัฐบาลกำลังทำการสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้อยู่หาไม่แล้วประชาชนจะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นต่อสาธารณชน ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีคำตอบ

ปัญหาที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ถ้าหากมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ กองทัพจะรู้ได้อย่างไรว่าภาพที่เห็นบนจอเรดาร์นั้นเกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของเรดาร์ หรือเป็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว หรือร้ายที่สุดก็คือเป็นขีปนาวุธของรัสเซีย

ค้นหาความจริง

รัฐบาลสหรัฐเกรงว่ารัสเซียอาจจะฉวยโอกาสนี้ยิงขีปนาวุธเข้าโจมตีสหรัฐ โดยที่ทางสหรัฐไม่ทันได้ตั้งตัวเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิและผู้เชี่ยวชาญทางการบินระดับสูงกลุ่มหนึ่งจึงได้รวมตัวกันก่อตั้งองค์กรลับๆ ขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1953 เพื่อสืบสาวราวเรื่องหาข้อมูลเกี่ยวกับการบุกเข้าโจมตีจากมนุษย์ต่างดาวพวกเขาตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า คณะกรรมการโรเบิร์ทสัน (Robertson Panel)
(ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีขององค์กรนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าเอา IO มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจของสาธารณชนและปกปิดข้อมูลที่ไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ต้องการเปิดเผย ถ้าเทียบกับสถานการณ์การเมืองของไทยก็คือกรณีที่รัฐบาลสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจของประชาชนให้กระจัดกระจายรวมตัวกันไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกันเองระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ, หรือในการแสดงความคิดเห็นบนเวปบอร์ดเองก็มีกลุ่มจัดตั้งเพื่อคอยเบี่ยงเบนประเด็นให้มีการทะเลาะกันเองอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อทำให้ไม่ไว้ใจกันเองระหว่างกลุ่มที่ต่อต้าน
รัฐบาลโดยอ้างความชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง)

ระหว่างวันที่ 14-17 มกราคม 1953 บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลาราว 12 ชั่วโมงทำการศึกษาและหาคำอธิบายให้กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ทางกองทัพอากาศได้รวบรวมหลักฐานมา และสรุปว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติธรรมดาๆ อย่างเช่น ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพวัตถุบินลึกลับเหนือเมืองทรีมอนตัน รัฐยูธาท์ เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 1952 เป็นเพียงแค่สภาพแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่ไปกระทบฝูงนางนวล หรือ ภาพถ่ายวัตถุบินเหนือน้ำตกในมอนทานา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1950 เป็นเพียงแสงสะท้อนจากเครื่องบิน 2 ลำ

คณะกรรมการได้สรุปโดยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีการบุกรุกเพื่อเข้าโจมตีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือแม้แต่หลักฐานที่เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คณะกรรมการชุดก่อนได้สรุปเอาไว้ว่า ปรากฏการณ์นี้อาจเป็นภัยต่อระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศ จึงควรปกปิดเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้ไม่ให้สาธารณชนทราบ
http://www.larryhatch.net/MAPSMENU.html

"สงครามเย็น" (Cold War)

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 รัสเซีย กลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามของสหรัฐ เนื่องจากรัสเซียได้ทำการศึกษาและวิจัยอาวุธนิวเคลียร์และจรวดนำวิถี และเมื่อถึงฤดูร้อนของปี 1949 รัสเซีย ก็เริ่มผลิตระเบิดปรมาณูและก็ทำการทดลอง
เป็นผลสำเร็จเช่นกัน

วุฒิสมาชิกของสหรัฐ ริชาร์ด รัสเซลล์ และผู้ติดตามได้ไปเยือนรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคม 1955 ขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนรถไฟในรัสเซีย ทุกคนต่างเห็นวัตถุบินรูปร่างประหลาดคล้ายจานบินอยู่บนท้องฟ้า แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ ซีไอเอ เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้
พวกเขาก็สรุปว่าสิ่งที่วุฒิสมาชิกและคณะเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องบินเจทที่กำลังไต่เพดานบินเท่านั้น

 

 

 

ตอนที่ ๒ ค่ะ เริ่มเข้าเรื่องสุดโปรดและ (UFO 55+)

เล่าให้จบยันปัจจุบันน่าจะยาวเหยียดเลยค่ะ จะทยอยมาเป็นตอนๆนะคะ

เนื่องจากต้องหารูปประกอบให้ดูน่าอ่านนิดนึงค่ะ มีแต่ตัวหนังสือกลัวว่าจะเบื่อกันหมด(การอัพโหลด+หาภาพข้อมูลที่แสนจะยาวนาน55+)

รูปภาพประกอบจาก google และ http://en.wikipedia.org/wiki/CIA ค่ะ (เรียบเรียงรูปประกอบโดยAladin13ค่ะ 555+)

ข้อมูลจาก ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory) โดยคุณ narong

คัดลอกมาจากหนังสือ "ร้ายสาระ" โดย ศิลป์ อิศเรศ ค่ะ

เนื่องจากเป็นหนังสือนานแล้วข้อมูลอาจจะเก่าและอาจจะได้อ่านหรือทราบกันมาบ้างแล้ว

 

............................................................

 

ปล.คลิปด้านล่างกดดูตอนต่อไปได้ที่ยูทูปเลยนะคะเป็นสารคดี MJ-12 ค่ะ

(เพลงเพิ่มบรรยากาศลึกลับเฉยๆนะคะ อิอิ) 

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

17 ก.ย. 54 เวลา 16:15 3,262 2 90
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...