เรื่องจริงไม่อิงนิยายของ เอด้า แบล็กแจ็ค (Ada Blackjack)

ผู้หญิงตัวเล็กๆมีความรู้แค่ เพียงเรื่องทำ อาหารและตัดเย็บเสื้อผ้า ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะร้างนานหลายเดือน รอบกายมีแต่ทะเลและก้อนน้ำแข็ง แผ่นดินใกล้ที่สุดต้องข้ามมหาสมุทรไปไกลกว่า 140 กิโลเมตร เธอจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้อย่างไร

                                       



                   เกาะแรงเกิล (Wrangel Island) เป็นเกาะร้างขนาดพื้นที่ 7,608 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรีย ปี 1921 วิลฮาเมอร์ สตีเฟนส์สัน (Vilhjalmur Stefansson) นักสำรวจชาวแคนาดา จัดคณะสำรวจเดินทางไปตั้งแคมป์บนเกาะแรงเกิลเป็นเวลา 4 ปี เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการถือกรรมสิทธิ์ครอบครองเกาะร้างแห่งนี้

                                      
                                    
                                 

วิลฮาเมอร์ สตีเฟนส์สัน (Vilhjalmur Stefansson)



                  วิลฮาเมอร์ออกเงินทุนให้อัลเลน ครอว์ฟอร์ด (Allan Crawford) ชาวแคนาเดียน ทำหน้าที่หัวหน้าคณะสำรวจ ลูกทีม 3 คนเป็นชาวอเมริกันประกอบด้วย เฟรด มัวเรอร์ (Fred Maurer) ลอร์นี ไนท์ (Lorne Knight) และมิลตัน กัลล์ (Milton Galle)

                  คณะสำรวจเดินทางไปยังหมู่บ้านนอม (Nome) รัฐอะแลสกา เพื่อติดต่อว่าจ้างครอบครัวชาวเอสกิโม ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือระหว่างตั้งแคมป์อยู่บนเกาะร้างนาน 4 ปี แต่เนื่องจากมันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากและทุกคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรอยู่บน เกาะแรงเกิลนอกจากหมีขั้วโลกและแมวน้ำ จึงไม่มีใครรับงานนี้ นอกจากหญิงสาววัย 23 ปีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ต่างคนต่างคิดไปเอง

                  เอด้า แบล็กแจ็ค (Ada Blackjack) ถูกสามีทอดทิ้งให้อยู่กับลูกชายวัย 5 ขวบตามลำพัง เธอเป็นเพียงหญิงชาวบ้านจนๆมีรายได้ไม่มากนัก การที่ลูกชายป่วยด้วยวัณโรคยิ่งทำให้ชีวิตเธอลำบากยากเข็ญมากยิ่งขึ้น ในที่สุดเธอก็ต้องส่งลูกชายไปอยู่ภายใต้การดูแลของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า

                       


                                                            

เอด้า แบล็กแจ็ค (Ada Blackjack)



                 คณะสำรวจเสนอค่าจ้าง 50 ดอลลาร์ต่อเดือน หากเอด้ารับงานนี้สัก 1 ปีเธอก็จะมีเงินเก็บมากพอที่จะเลี้ยงลูกและส่งตัวไปรักษาพยาบาลได้ด้วยตัว เอง โดยเธอไม่รู้ว่าคณะสำรวจวางแผนจะอยู่บนเกาะร้างนานถึง 4 ปี

                 ในขณะเดียวกันคณะสำรวจก็คาดหมายเอาเองว่า ชาวอินูอิต (Inuit) ทุกคนสามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้ รู้วิธีจับปลา ล่าสัตว์ การสร้างที่พักบนน้ำแข็งและการใช้ชีวิตเอาตัวรอดในดินแดนทุรกันดาร หากแต่เอด้าเกิดในยุคที่สังคมเอสกิโมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เธอใช้ชีวิตในเมือง ถูกส่งไปเรียนกับมิชชันนารี พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ไม่มีความรู้ทางด้านจับปลา ล่าสัตว์ หรือการเอาตัวรอดเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอทำเป็นมีเพียงแค่การทำอาหารและตัดเย็บเสื้อผ้าเท่านั้น

                           



                 ทั้งเอด้าและทีมสำรวจคาดหวังว่าจะมีชาวอินูอิตคนอื่นๆเดินทางไปด้วย แต่ปรากฏว่าพวกเขาเกิดเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ทำให้เอด้าคิดเปลี่ยนใจเช่นเดียวกัน ทีมสำรวจให้คำมั่นสัญญาว่าจะหาคนพื้นเมืองในหมู่บ้านอื่นๆมาเพิ่มระหว่างทาง เอด้าจึงอุ่นใจและยอมออกเดินทางไปกับทีมสำรวจในวันที่ 9 กันยายน 1921

                  ทุกหมู่บ้านที่เรือซิลเวอร์เวฟ (Silver Wave) แวะเข้าจอดไม่มีชาวอินูอิตคนใดยอมเดินทางไปกับทีมสำรวจเลยแม้แต่คนเดียว และทุกครั้งที่ได้รับการปฏิเสธ เอด้าก็ร่ำร้องจะกลับบ้าน ทีมสำรวจต้องหลอกล่อปลอบประโลมไม่ให้เธอเปลี่ยนใจ แต่เหตุผลที่แท้จริงที่เธอยอมเดินทางต่อนั้นเป็นเพราะเอด้าต้องการเงินไป รักษาลูกชาย

แผ่นดินกว้าง อาหารน้อย

                  วันที่ 16 กันยายน คณะสำรวจเดินทางมาถึงเกาะแรงเกิล เรือซิลเวอร์เวฟ แล่นจากไปโดยให้สัญญาว่าจะนำเสบียงมาส่งอีกครั้งในปีหน้า สิ่งแรกที่คณะสำรวจทำคือกางเต็นท์สร้างที่พัก เนื่องจากพวกเขาวางแผนที่หา อาหารเลี้ยงชีพตามวิถีทางของชาวเอสกิโม จึงเตรียมเสบียงมาแค่พอใช้สำหรับระยะเวลา 6 เดือนโดยหารู้ไม่ว่าเอด้านั้นไม่ประสีประสาการล่าสัตว์หรือหาอาหารเลยแม้แต่ น้อย

                  นับว่ายังโชคดีที่เสบียงเหล่านั้นเพียงพอให้คณะสำรวจมีชีวิตรอดจนพ้นฤดู หนาวแรก เมื่อขึ้นฤดูใบไม้ผลิคณะสำรวจก็ต้องล่าสัตว์กันเอง แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาได้มาคือแมวน้ำและหมีขั้วโลก เอด้าเริ่มคลายความกังวล เธอมีหน้าที่ทำอาหารและนำหนังสัตว์มาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าให้คณะสำรวจได้ใช้ ในฤดูหนาว

                           



                  เมื่อถึงฤดูร้อนมา เรือซิลเวอร์เวฟไม่สามารถนำเสบียงมาส่งให้ตามนัด สภาพอากาศเลวร้าย มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยอยู่รอบเกาะ คณะสำรวจแยกย้ายกันสำรวจเกาะแรงเกิล อีกเพียงไม่กี่เดือนความเหน็บหนาวที่อุณหภูมิติดลบ 50 องศาเซลเซียสก็จะกลับมาเยือนอีกครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องหาแหล่งอาหารสำหรับกักตุนนำมาใช้ในฤดูหนาว และนั่นคือครั้งแรกที่คณะสำรวจมองเห็นลางมรณะเมื่อพวกเขาล่าสัตว์ได้ไม่ เพียงพอที่จะใช้บริโภคตลอดฤดูหนาว

                  คณะสำรวจปรึกษาหารือกันและตัดสินใจให้อัลเลน เฟรด และมิลตัน นำเลื่อนหิมะเดินทางไปหาเสบียงที่ไซบีเรียซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 140 กิโลเมตร และระยะทางที่ว่านั้นไม่ใช่แผ่นดิน หากแต่เป็นมหาสมุทร ส่วนลอร์นีและเอด้าทำหน้าที่เฝ้าแคมป์รอจนกว่าพวกเขาจะกลับมา

สู้เพื่อชีวิต

                   วันที่ 28 มกราคม 1923 อัลเลน เฟรด และมิลตัน นำเลื่อนหิมะออกเดินทาง ลอร์นีเดินเท้าออกล่าสัตว์และหาฟืนบริเวณรอบๆแคมป์ อากาศที่หนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจประกอบกับการขาดสารอาหารทำให้โรคประจำตัว โรคลักปิดลักเปิดเกิดอาการกำเริบ ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวเร็วๆหรือออกแรงเพียงนิดหน่อย จะเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะ

                   ลอร์นีพยายามอดทนและซ่อนอาการไม่ให้เอด้ารู้ แต่เพียงสัปดาห์เดียวหลังจากนั้นลอร์นีก็เป็นลมล้มพับขณะกำลังออกหาฟืน เอด้าช่วยนำตัวลอร์นีกลับแคมป์ เขาป่วยหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ เอด้าต้องรับภาระดูแลคนป่วยโดยที่เธอยังดูแลดูเองไม่ได้เลย

                              



                   เอด้าจะทำอย่างไร เธอล่าสัตว์ไม่เป็น ใช้ปืนไม่เป็น แต่หากทำไม่ได้ทั้งเธอและลอร์นีจะต้องอดตายในเวลาไม่กี่วัน เอด้าจำได้ว่าเฟรดเขียนแผนที่บอกตำแหน่งวางกับดักสัตว์เอาไว้ให้ เธอคว้ามีดพกออกสำรวจกับดักเหล่านั้นแต่ไม่มีสัตว์ติดกับเลย เอด้าคิดได้ว่าถึงจะมีสัตว์ติดกับดัก เธอก็คงไม่สามารถใช้มีดพกสังหารมันได้

                   เอด้านำปืนออกตรวจดูกับดักทุกวัน เธอเห็นรอยเท้าสุนัขจิ้งจอกรอบๆกับดักบางอัน แต่ไม่มีสัตว์ติดกับดัก เธอเรียนรู้ด้วยตัวเองว่ากับดักถูกหิมะปกคลุมหนาเกินไป เธอขุดมันขึ้นมาวางบนพื้นแล้วใส่เหยื่อลงไปใหม่ วันรุ่งขึ้นเธอก็พบสุนัขจิ้งจอกติดกับดัก มันเป็นสัตว์ตัวแรกที่เธอสามารถล่าได้ตัวเอง

                   นับวันอาการของลอร์นีมีแต่จะทรุดลง เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด และฟันก็ร่วงหล่นจนแทบไม่เหลือ วันที่ 22 มิถุนายน 1923 ลอร์นีก็ยอมแพ้ชีวิตบอกลาโลก ปล่อยให้เอด้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะร้างตามลำพัง

เดียวดายที่ปลายเกาะร้าง

                   ความกลัวอย่างสุดขั้วเกาะกินฝังลึกอยู่ ในใจเอด้า เธอปล่อยร่างของลอร์นีเอาไว้อย่างนั้นแล้วย้ายตัวเธอเองไปอยู่ในเต็นท์เก็บ เสบียง การที่ต้องอยู่คนเดียวบนดินแดนที่ไร้ผู้คนมันช่างโหดร้าย สุดที่จะบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ แต่เธอจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อรอวันกลับไปพบลูกน้อยไม่ว่าจะอีกนานสัก เพียงไร

                  เพียงแค่ความมุ่งมั่นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นยังไม่เพียงพอ สภาพความเป็นจริงบ่งบอกอย่างแจ้งชัดว่าฤดูหนาวที่ผ่านมา ชายหนุ่มร่างกำยำและเป็นนักผจญภัยมืออาชีพถึง 4 คนยังไม่สามารถหาอาหารได้เพียงพอประทังชีวิต ส่วนเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีประสบการณ์จะผ่านพ้นฤดูหนาวที่กำลังคืบ คลานเข้ามาได้อย่างไร

                              



                  เอด้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะที่เธอออกล่าแมวน้ำ หมีขั้วโลกแม่ลูกอ่อนโผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยวิ่งตรงเข้าหา เอด้าวิ่งโกยอ้าวกลับมาเต็นท์ที่พักได้อย่างเฉียดฉิว เธอตัดสินใจสร้างห้างขึ้นเหนือเต็นท์เพื่อใช้เป็นที่ดักยิงหมีขั้วโลก กรณีที่มีหมีขั้วโลกมาป้วนเปี้ยนใกล้แคมป์

                  วันที่ 19 สิงหาคม 1923 ฮาโรลด์ นอยซ์ (Harold Noice) นำเรือโดนัลด์สัน (Donaldson) ฝ่าก้อนน้ำแข็งเข้ามาที่ชายฝั่ง เอด้าถามถึงอัลเลน เฟรด และมิลตัน แต่ฮาโรลด์ไม่รู้เรื่องโดยบอกว่า วิลฮาเมอร์ส่งเขามาติดตามข่าวคราวคณะสำรวจหลังจากที่พวกเขาขาดการติดต่อกัน นาน 2 ปี ซึ่งหมายถึงอัลเลน เฟรด และมิลตัน นั้นหายสาบสูญไประหว่างเดินทาง

                   เอด้าเดินทางกลับหมู่บ้านนอม เธอนำเงินค่าจ้างที่เกือบต้องแลกด้วยชีวิตไปรับตัวลูกชายออกจากสถานรับ เลี้ยงเด็กกำพร้า และส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจนหายเป็นปรกติ เอด้าเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดและเป็นคนเดียวที่ไม่มีประสบการณ์ แต่เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดกลับมาจากการสำรวจเกาะแรงเกิลครั้ง นั้น

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 305 วันที่ 2 - 8 เมษายน พ.ศ. 2554 หน้า 36 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ

#นักสู้ #หญิงเหล็ก #สำรวจโลก
Kean2442
เจ้าของบทประพันธ์
สมาชิก VIPสมาชิก VIPสมาชิก VIP
29 พ.ค. 54 เวลา 20:17 10,358 19 250
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...