โรฮิงญา..ชายแดนใต้..จิ๊กซอว์ประวัติศาตร์ที่ไม่อาจมองข้าม!

วันนี้ถ้าคนติดตามข่าวสารบ้านเมือง โดยเฉพาะคอการเมืองหรืออาชญากรรม หากพลาดข่าวเกี่ยวกับเรื่องการพบหลุมและศพของชาวโรฮิงญา ที่ ต.เขาแก้ว อ.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ก็ต้องบอกว่านั่นไม่ใช่คอข่าวสารด้านนี้แน่นอน

เพราะข่าวนี้กลายเป็นข่าวฮิตติดโลก ไม่เฉพาะเมืองไทย แต่ทั้ง CNN ,BBC  และสารพันสำนักข่าวดังนำภาพการแบกร่างย้ายศพที่ถูกพบไปทำการตรวจสอบ..ไปฝังกันเป็น Breaking News! กันเต็มหน้าข่าว

ภาพ : โซเชียล/กิมหยงดอทคอม

 

ล่าสุดเมื่อวาน (9/5/2558)  ก็มีข่าวพบหลุมศพและศพเพิ่ม และทั้งยังพบโรฮิงญาและชาวบังคลาเทศที่ถูกนายหน้าหลอกมาลอยแพตัวเป็น ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่และถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมได้ที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา อีกราว ๆ 100 กว่าชีวิต!

ข่าวนี้และเรื่องนี้ ถือว่าโชคดีที่เกิดในยุคของ พลเอกประยุทธ์ และที่บอกว่าเรื่องร้ายก็คือปัญหาการค้ามนุษย์กิจการประมงที่กำลังโดน อียู และสหรัฐฯ เพ่งโทษ และนายกประยุทธ์ท่านก็ออกอาการเครียด แต่ก็กล้าหาญยืดอกพอที่จะบอกว่า หลายเรื่องที่ทางอียูกล่าวหานั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องใส่ความแต่หลายเรื่องเป็นข้อเท็จจริงที่เราต้องติดตามและช่วยกันแก้ไข จึงต้องนำไปสู่การปราบปรามอย่างจริงจังและ เด็ดขาด! 

หลุมศพ โรฮิงญา กลายเป็นแรงกระตุ้นให้ภาครัฐทั้งระบบตื่นตัว และตั้งสติหันมาถามตัวเองว่า "นี่เราปล่อยปละละทิ้งประเทศกันจนขนาดนี้เลยหรือ?"

และที่ทำให้ ปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นอำเภอชายแดนที่ก้าวข้ามรั้วคอนกรีตไปนิดก็ติดกับรัฐปะลิศ เพื่อนบ้านมาเลเซีย ต้องร้อนฉ่า เพราะคำสั่งย้ายด่วนนายตำรวจระดับใหญ่ และที่สำคัญคือการเข้าจับกุมตัวเทศมนตรีของปาดังฯ รวมพรรคพวกอีกบาน!  นี่ตอกย้ำให้เห็นคำว่า เราปล่อยปละละทิ้งประเทศกันอย่างไม่น่าเชื่อจริง ๆ

คนไทยหลายคน เห็นภาพ "โรฮิงญา" แล้วน้ำตาแทบไหล  ไม่ต่างกับฝรั่งต่างชาติเค้าก็คงสังเวชใจที่เห็น ชาวผิวสีที่ส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกาลี้ภัย อพยพหลบหนีเพื่อไปหาชีวิต(อาจ)รอดใหม่ในดินแดนคนอื่น  ต้องมาจมน้ำตายกัน 7-8 ร้อยคน เหตุเพราะเรืออพยพล่มกันกลางทะเลกันล่าสุดเรื่องเหล่านี้กลายเป็น แดจาวูของโลก ที่เราต้องพบเห็นกันอีกต่อไป หากสังคมโลกยังมีความเอารัดเอาเปรียบ,แบ่งแยก, และที่สำคัญ  ช่องว่างทางฐานะของคนรวยจนยังห่างกันแบบขั้วโลกเหนือกับใต้แบบทุกวันนี้

ชนเผ่า โรฮิงญา เกิดมาใช่ว่าจะไร้แผ่นดิน แต่เหตุใดที่ถิ่นเกิดถิ่นพำนักวันนี้จึงต้องมีเหตุพลิกผันให้อยู่ไม่ได้ ใครเป็นคนทำ..ใครเป็นผุ้ซ้ำ(เติม)  ถือเป็นกรณีที่ไทยควรศึกษานำมาเพื่อมิให้เกิดแดจาวูกับแผ่นดินไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดใต้ จึงขอลำนำเรื่องราวมาให้อ่านกัน

โรฮิงญา มีแผ่นดินตัวเองโดยเป็นดินแดนแถบชายแดนพม่ากับบังคลาเทศ   ...รัฐยะไข่ หรือชื่อเดิมคือ "อาละกัน" ซึ่งเป็นดินแดนอยุ่ทางตะวันตกและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่า 

และด้วยความเป็นคนชายแดนดั้งเดิมที่ประเทศติดกับปากีสถานตะวันออก(บังคลาเทศ) เข้าๆ ออก ๆ กันในเวลานั้น ชาวโรฮิงญา ก็ไม่ต่างอะไรกับคนสามชายแดนใต้ของไทย คือส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและส่วนใหญ่มีกายภาพชาติพันธุ์เป็นพวกอาหรับ,ปาทาน,ส่วนใหญ่อพยพมาจากจิตตะกอง บังคลาเทศ  ภาษาพูดแถมหน้าตาละม้ายคล้ายกับเพื่อนบ้านบังคลาเทศหยั่งกะแกะ

ย้อนไปในยุคปลายสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ก่อนพม่าจะได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี พ.ศ.2491 ซึ่งแค่ข่าวนี้สะพัดขึ้นในราว ปี พ.ศ 2489 ยังไม่ทันที่อังกฤษจะประกาศให้เอกราช ปัญหามันก็เกิดขึ้นเพราะ โรฮิงญาในระดับแกนนำบางคนมีความคิดว่า ดินแดนดังกล่าวที่พวกเขาอยู่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคงดีไม่น้อยถ้าจะแยกดินแดนนี้ออกเป็นจำเพาะของเผ่าพันธุ์ ซึ่งในห้วงเวลานั้น ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างพุทธ(ยะไข่) กับ โรฮิงญา ยังไม่บานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่โตแบบทุกวันนี้

ผู้นำโรฮิงญาในเวลานั้น มีความภักดีและสนิทสนมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานตะวันออก(บังคลาเทศ) เพราะเป็นมุสลิมเหมือนกัน  เดินทางเข้า ๆ  ออกๆ  จนในที่สุดก็ไปทำสัญญาลับ ๆ กับหลายชาติมุสลิมเพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนตนในการขอ "แบ่งแยกดินแดน!" 

 และถึงขนาดเดินทางไปพบผู้นำปากีสถานด้วยตัวเอง เพื่อขอให้สนับสนุนโดยขอให้ปากีสถานยอมรับเอาดินแดนดังกล่าวผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน!  

รัฐบาลพม่าใช่ว่าจะไม่รู้แกว เพราะอีกไม่นานสองสามปีจากนี้ประเทศตัวเองก็จะได้รับเอกราช หากขืนยอมให้โรฮิงญาแยกดินแดนออกไป ก็ต้องมีหลายก๊ก..หลายเผ่าในพม่าลุกฮือขอแบ่งสรรปันเค๊กกันวุ่น นี่จึงเกิดกรณีที่รัฐบาลกลางพม่าต้องออกโรงต้านและสร้างแรงบีบในระดับประเทศ จนในที่สุดผู้นำปากีสถานไม่กล้ารับข้อเสนอของผู้นำโรฮิงญาที่จะขอมอบดินแดนนี้ให้เป็นของปากีสถานในอนาคต

 
ภาพการไล่ล่าฆ่าเผาหมู่บ้านระหว่าง พุทธ-มุสลิม ในพม่า

 

หลายกลุ่ม,องค์กรหลายชาติมุสลิมในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น ซาอุดิอาระเบีย,ปากีสถาน,บังคลาเทศ อินโดนีเซีย หรือแม้นแต่องค์กรยุวมุสลิมมาเลเซียข้างบ้านเรา! ต่างก็เห็นพ้องเพราะให้เหตุผลสากลว่า พม่านั้นกดขี่ชาวโรฮิงญา เพื่อให้มีน้ำหนักเหตุผลไปต่อรอง เพื่อสมควรกับการจะได้รับการสนับสนุนในระดับนานาชาติในการ "แยกแผ่นดิน!"

สุดท้ายโรฮิงญา ที่ได้รับการสนับสนุนก็ฮีกเหิมสถาปนาตัวเองเป็น กองทัพ ประกาศเป็นกบฎอย่างเต็มตัว นั่นคือปฐมบทของสงครามระหว่าง โรฮิงญากับรัฐบาลพม่า ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่ไหนๆ  เวลาพวกจะแบ่งแยกแผ่นดินออกมันก็ต้องรบราฆ่ากันเป็นธรรมดา   แต่ที่โรฮิงญาต้องกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อนนั่นเพราะสิ่งที่รัฐบาลพม่าดันถลำลึกเข้าไปในเกมเอาชนะและมุ่งทำลายจนสงครามที่อาจนำไปสู่การเจรจาได้ต้องหมดสิ้น เพราะมันขยายวงจาก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกบฎ กลายเป็น  สงครามชาติพันธุ์และการชังกันในเรื่องศาสนา!


ครั้งหนึ่งของการเจรจายอมจำนนมอบอาวุธใน พ.ศ 2504 ระหว่างผู้นำกบฎโรฮิงญากับรัฐบาล พม่า

 

กำลังกบฎของโรฮิงญาในเวลานั้นแข็งแกร่งเพราะมีทั้งเงินทองแถมอาวุธสนับสนุนจากต่างชาติ จึงเข้าบุกยึดเมืองต่าง ๆ ในรัฐยะไข่ได้มากมายและที่สำคัญเมื่อบุกยึดได้ก็ไม่ต่างอะไรกับสงครามที่อื่น ๆ คือฆ่า,ทำร้ายและขับไล่ชาวยะไข่ทีเป็นพุทธหรือศาสนาอื่นให้ออกไปจากดินแดนดังกล่าว และที่น่าตกใจคือเมื่อไล่คนคนศาสนาอื่นออกไปแล้ว กลับไปนำเอาชาวโรฮิงญาหรือญาติพี่น้องตนจากบังคลาเทศอพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนนี้แทน ซึ่งก็มีผู้อพยพที่ยินดีจะมาอย่างมากมายเพราะปากีสถานตะวันออก(บังคลาเทศ) นั้นผู้คนก็แทบล้นจะไม่มีกิน ต่างก็ทิ้งถิ่นเดิมมาอยู่ยะไช่ด้วยหมายว่าวันหนึ่งข้างหน้าที่นี่อาจเป็นประเทศใหม่ของพวกตน!

สงครามจิตวิทยาเริ่มกันสองฝ่าย ทั้งโรฮิงญาที่สร้างทัศนะให้คนของตนเกลียดคนพุทธยะไข่....และไม่ต่างกันกับชาวพุทธยะไช่ที่เริ่มเกลียดชังมุสลิมโรฮิงญาก็สร้างภาพกล่าวขวัญนานาว่าโรฮิงญาทำลายไล่ล่าและฆ่าคนพุทธ



ภาพของพระพม่าที่ออกมาประท้วงชาวมุสลิมโรฮิงญา

 

กรณีภิกษุยะไข่ ออกมาประท้วงให้รัฐบาลพม่าปราบปรามโรฮิงญา ดูจะเป็นเกมสร้างเหตุผลชอบธรรมหรือไม่.เพราะหลังจากมีการประท้วงจากภิกษุดังกล่าว รัฐบาลพม่าจึงประกาศสงครามใหญ่ปราบกบฎโรฮิงญา และก้าวที่พลาดของรัฐบาลพม่าคือการประกาศให้พม่ามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ยิ่งเป็นการเร่งปฎิกริยาลุกลามให้คนศาสนาอื่นโดยเฉพาะมุสลิมทั่วประเทศในพม่าเกิดการต่อต้านและขยายวงความขัดแย้งด้าน พุทธ อิสลามไปทั่ว

จาก ทหารรบกับ กบฎ ลุกลามกลายเป็น คนพุทธไล่ล่าฆ่าเผาคนโรฮิงญา สลับไปสลับมาแบบ ที่เอ็งทีข้า ตายกันทั้งพุทธ,มุสลิม มาจวบจนปัจจุบัน

และด้วยความเป็นรัฐบาลมีการนำคนพุทธเข้าดินแดนยะไข่ เพื่อบีบบังคับคนโรฮิงญาในดินแดนนั้นให้ออกไปจากดินแดนจึงกลายเป็นตำนานล้างแค้นมาจนเรา ๆ ได้เห็นแค่ ภาพสรุปของ โรฮิงญากับเรือลำน้อย ที่เบื้องหลังมันก็มาจากเรื่องเดียวคือ "อำนาจ" 
และ "ความเกลียดชัง"  จากทั้งสองฝ่าย


เล่าเรื่องนี้...เพราะมันมีนัยยะสำคัญที่เรา ๆ ท่าน ๆ อาจได้เห็นจิ๊กซอว์แห่งประวัติศาสตร์ว่า มันละม้ายคล้ายกรณีสามจังหวัดภาคใต้เพียงใด

ที่สามจังหวัดชายแดนใต้นั่นก็มีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สร้างภาพ..กระซิบข่าวลือ..สร้างข่าวปล่อยให้คนมุสลิมในพื้นที่ เกลียดชังคนพุทธ..ต่อต้านรัฐบาลไทย แบบที่เคยเกิดในยะไข่เหมือนกัน

ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เดิมและแม้นในปัจจุบัน ก็ยังมีองค์กรสนับสนุนในหลายกลุ่มหลายประเทศให้การสนับสนุนลับ ๆ แบบที่เคยเกิดในยะไข่ในอดีตที่ผ่านมา

สามจังหวัดใต้ มีกองกำลังติดอาวุธ..มีการไล่ฆ่าคนพุทธ ..บีบบังคับให้คนพุทธและศาสนาอื่น ออกไปจากดินแดน แบบที่เคยเกิดในยะไข่ไม่ต่างกัน

และที่สำคัญ สามจังหวัดใต้ เริ่มมีแรงกระเพื่อมของความเกลียดชังจากคนในพื้นที่เดียวกันแต่ต่างศาสนา แบบที่ยะไข่เคยเกิดและสุดท้ายถ้ารัฐบาลทำพลาด...เราก็จะบานปลาย!


ทุกอย่างในโลกล้วนมีบทเรียนและหน้าประวัติศาสตร์ก็มักจะเวียนวนกลับมาเสมอ เปลี่ยนเพียงเวลาและตัวละคร ดังนั้น...เรื่องโรฮิงญากับปัญหาชายแดนใต้จึงมีจิ๊กซอว์ที่ไม่ต่างกัน เพียงแต่ภาพที่ต่อสรุปออกมาแล้วจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับ กึ๋นของผู้นำไทย

 


มหาโชว์หนึ่งในแกนนำให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  ภาพ : oknation/metal

 

ถ้าผู้นำไทย..พลาด!   ปลุกฝังให้คนไทยพุทธเกลียดชังคนมุสลิม หรือบ้าจี้ตามองค์กรพุทธไร้เดียงสาที่จะบีบรัฐบาลให้สถาปนาประเทศมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งที่ตัวเองยังขลาดเขลาเรื่องปัญญาและวัตรปฎิบัติกันทั้งพระทั้งโยม ก็ลองนึกเอาแล้วกันว่า แผ่นดินไทยสามจังหวัดใต้จะเป็นอย่างไร

ถ้าชนะ....สามจังหวัดเป็นของไทย มีแต่คนพุทธ มุสลิม(ที่เป็นคนไทยเหมือนกัน) เหล่านั้นจะเป็นเช่นใด 
ถ้าแพ้.... ประเทศรอบด้านที่เป็นชาติมุสลิมก็จะมีเพื่อนบ้านที่เป็นศาสนิกเดียวกันเพิ่มอีกหนึ่งประเทศ!

ดังนั้น..ทางฉลาดที่รัฐบาลต้องเดินต่อคือ เส้นทางแห่งการยอมรับความเป็นพหุเชื้อชาติ ดอกไม้หลายสีในแผ่นดินนั้นย่อมงดงามเสมอ ภายใต้บริบทแห่งการปกครองที่ไม่แบ่งแยก..เขา เรา  เพราะต้นแบบอันประเสริฐที่องค์พระประมุขทรงวางไว้เป็นประชาธิปไตยแล้วคือการดำรงพระองค์ในฐานะ "องค์อัครศาสนูปถัมภก"  คือทรงสนับสนุนและให้การทำนุดูแลทุกศาสนาในประเทศนี้

ทำได้ดังนี้...  จิ๊กซอว์สุดท้ายที่เป็นภาพสลดจะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย   ไม่มีเอ็ง..ไม่มีข้า   มีแต่ "พวกเรา"!

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...