เปิดตำนานโจรสลัด ภาค 2

วิวัฒนาการสำคัญ ของอาชีพโจรสลัด (ฝรั่ง) เริ่มขึ้นสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 นั่นคือการเข้าซบอกนายทุน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพ่อค้าวาณิช ที่ถูกปล้นบ่อยๆ นั่นแหละ นายวาณิชผู้มีวิสัยทัศน์เหล่านี้แปลงวิกฤติ เป็นโอกาสด้วยการลงทุน จ้างโจรไว้เป็นลูกน้องเสียเลย นอกจากจะใช้ป้องกันเรือสินค้าของตนแล้ว ยังใช้ให้ไปปล้นเรือของพ่อค้าคู่แข่ง ให้ล่มจมได้อีกด้วยโจรแบบนี้เรียกว่า คอร์แซร์ (corsairs)

 

คอร์แซร์ที่ดังและดีคือ คอร์แซร์ฝรั่งเศส ซึ่งพุ่งเป้าไปที่เรืออังกฤษเพราะเป็นชาติคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญ แต่หลังๆ ก็มีเลยเถิดไปถึงเรือชาติอื่นๆ ด้วย ยกเว้นเรือฝรั่งเศสเท่านั้น ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาส่วนใหญ่ตกไปถึงมือผู้ว่าจ้าง เหล่าโจรแบ่งไว้เล็กน้อยพอเป็นกำรี้กำไร ดีออกอย่างนี้ นายจ้างย่อมซึ้งนํ้าใจ ช่วยกันล็อบบี้รัฐบาลให้ออกกฎหมาย คุ้มครองเหล่าคอร์แซร์ให้อยู่สุขสบาย มีใบอนุญาตประกอบกิจการปล้นอย่างถูกกฎหมาย เล่นเอาสลัดฝรั่งเศสสบายไปหลายชั่วอายุคน

(กฎหมายนี้เพิ่งเลิกไปเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี่เอง)



คอร์แซร์ที่ดังเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่คือ คอร์แซร์มุสลิม ที่ออกล่า เหยื่ออยู่ตามชายฝั่ง แอฟริกาเหนือ เรียกรวมๆ กันว่า บาร์บารี่คอร์แซร์ เพราะชุมนุม กันอยู่ตามชายฝั่งทะเล ตั้งแต่ชายแดนตะวันตก ของอียิปต์ไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เรียกกันว่าชายฝั่งบาร์บารี่ (barbary Coast)


แหล่งกบดานใหญ่คือ เมืองตูนิสและเมืองแอลเจียร์ นายทุนของพวกบาร์บารี่คอร์แซร์คือ ชนชั้นปกครองของตุรกี ซึ่งจะเรียกส่วนแบ่งอย่างน้อย 10% จากทรัพย์ที่ปล้นมาได้ แค่นั้นก็กำไรบาน เพราะพวกบาร์บารี่คอร์แซร์นี้ชอบปล้นเรือสเปน ที่ขนสมบัติ และทรัพยากรมาจากโลกใหม่ ปล้นทีรวยอู้ฟู่ไปหลายอาทิตย์ บาร์บารี่คอร์แซร์นาม บาร์บาโรสซ่า (Barbarossa แปลว่า อ้ายเคราแดง) มีชื่อที่สุด ด้วยนโยบายใครขวางหน้าฆ่าสถานเดียว จนชาวแอลจีเรียผู้รักสันติทนไม่ได้ ต้องจับมือกับชาติคริสเตียนอย่างฝรั่งเศสเพื่อกำจัดเสีย


เมื่อทรัพยากรของทวีปแอฟริกาเริ่มร่อยหรอลง และโคลัมบัสแกดันแล่นเรือ หลงไปเกยตื้นที่ทวีปอเมริกาเข้า สเปนเลยหันมาขนสมบัติ จากที่นั่นมาอย่างเอิกเกริก ยั่วจมูกโจรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ให้รีบชักใบไปมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลแคริบเบียนกันเป็นแถว ทำเอาทะเลเมดิเตอร์เรเนียนปลอดภัยขึ้นมาทันตาเห็น

พฤติกรรมยึดทวีปของสเปน สร้างความหมั่นไส้แกมกังวล ให้กับยุโรปชาติอื่นเป็น อันมาก เพราะกลัวว่าสเปนจะกลายเป็นมหาอำนาจ เลยเกิดอาชีพโจรสลัดหลวงขึ้น เรียกว่าพวก ไพรเวเทียร์ (Privateers) ซึ่งเป็นคนที่ได้รับการ ว่าจ้างจากรัฐบาลโดยตรง ให้พิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติตน และบ่อนทำลายผลประโยชน์ของชาติศัตรู คือสเปน และอื่นๆ

 

ไพรเวเทียร์คนสำคัญคือ ท่าน เซอร์ฟรานซิส เดรก (Sir Francis Drake) ผู้สร้างเกียรติประวัติว่าเป็นชาวอังกฤษคนแรกที่แล่นเรือรอบโลกได้สำเร็จ นอกจากเดินเรือเก่งแล้วยังปล้นทั้งเมืองท่า ทั้งเรือสเปน ที่แล่นอยู่แถวทะเลปานามา รวมเฉพาะเรือก็ร้อยกว่าลำเข้าไปแล้ว ทักษะทั้งสองนี้ช่วยให้เดรกเป็นบุรุษผู้มั่งคั่งที่สุดของอังกฤษ และอัศวินคนโปรดของควีนเอลิซาเบธที่ 1 ยุคของเดรกถือเป็นยุคทองของโจรเมืองผู้ดี แม้เป้าหมายหลักจะเป็นเรือสเปน แต่หากเรือของชาติอื่นที่มีของมีค่าน่าปล้นก็ไม่รังเกียจ แย่งส่วนแบ่งตลาดของโจรฝรั่งเศสไปได้โข จนนักประวัติ-ศาสตร์ฝรั่งเศสคนหนึ่งถึงกับบันทึกไว้อย่างหมั่นไส้ว่า

"ไม่มีใครเป็นโจรสลัด ได้ดีเท่าอังกฤษ"


ปี ค.ศ.1604 กษัตริย์ เจมส์ที่ 2 ซึ่ง ไม่ค่อยชอบนโยบายไพรเวเทียร์สักเท่าไร แอบไปเซ็นสัญญาสันติภาพกับสเปน ยังผลให้สลัดอังกฤษทั้งหลาย กลายเป็นโจรนอกกฎหมายไปโดยไม่รู้ตัว บ้างก็กลับมารับราชการเป็นทหาร ที่ไม่ถูกกับชีวิตเรียบง่าย ก็ออกไปเป็นโจรสลัด (Pirates) จริงๆ จะได้ปล้น โดยไม่ต้องนับญาติกันเหมือนก่อน บ้างก็กลายเป็นพวก บัคคาเนียร์ (Buccaneers) ซึ่งเป็นคำเรียกบุรุษทั้งสุภาพ และไม่สุภาพสัญชาติอังกฤษ ดัตช์ หรือฝรั่งเศสผู้ได้รับการสนับสนุน จากรัฐบาลของตนให้ปล้นสะดมเรือ และเมืองท่าของสเปน

 

"บัคคาเนียร์" มาจากคำว่า "เนื้อแห้ง" ในภาษาฝรั่งเศส คงเนื่องมาจากชีวิตในเรือ ที่ไม่ค่อยมีอะไรกิน บัคคาเนียร์ส่วนใหญ่เป็นคนใช้หนีนาย ทหารเก่า ผู้ใช้แรงงาน และชายชาตรีผู้รักการผจญภัย นายโจรเหล่านี้ไม่ได้ถูกว่าจ้างเป็นหลักเป็นฐาน แต่ทุกครั้งที่ทำความเสียหายให้กับสเปนได้ก็จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินทอง หรือตำแหน่งทางการเมือง

แหล่งชุมนุมแรกของเหล่าบัคคาเนียร์คือ เกาะตอร์ตูก้า (นอกชายฝั่งไฮติในปัจจุบัน)  ต่อมาจึงย้ายไปที่จาเมกา บัคคาเนียร์ที่โด่งดังก็มี เซอร์เฮนรี่ มอร์แกน มีชื่อเสียงทางด้านการบุกเข้ายึดเมืองท่าสเปนแถวปานามา จาเมกาและคอสตาริกา ยึดได้แล้วก็ฆ่าเจ้าเมือง เก็บทรัพย์ แล้วเผาให้ราบ เมืองสำคัญที่เจอแบบนี้คือปานามาซิตี้ ซึ่งนอกจากจะทำให้มอร์แกนรวยกว่าเดิมทันตาเห็นแล้วยังได้ บรรดาศักดิ์เป็นอัศวิน แถมตำแหน่งเจ้าเมืองจาเมกาอีกต่างหาก


โจรสลัดนอกกฎหมายที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้มีอยู่หลายคน ที่ดังที่สุดคงเป็น กัปตันคิดด์ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีฝีมือ ในการปล้นอะไรสักเท่าไหร่ แถมปกครองคนก็ไม่เก่ง เจอลูกน้องปฏิวัติประจำ แต่ก่อนถูกแขวนคอดันส่งจดหมาย ไปยังโฆษกสภาผู้แทนของอังกฤษ ขออิสรภาพแลกกับการเปิดเผย ที่ซ่อนทรัพย์สมบัติ ท่านโฆษกฯไม่เล่นด้วย และคิดด์ก็ถูกแขวนคอตาย ไปตามกำหนด

แต่คนรุ่นหลังๆ ลงทุนลงแรง ตามหาสมบัติกัปตันคิดด์กันจ้าละหวั่น จนสมบัติตัวเองเกลี้ยงไปหลายคนก็ยังไม่มีใครเคยได้เจอ อีกคนคือ อ้ายเคราดำ (Balckbeard) ผู้ดังเพราะความโหดเหี้ยม ส่วนสาวๆ ที่สร้างชื่อในทางนี้ก็คือ แอน บอนนี่ และ แมรี่ รี้ด คู่หูคู่ปล้นที่เล่าลือกันว่าเหี้ยมเกรียมกว่าผู้ชายหลายเท่า

แม้ว่าโจรสลัดแบบที่เห็นในหนัง จะหมดไปตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เนื่องจากวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีช่วยให้การสื่อสาร การเดินทางและการค้าเป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องรอนแรมในเรือนานๆเหมือนเมื่อก่อน แต่โจรสลัดก็ยังมีอยู่ในปัจจุบัน เรายังมีสลัดอากาศมายึดเครื่องบินให้หวาดเสียวเล่น การเข้าโจมตีเรือเพื่อปล้นทรัพย์ หรือจับคนไปเรียกค่าไถ่ ก็ยังมีอยู่ในทะเลทั่วโลก


นิตยสารไทม์ยังเคยสรุปไว้ในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ.2540) ว่า สลัดแขกอาระเบียน มีอาวุธทันสมัยที่สุด ส่วนสลัดแอฟริกันตะวันตกยังเชื่อถือมีด และเรือแคนูขุดเองอยู่ ส่วนทางตะวันออกโจรสลัด มักเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรม.

9 พ.ค. 53 เวลา 09:09 3,373 2 838
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...