10 สุดยอด รถมอเตอร์ไซค์ !!!

10 สุดยอด รถมอเตอร์ไซต์

นี่คือรถจักรยานยนต์ทั้ง 10 คันจาก 9 บริษัทผู้ผลิตที่ได้รับการโหวตว่าพวกมันคือสุดยอดตลอดกาลของโลกแห่งรถสองล้อติดเครื่องยนต์...

จักรยานยนต์สองล้อ เป็นพาหนะในการเดินทางที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้มานานกว่า 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของการประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อการเคลื่อนที่ของมนุษย์มาจนถึงยุคปัจจุบัน รถมอเตอร์ไซค์ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของผู้คนที่ต้องการพาหนะในการเดินทางที่มีราคาไม่แพง เล็กกระทัดรัด ประหยัดเชื้อเพลิง และบำรุงรักษาได้ง่ายกว่ารถยนต์ กาลเวลาได้เดินทางมาจนถึงยุคที่รถจักรยานยนต์กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คน จากรถมอเตอร์ไซค์ราคาถูกเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วไปจนถึงของเล่นราคาแพงของเหล่าเศรษฐีคนมีตังค์ และนี่คือรถสองล้อติดเครื่องยนต์ทั้ง 10 คันในแต่ละยุคสมัย ที่มีความยอดเยี่ยมจนได้รับการบันทึกเอาไว้ว่า มันคือรถจักรยานยนต์ที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น

Harley Davidson Knucklehead 1935


อันดับที่10
Harley Davidson ทำให้วงการรถมอเตอร์ไซค์ต้องตะลึง เมื่อทำการเปิดตัว EL 61 หรือที่รู้จักกันในนาม Knucklehead เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของระบบวาล์วแบบใหม่ล่าสุดในยุคนั้น นักเลงมอเตอร์ไซค์ต่างพากันประทับใจ ในขณะที่เครื่องยนต์ Side-Valve คือเครื่องยนต์ที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานแบบ Big V-Twins ซึ่งต่อมากลายเป็นสไตล์ของรถจักรยานยนต์จาก Harleys Davidson รถมอเตอร์ไซค์ Knucklehead มีการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม พลังของเครื่องยนต์เหนือกว่า และความสวยงามของรูปทรง ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจนขึ้นสู่ทำเนียบจักรยานยนต์คลาสสิกของโลก เครื่องยนต์โอเวอร์เฮตวาว์ลให้พลัง 40 แรงม้าที่ 4,800 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Moto Guzzi V8 1955


อันดับที่9
รถจักรยานยนต์แบบแข่งขันในยุค 1950 ของยุโรปจากบริษัท Moto Guzzi แห่งประเทศอิตาลี ได้จับเอาจินตนาการในการออกแบบจากสนามแข่ง เพื่อให้มันสามารถทำความเร็วทั้งทางตรงและทางโค้งในสนามแข่งขันของรายการมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก ในยุค 50 Moto Guzzi V8 เป็นรถแข่งทางเรียบที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซี.ซี. ซึ่งสร้างพละกำลังได้อย่างเหลือเชื่อโดยเกิดจากมันสมองอันอัจฉริยะของวิศวกรชาวอิตาเลียนชื่อ Guiliano Carcanoในช่วงปี ค.ศ. 1955-1957 รถมอเตอร์ไซค์ MotoGuzzi V8 ถูกพัฒนาจนสามารถทำลายสถิติจากการแข่งขันรถจักรยานยนต์ในรุ่น GP ในปี ค.ศ. 1957 และคว้าตำแหน่งชนะเลิศโดยมีความเหนือกว่าทั้งเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ และแรงม้าที่มีมากกว่ารถจักรยานยนต์จากผู้ผลิตรายอื่น เช่นเยอรมัน, อังกฤษ และรถเพื่อนร่วมชาติร่วมสายพันธุ์อย่างอิตาลี การแข่งขันในครั้งนั้น เครื่องยนต์ V8 500 ซี.ซี. ขนาดเล็กของมัน ก็สามารถบรรลุความเร็วอันน่าขนหัวลุกที่ 187 ไมล์ต่อชั่วโมง ในรอบเครื่องยนต์ที่สูงถึง 12,500 รอบต่อนาที บนน้ำหนักของตัวรถทั้งคันที่หนักแค่ 135 กิโลกรัมเท่านั้น การออกแบบระบบจ่ายเชื้อเพลิงพิเศษสำหรับเครื่องยนต์ โดยใช้คาร์บูเรเตอร์ของ Dell'Orto ในจำนวนถึง 4 ตัว ทำให้การป้อนเชื้อเพลิงและอากาศปริมาณมากๆ เข้าสู่เครื่องยนต์ แล้วกลั่นออกมาเป็นแรงม้า และแรงบิดอันท่วมท้น มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือชัยชนะในสนามแข่งขัน

Vespa 1946-2010


อันดับที่8
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และประเทศอิตาลีอยู่ในสถานะแพ้สงคราม บริษัท Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือ และชิ้นส่วนของเครื่องบินรบในกองทัพ ต้องหันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายๆ เพื่อความอยู่รอด จึงหันมาผลิตเครื่องยนต์ขนาดเล็กของรถจักรยานยนต์ และเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะคันเล็กๆ เอาไว้เดินทางขนส่งในอิตาลี ซึ่งมีถนนหนทางในเมืองใหญ่ ที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยเล็กๆ ด้วยการใช้เศษซากอลูมิเนียมจากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มาขึ้นรูปจนออกมาเป็นสกู๊ตเตอร์ หรือรถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำ (ล้อของรถVespaในยุคแรกเริ่ม ยังคงใช้ล้อหลังของเครื่องบินที่ถูกนำมาดัดแปลง แล้วติดตั้งเข้าไป) ช่วยในการขับขี่ ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน และมีราคาขายไม่แพงจนเกินไป เดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่เน้นความสะดวกสบาย มีล้ออะไหล่พร้อมยางที่ติดตั้งอยู่ด้านหลัง การออกแบบเพื่อให้ขับขี่ได้ง่าย เสียงของเครื่องยนต์ดังคล้ายกับฝูงตัวต่อที่กำลังบิน มันจึงถูกตั้งชื่อว่า Vespa ซึ่งแปลว่า "ตัวต่อ" ในภาษาอิตาเลี่ยนนั่นเอง รุ่นแรกของมอเตอร์ไซค์ Vespa เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็ก ที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียว หลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คัน จึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ตามออกมา รถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามาก ทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาด จนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 ซี.ซี. ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 ซี.ซี. 150 ซี.ซี. และ 200 ซี.ซี. ตามลำดับ

Brough Superior SS 8 1925


อันดับที่7
นี่คือรถจักรยานยนต์คุณภาพสูงจากความคิดในการสร้างสรรค์ของชายชาวอังกฤษชื่อ George Brough ซึ่งทำหน้าที่วิศวกรของโรงงานผลิตเครื่องจักร์กล เช่น รถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ในเมือง Nottingham ประเทศอังกฤษ ในช่วงปีค.ศ. 1919-1940 รถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 ถูกเปรียบเทียบว่ามันคือ Rolls-Royce ในโลกของมอเตอร์ไซค์สองล้อโดยนิตยสารรถจักรยานยนต์ชั้นนำในยุโรป รถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 ถูกผลิตเพียง 3,048 คัน ใน 19 แบบ จากช่วงเวลาของอายุไขในการผลิต 21 ปี George Brough เป็นทั้งนักแข่ง วิศวกร และนักออกแบบ ทำให้การสร้างรถจักรยานยนต์ Brough Superior มีประสิทธิภาพและคุณภาพที่เหนือกว่ารถจักรยานยนต์อื่นๆ ในยุค 1920-1940 การประกอบรถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 แต่ละคันมีความละเอียดปราณีตสูงมาก จนสามารถเทียบได้กับการประกอบรถยนต์ของบริษัท Rolls-Royce เลยทีเดียว ชิ้นส่วนทุกชิ้น สำหรับองค์ประกอบทั้งหมดของตัวรถ จะถูกสร้างขึ้นตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามที่ต้องการ แล้วลงมือประกอบทีละส่วนจนเสร็จ มอเตอร์ไซค์ Brough Superior SS 8 ทุกคัน จะถูกทดสอบอีกหลายครั้ง หลังจากขั้นตอนในการผลิตและทดสอบเสร็จสิ้นลง มันจะถูกประทับตราโดยใช้ชื่อของ George Brough เพื่อการรับประกัน ตัวรถสามารถทำความเร็วได้กว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความเร็วประมาณ 90 ไมล์ต่อชั่วโมง ผู้ขับขี่สามารถปล่อยมือจากคันบังคับได้อย่างสบาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสถียรของตัวรถ และทำให้มันกลายเป็นรถจักรยานยนต์ที่แพงที่สุดในยุค 1920-1930 ในปัจจุบันนี้ รถมอเตอร์ไซค์ Brough Superior SS 8 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 40,000 เหรียญ และขึ้นสู่ทำเนียบจักรยานยนต์คลาสสิกตลอดกาล ทั้งจากสมถรรนะและความหายากของมัน

Britten V1000 1995


อันดับที่ 6
Britten คือรถจักรยานยนต์ที่เกิดจากความฝันและแรงบันดาลใจของ John Britten ชายชาวอเมริกันผู้ซึ่งรักความเร็วและการแข่งขันจักรยานยนต์เป็นชีวิตจิตใจ John Britten มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อสร้างเอกลักษณ์และสมถรรนะอันสุดยอดของรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขัน และทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกแห่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตสองล้อ รถ V1000 เป็นชัยชนะของความเฉลียวฉลาด และความเพียรในการคิดค้นออกแบบ และสร้างสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อใช้ในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก Britten V1000 คือแบบอย่างทางวิศวกรรมขั้นสูง แต่ใช้ทุนวิจัยไม่มากเท่ากับรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันของทีมแข่งจากค่ายผู้ผลิตอื่นๆ ทั้งญี่ปุ่นและอิตาลี ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณในการพัฒนามากกว่าหลายเท่า กระบวนการผลิตรถ Britten V1000 เกิดขึ้นในบริเวณสวนหลังบ้านของ John Birtten เอง ซึ่งดัดแปลงเป็นโรงงานขนาดเล็ก เฟรมตัวถังใช้วัสดุประเภทคาร์บอนคอมโพสิตน้ำหนักเบา แขนอามส์หลังแบบเดี่ยวขนาดใหญ่ทำจากเคฟล่า เครื่องยนต์สี่จังหวะปริมาตรความจุ 985 ซี.ซี. วางทำมุม 60 องศาแบบ V-Twin 155 แรงม้า บนน้ำหนักตัวที่เบาหวิวเพียง 145 กิโลกรัม หลังจากประสบความสำเร็จในสนามแข่งทั่วสหรัฐอเมริกา John Britten วิศวกรเจ้าของแนวคิด เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในปี 1995 ด้วยวัยเพียง 45 ปี คงเหลือทิ้งไว้แต่เพียงตัวรถต้นแบบ ที่ต่อมาทีมรถแข่งชั้นนำทั่วโลก นำเอาแบบอย่างของมันมาใช้จนถึงทุกวันนี้

Triumph Bonneville 1959


อันดับที่5
นี่คือมอเตอร์ไซค์สุดคลาสสิกในยุค 1960 ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จากประสิทธิภาพ รูปแบบ และพลัง การออกแบบที่คำนึงถึงการขับขี่ และความเชื่อมโยงระหว่างนักบิดและตัวรถ ที่สอดประสานกันเป็นอย่างดี เมื่อติดเครื่องยนต์ขนาด 650 ซี.ซี. รถ Triumph Bonneville จะสั่นสะท้านเป็นเจ้าเข้าทรงทั้งคัน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการประกอบตัวรถจากโรงงาน แต่เกิดจากพลังของเครื่องยนต์ และการคำนวนรูปแบบของเฟรมที่ยึดเครื่องยนต์และตัวถังเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้มันมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เครื่องยนต์สี่จังหวะ 3 สูบ 46 แรงม้า ที่เร่งความเร็วได้ถึง 115 ไมล์ต่อชั่วโมง ความแข็งแกร่งทนทาน บวกกับพละกำลังและรูปทรงที่งดงามของจักรยานยนต์ในสไตล์อังกฤษ ทำให้รถ Bonneville ทุกรุ่นทุกคัน ยังคงได้รับความนิยมชมชอบจนถึงทุกวันนี้

Y2K Jet Engine 2008


อันดับที่ 4
รถมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ Turbo Jet คันนี้ เป็นของเล่นราคาสุดแพงของเศรษฐีบ้าพลัง มีต้นกำเนิดของกำลังเป็นเครื่องยนต์ Rolls-Royce Allison Gas Turbine Turboshaft 500P ที่ติดตั้งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ของทหาร ทำให้มันเป็นรถจักรยานยนต์ล้อสองคันแรกของโลก ที่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนแบบกังหันไอพ่น Y2K Jet Engine สร้างโดยวิศวกรเครื่องกลชื่อ Ted McIntyre แห่งบริษัท Marine Turbine Technologies Inc รถจักรยานยนต์สุดระห่ำคันนี้มีความเร็วสูงสุด ซึ่งถูกบันทึกในสถิติโลกที่ 227 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 365 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีป้ายบอกราคาเป็นตัวเลขที่แพงระยับถึง 150,000 US $ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่ามันคือ "รถจักรยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพและแพงที่สุดคันหนึ่งของโลก" โดยการใช้เครื่องยนต์และเฟรมแตกต่างจากรถจักรยานยนต์คันอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง การขับขี่และควบคุมตัวรถเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกำลังที่เกิดจากเครื่องยนต์ สามารถผลักดันตัวรถจนขึ้นถึงจุดสูงสุดของความเร็วจนแทบจะควบคุมไม่ได้ ท่อท้ายปลดปล่อยก๊าซร้อนที่เกิดจากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงถึง 900 องศาเซลเซียส และอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปสู่ความเร็วสูงสุดเพียงชั่วพริบตา คงมีแต่พวกสติไม่ค่อยดีและพวกบ้าความเร็วเท่านั้น ที่จะยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เพื่อแลกกับความบ้าที่ไม่เหมือนใคร อย่างรถมอเตอร์ไซค์ Y2K เจ้าวัตถุอันตรายติดเครื่องยนต์เจ็ท ที่วิ่งได้ดีเยี่ยม และทำความเร็วทางตรงได้อย่างไม่มีที่ติ แต่ไม่สามารถเลี้ยวมันที่ความเร็วสูงๆ เนื่องจากอาจเกิดการพลิกคว่ำอย่างรุนแรงได้

Honda CB750 1969


อันดับที่ 3
Honda บริษัทของญี่ปุ่น นำรถจักรยานยนต์รุ่น CB ไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปในปี 1969 หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ที่ทำยอดขายถล่มทลายไปทั่วโลก วิศวกรของ Honda ได้ทำการพัฒนารูปแบบและสมรรถนะของเครื่องยนต์ขนาด 4 กระบอกสูบ ปริมาตรความจุ 750 ซี.ซี. โดยกำหนดคุณสมบัติของเครื่องยนต์ให้มีความแข็งแกร่งทนทาน ให้พลังสูงสุดที่ 67 แรงม้า บริษัท Honda วางแผนที่จะเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ ให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโลก ในด้านคุณภาพและปริมาณ เพื่อทำให้แบรนด์มีคุณภาพ และเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพเทียบเท่ากับค่ายรถจักรยานยนต์ชั้นนำอย่าง Triumph, BMW, และ Harley เพื่อเป็นพื้นฐานในการออกแบบมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ขับขี่ในทุกระดับชั้น รถ Honda CB 750 1969 เชื่อมโยงรูปแบบของจักรยานยนต์ที่สวยงามกับงานของตัวรถแข่งในแบบ Grand Prix

นอกจากนี้ตำแหน่งมือจับจะยกขึ้นเล็กน้อย และการเน้นไปที่เรื่องของ Dynamic เพื่อการขับขี่ทางไกล ผลผลิตของรถมอเตอร์ไซค์ Honda CB750 คืองานทางเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อให้มันมีปริมาณการผลิตที่ครอบคลุมการจำหน่ายไปยังตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลก และการบำรุงรักษาที่ง่ายดายสำหรับเจ้าของ เนื่องจากความทนทานของเครื่องยนต์ 750 ซี.ซี. สี่ลูกสูบเรียง ถูกออกแบบให้มีความสมดุลย์ในระหว่างการทำงานทุกช่วงรอบของเครื่อง อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 7 วินาที มีความทนทานแข็งแกร่ง สามารถใช้งานได้นานถึง 100,000 กิโลเมตร โดยแทบไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเพิ่มเติมมากนัก ทำให้มันกลายเป็นผู้นำของรถจักรยานยนต์ในยุค 1970 ไปโดยปริยาย

Ducati 916 1995


อันดับที่ 2
Ducati 916 เป็นรถจักรยานยนต์อิตาลี ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลัก คือการเข้าร่วมทำการแข่งขันในสนามแข่งมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์ ชิงแชมป์โลก การพัฒนารถจักรยานยนต์ในตระกูล Racing ของค่าย Ducati นำไปสู่การพัฒนาเครื่องยนต์สี่วาล์ว Fabio Taglioni (1920-2001) หัวหน้าแผนกทีมดีไซน์ ผู้ออกแบบตัวรถ Ducati ตั้งแต่ยุค 1970 ใช้เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงและพัตนาในรุ่น SuperSport (SS) หลังจากผ่านการใช้งานในสนามแข่ง เครื่องยนต์ Ducati 916 อันทันสมัย ก็กลายเป็นอนุพันธ์ของรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขันแทบทั้งสิ้น ชุดแคมชาร์ปแบบใหม่ ลิ้น และทางเดินของอากาศ ปรับปรุงระบบสปริงวาล์ว Ducati 916 เริ่มต้นเปิดเผยโฉมในปี 1994 และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอันมาก เพราะการออกแบบ และคุณลักษณะทางเทคนิคที่โดดเด่น Massimo Tamburini และ Sergio Robbiano ทีมงานออกแบบเฟรมและวิศวกรพัฒนาเครื่องยนต์ของ Ducati 916 โดยใช้โรงงานของ Cagiva และศูนย์วิจัยเครื่องยนต์ในซานมารีโน โดยโครงสร้างและเครื่องยนต์ของ 916 ได้รับการปรับปรุงจนตัวรถขึ้นสู่สมถรรนะสูงสุด Ducati 916 ใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะ วางทำมุม 90 องศาแบบ L-Twin Cylinder ความจุ 996 ซี.ซี. ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮตแคมสี่วาล์วต่อสูบระบายความร้อนด้วยน้ำ สร้างพละกำลังได้ 144 แรงม้าที่ 12,000 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนน้ำหนักตัวรถ 157 กิโลกรัม สามารถคว้าชัยชนะให้กับทีมแข่งมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน

Honda C50 Cub 1958


อันดับที่ 1
รถจักรยานยนต์ Honda Cup เป็นรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กเครื่องยนต์ 50 ซี.ซี. มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยโครงสร้างของตัวรถที่ต่ำ ทำให้การก้าวขึ้นและลงจากรถได้อย่างสะดวกสบาย รวมทั้งขับขี่ง่าย โดยไม่ต้องควบคุมคลัทช์ด้วยการติดตั้งระบบคลัทช์อัตโนมัติ แบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (centrifugalclutch) นอกจากนั้นยังติดตั้งบังลมพลาสติกขนาดเหมาะกับตัวรถ เพื่อป้องกันแรงลมและการกระเด็นของสิ่งสกปรกในขณะขับขี่ รวมถึงตระกร้าใส่ของใบเล็กด้านหน้าของตัวรถ รถจักรยานยนต์ตระกูล Cup ของ Honda เปิดตัวเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1958 ปัจจุบันรถจักรยานยนต์รุ่นนี้มียอดจำหน่ายทั่วโลกมากถึงกว่า 60 ล้านคัน แสดงให้เห็นถึงความนิยมและความยอดเยี่ยม คุ้มค่าสมราคากับสมถรรนะของตัวรถแบบง่ายๆ แต่มีความคงทนถาวร ระบบต่างๆ ของตัวรถถูกออกแบบให้มีความง่ายในการบำรุงรักษา กลไกของเครื่องยนต์และระบบเกียร์ รวมถึงระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ สามารถใช้งานได้ในทุกพื้นที่ของโลก ค่าย Honda ได้ค้นพบวิธีเพิ่มพลังและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ด้วยการเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (RPM) ให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย Honda C50 Cup มีเครื่องยนต์สี่จังหวะ 50 ซี.ซี. โอเวอร์เฮตแคมชาร์ป 4.8 แรงม้า มีความเร็วสูงสุดแบบแม่บ้านจ่ายกับข้าวที่ 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้มันกลายเป็นอันดับหนึ่งในประเภทรถจักรยานยนต์ที่มีผู้นิยมชมชอบมากที่สุดในโลก

ข้อมูลอ้างอิงจาก
Discovery Channel

arcom roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Photo By
www.wikipedia.org

8 พ.ค. 53 เวลา 14:53 12,336 8 108
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...