แม่พระธรณี พระแม่ธรณี เป็นใคร?

 

 

 

 

 

 



แม่พระธรณี พระแม่ธรณี เป็นใคร? 
การสัมผัส แม่พระธรณี ย่อมเป็นการแสดงออกที่เป็นมงคล และถือเป็นภาพที่ก่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจแก่คนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบเขาอยู่ก่อนแล้วก็ตาม

 ในทางพุทธศาสนานั้น กิริยาที่อ่อนน้อม เป็นการแสดงออกในการละคลายตัวตน อันเป็นบันไดขั้นแรกในการพัฒนาตน แม้เราผู้เสพข่าวก็รู้สึกโมทนาบุญในใจ เราก็ได้บุญ


แม่พระธรณี คือ เทพแห่งแผ่นดิน

การก้มกราบแผ่นดินไทย ตามธรรมเนียบปฏิบัตินั้น จะกราบทันทีที่ก้าวลงมาสัมผัสพื้นแผ่นดินไทย เช่น กรณีรัฐบาลพม่านิรโทษกรรมคนไทย ๓๓ คน เนื่องในงานเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บางคนตื้นตันใจโดยเมื่อลงจากเครื่องบินแล้วก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทยทันที

 ส่วนการก้มกราบแผ่นดิน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ คือ กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านการเจรจา เอฟทีเอ ทำพิธีกราบแผ่นดิน โดยจะเดิน ๕ ก้าว แล้วก้มกราบพื้นไปตลอดทางเดินไปคัดค้านการเจรจา เอฟทีเอ ที่โรงแรมเชอราตัน เชียงใหม่


พระแม่ธรณีบีบมวยผม
 

 ไม่ว่าใครจะก้มกราบแผ่นดินด้วยเหตุใดก็ตาม คติความเชื่อเรื่องการก้มกราบแผ่นดิน หรือ การบูชา แม่พระธรณี นั้น อยู่กับมนุษย์อุษาคเนย์ไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว โดยเฉพาะในอินเดีย มีมาก่อนพุทธศาสนา ในสมัยนั้น จะนับถือผีเป็นหลัก ผีสำคัญยุคแรกๆ คือ ผีน้ำและผีดิน ที่ต่อมาเรียกชื่อด้วยคำยกย่องว่า แม่พระคงคา กับ แม่พระธรณี

ประวัติ พระแม่ธรณีบีบมวยผม ในขณะที่ชาวไทยสมัยโบราณบูชา แม่พระธรณี เพื่อให้แผ่นดินมีความสงบสุข และร่มเย็น เพราะว่า แม่พระธรณี คือ "เทพผู้คุ้มครองแผ่นดิน"


ก้มกราบแผ่นดิน หรือ การบูชา แม่พระธรณี 
 

 มาถึงยุคปัจจุบัน แม่พระธรณียังได้รับการนับถืออยู่ โดยเฉพาะในหมู่ของผู้ค้าที่ดินจะเชื่อว่า อยากเป็นเศรษฐีที่นา อยากเป็นราชาที่ดิน อยากมีที่ทำกินอยู่อาศัย ต้องบูชาพระแม่ธรณีบีบมวยผม 


ประวัติแม่พระธรณี หรือ พระแม่ธรณี

ประวัติพระแม่ธรณี อ.ราม วัชรประดิษฐ์ อาจารย์ประจำสาขาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก นักโบราณคดี อธิบายให้ฟังว่า พระธรณี หรือ เทพแห่งแผ่นดิน ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่า พระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์  องค์หนึ่งคือ พระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี

 พระแม่ธรณี ในคติพราหมณ์ พบเพียงว่า เป็นชายาของพระธุรวะ หรือดาวเหนือ คติความเชื่อเรื่องพระแม่ธรณีได้เผยแพร่มาจากอินเดียสู่ไทย เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่า เป็นเพศหญิง


การบูชาพระแม่ธรณี
 

 นอกจากนี้ ในพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีการก่อนไปจับช้าง ก็มีการกล่าวบูชาพระแม่ธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับแม่พระธรณีในไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก

 ขณะเดียวกัน ยังมีชื่อแม่พระธรณีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น นางพระธรณี พระแม่สุนธราพสุธา ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน คือ ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า แม่พระธรณี บ้าง พระแม่ธรณี บ้าง ตามความนิยม

 รูปลักษณะที่เป็นจิตรกรรมของแม่พระธรณีนั้น เป็นเทวดาผู้หญิง ที่มีสรีระรูปร่างใหญ่ หากแต่อ่อนช้อย งดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวย สีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสาย คือ สีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจ งวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือกเย็น ไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละไมอยู่เสมอ

 ภาพเขียนรูปพระแม่ธรณี ที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือ ภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถ วัดชมภูเวก อ.เมือง จ.นนทบุรี  

 ส่วนรูปลักษณะปฏิมากรรมนั้น แม่พระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่ จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย  บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือ มวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผม แสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น

 ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัสตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น

 อ.ราม ยังบอกด้วยว่า การสร้างรูปเคารพของพระแม่ธรณี เท่าที่สามารถสอบทานของไทยเรา พบตำราเก่าแก่สมัยอยุธยา บันทึกเรื่องราวการจัดสร้างนางเทพเทวาที่เป็นรูปแบบแม่ธรณีขึ้นบูชาเพื่อการอำนวยผลทางความมั่นคงและป้องกันสิ่งเลวร้าย  ตำรานี้บอกเล่าต่อกันมาว่า ยังเก็บรักษาอยู่ที่ วัดคฤหบดี กรุงเทพฯ

 ในด้านภาคอีสาน ก็มีวิชาเฉพาะที่เกี่ยวกับแม่พระธรณีหลายอย่าง เช่น ตะกรุดหัวใจพสุธา ในสายสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ แม้ในพิธีเบิกโขลนออกจับช้าง ก็ยังมีมนต์ที่กล่าวอ้างถึงแม่พระธรณี เช่น “โอมเผนิกเบิกแนกแยกพระกำกวมงวม พระธรณี ทางเส้นนี้ก็เคยล่วงปล่อยทางนี้ เคยเที่ยว โอมสวาหุโนนะโมตัสสะ”

 ทางภาคเหนือ ก็มีพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่พระธรณีอยู่หลากหลาย และที่นับถือเป็นประเพณี เช่น พิธีบนนางธรณี

 นอกจากนี้แล้ว ยังมีคติความเชื่อด้วยว่า ในการรบทัพจับศึกในสมัยก่อน ก็มีพิธีกรรมหยิบดินที่เหยียบอยู่กลั้นใจว่า “แม่พระธรณีเอ๋ย อยู่หรือยัง สังขาตังโลกะวิทู” แล้วโปรยบนศีรษะ เชื่อว่าจะพ้นภยันตรายทั้งปวง เพราะมีพระธรณีรักษาอยู่

 ประเพณีนี้สืบต่อมาถึงการชกมวยในสมัยก่อน ที่ต้องหยิบดินมา “อาพัดธรณี” ในการเอาชนะคู่แข่งขัน  ซึ่งบางท่านที่ไม่เคยได้ศึกษาเรื่องความเชื่อโบราณ มักตีขลุมเอาว่า ที่ทำเช่นนั้นเป็นการดูว่า ดินที่เวทีนั้นอ่อนหรือแข็ง จะได้คะเนไม้มวยเอาชนะคู่ต่อสู้ได้  อันนี้ก็แล้วแต่จะมีมติว่ากันไป แต่โบราณท่านเชื่อในคุณของแม่พระธรณีนี้ อย่างจริงจังมั่นคง
 

คาถาบูชาพระแม่ธรณี การบูชาแม่พระธรณี
สำหรับวิธีอาราธนา หรือ การบูชาแม่พระธรณี อ.ราม บอกว่า มีหลายตำรา เช่น ให้ตั้งนะโม ๓ จบ ว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วว่า “อิติปิโสภะคะวาสะวาอะระหัง สุคะโตสวาหะ” ๓ จบ หลังจากนั้นสวดด้วย “ตัสสาเกษีสะโต ยะถาคงคา โสตังปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสักโภนโต ปะลายิงสุปาริมานานุภาเวนะมาระ เสนาปะราชิตาทิโส ทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติอะเสสะโต” อย่างน้อย ๓ จบ แต่ถ้าจะให้ดี ๒๑ จบ เพราะกำลังของแม่พระธรณี คือ ๒๑

  คาถาทั้งสองบทนี้ ใช้ได้ตามอธิษฐาน ทำน้ำมนต์แก้คุณเสนียดได้ผลดียิ่ง หากมีศัตรูให้เขียนชื่อนำพระแม่ธรณีทับไว้ อธิษฐานให้อภัยต่อกัน สวดคาถานี้ทำครบ ๗ วัน ฝ่ายตรงข้ามจะแพ้ภัยตัวเองไป แต่อย่าจองเวรเขาเลย จึงจะมีผล

 เวลาเดินทางให้อธิษฐานพระนางธรณีไปจะพ้นภัยทั้งปวง เวลามีเหตุให้นึกถึงแม่พระธรณีแล้วภาวนาว่า “สะนะมะอุ” ไปเรื่อย ๆ จะทรงอานุภาพผ่านพ้นภยันตรายนั้นไปได้เป็นอัศจรรย์

แม่พระธรณีในพุทธประวัติ พระธรณี เป็นเทพมารดาแห่งโลก เพราะเป็นผู้ที่มีคุณต่อสรรพชีวิตบนโลกนี้ ที่ต้องอาศัยคุณของแม่พระธรณี ในศาสตร์ทางจิตเกือบทั่วทุกมุมโลก ล้วนคำนึงถึงพลังจากปฐพีนี้เสมอมา แม้ในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยหลักการและเหตุผล ก็ยังกล่าวอ้างถึงดังปรากฏในปฐมสมโพธิญาณ ภาพพุทธประวัติตอนที่ แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พญามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี

 เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียร เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ผจญกับเหล่าพวกพญามารทั้งหลาย พญามารได้ออกอุบายต่างๆ นานา เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเกิดกิเลสตัณหา แต่พระพุทธองค์ทรงไม่ยินดี ยินร้ายต่อพวกเหล่ามาร  ในครั้งนั้น พระแม่ธรณี ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ปราบเหล่าพญามาร โดยทรงบีบมวยผมให้น้ำไหลออกมาท่วมพวกพญามารทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไป

 สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง เพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า "โพธิบังลังก์ " พระยามารกล่าวตู่ว่า เป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

 ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้... ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานพระมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า "ทักษิโณทก" อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้ง ที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อน เป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร... หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคีรีเมขลชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวัสดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พญามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด 


5 มิ.ย. 56 เวลา 08:34 5,651 80
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...