แม้ว่าจะมีการปราบปรามขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและสามารถจับกุมได้อย่างต่อเนื่อง แต่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนได้ปรับเปลี่ยนวิธีในการลักลอบนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาขายในประเทศ ซึ่งในวันนี้กรมศุลกากรได้มีปฏิบัติการ เพื่อกวาดล้างขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนทางภาคใต้ 

ทันทีที่ชุดปฏิบัติการ ศุลกากร ได้รับหมายค้นจากศาลจังหวัดสงขลา ก็ลงพื้นที่ที่เป็นแหล่งเก็บน้ำมันเถื่อน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ได้รับการร้องเรียน ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง

ชุดปฏิบัติการปราบปรามและสกัดกั้นสินค้าหนีภาษีภาคใต้กว่า 70 นาย วางแผนเพื่อเข้าตรวจค้นโรงเก็บน้ำมันต้องสงสัย 6 จุด ในจังหวัดสงขลาและพัทลุง ซึ่งพบน้ำมันเถื่อนเพียง 5,000 ลิตร เนื่องจากขบวนการลักลอบได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยจะไม่เก็บตุนน้ำมันไว้มาก แต่เป็นในลักษณะซื้อมา ขายไป

ยังมีข้อมูลจากส่วนสืบสวนและปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากร ระบุว่า ฝั่งอ่าวไทย มีนายทุน 3 กลุ่มใหญ่ ที่ใช้เรือแท็งเกอร์ที่มีความจุ 3ล้าน - 5 ล้านลิตร ซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นสิงคโปร์ ในราคาลิตรละ 18 บาท ก่อนไปลอยลำนอกชายฝั่ง ขายน้ำมันลิตรละ 24-25 บาทให้กับเรือซอย หรือเรือประมงดัดแปลง ที่จุน้ำมันได้ 100,000 -200,000 ลิตร ก่อนแล่นเข้าฝั่ง ถ่ายใส่รถบรรทุก วิ่งส่งขายตามปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี สมุทรสงคราม และระยอง

เช่นเดียวกับฝั่งอันดามัน จะมีนายทุนชาวมาเลย์ ลอยเรือขายน้ำมันเถื่อนให้กับชาวประมง โดยมีราคาถูกกว่าน้ำมันเขียวที่รัฐบาลอุดหนุนถึงลิตรละ 1-2 บาท

แม้แต่ทางบก ก็พบว่ามีการลักลอบขนน้ำมันเบนซินเถื่อน มาจากชายแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านเข้ามาทางจังหวัดนราธิวาส และสตูล ราคาถูกกว่าไทยถึง 20 บาท

ขณะที่สถิติการจับกุมของกรมศุลกากร ในช่วงปีนี้ จับกุมการลักลอบนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ 748 ราย จำนวนกว่า 1,300,000 ลิตร มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท และน้ำมันเบนซิน 808 ราย จำนวน 685,000 ลิตร รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

นอกจากการสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐแล้ว ยังพบว่าผลกำไรจากการค้าน้ำมันเถื่อน ถูกส่งไปสนับสนุนขบวนการก่อความไม่สงบในภาคใต้ด้วย