"ลงแขก" แบบญี่ปุ่น วิถีอนุรักษ์ฉบับซามูไร

ชาวญี่ปุ่นกำลังช่วยกันลงแขกมุงหลังบ้านกัสโช

บนที่ราบ เชิงเขาฮาคูซานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่นอกจากจะเป็นที่ตั้งของสถาบันสิ่งแวดล้อมโตโยต้า

ชิราคาวา-โก แล้วยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชิราคาวา-โก ที่งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่นซึ่งอยู่ทาง

ตะวันออกเหนือสุดของเขตปกครองจังหวัดกิฟุ (Gifu) เชื่อมต่อกับเขตปกครองจังหวัดโทยามะ

(Toyama) ซึ่งมีตำนานเล่าขานว่าเคยเป็นถิ่นที่พำนักของกลุ่มชนชาวไฮคิ (Heiki) ที่อพยพ

ออกจากเกียวโตเมืองหลวงในขณะนั้นแล้ว ย้ายมาสร้างถิ่นฐานของตนเองใหม่ที่นี่ และที่แห่งนี้

จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่เรียนรู้วิถีชีวิตอีกมุมหนึ่งของชาว ญี่ปุ่นที่ผู้ชนะเลิศจากโครงการลดเมือง

ร้อน ด้วยมือเรา ปีที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นโดยบ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และสถาบันสิ่ง

แวดล้อมไทยมอบให้กับ 3 โรงเรียน 3 ชุมชนก่อการดี อันได้แก่ โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง

จ.ลำปาง, โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่, โรงเรียนพระซองสามัคคีวิทยาลัย

จ.นครพนม, ชุมชนน้ำด้วน 1 เทศบาลตำบลวังทอง จ.พิษณุโลก, ชุมชุนเกตุไพเราะ 3-5 และ

สำนักงานเขตพระโขนง กทม. และชุมชนโนนอุทุมพร และเทศบาลอุดรธานี จ.อุดรธานี มา

ทัศนศึกษาที่แห่งนี้...
       
       นาโอกิ ฟุรุตะ (Naoki Furuta) Chief of commerce Industry & Tourism,

Shirakawa Village Office เริ่มต้นถ่ายทอดเรื่องราวของหมู่บ้านแห่งนี้ให้ฟังว่า 

เมื่อ เอ่ยถึงหมู่บ้านชิราคาวา-โก ก็จะต้องนึกถึงบ้านแบบกัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) ซึ่ง

กัสโชหมายถึงบ้านรูปทรงพนมมือไหว้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษมีอายุราว 300-400 ปี เช่น

บ้านของตระกูลวาดะซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายในบ้านมีการสืบทอดมาถึง รุ่นที่ 12 แล้ว

โดยหมู่บ้านแห่งนี้ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม

แห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ.1995 
       
       สำหรับตัวบ้านแบบกัสโชนั้น หลังคาชันจะมีความถึง 60 องศา มุ่งด้วยหญ้าหนาประมาณ

50-60 เซนติเมตรเพื่อสามารถรองรับหิมะที่ตกมาอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่าง ดี ขณะ

ที่โครงสร้างของบ้านสร้างขึ้นโดยไม่ต้องใช้ตะปูเหมือนกับบ้านทรงไทยของ บ้านเรา นอกจากนี้

ตัวบ้านยังตั้งหันไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกตามลำน้ำโชกาวา (Shogawa) เพื่อ

ป้องกันกระแสลมแรงที่อาจจะมาแบบพายุไต้ฝุ่นอีกด้วย
       
      นาโอกิ เล่าต่อว่า ด้วย เหตุที่ตัวบ้านทำมาจากไม้และหญ้าจึงต้องระวังเรื่องไฟไหม้ดังนั้น

จึงมีการจัดหน่วยลาดตะเวนโดยผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่จะใช้ไม้ 2 อันเคาะกันพร้อมกับตะโกนให้ระวัง

ไฟไหม้ไปทั่วไปหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีการฉีดน้ำด้วยสปริงเกอร์อีกด้วย และที่สำคัญเพื่อเป็นการ

อนุรักษ์ให้บ้านแบบกัสโช ยังคงอยู่พวกเราจะยึดถือกฎ ระเบียบอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่ก่อนที่

จะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกซึ่งเป็นการ สืบต่อมาแต่สมัยโบราณจำนวน 3 ข้อ ด้วยกัน คือ

1.บ้านกัสโชในเขตโอกิมาชิ (Ogimashi) จะไม่มีการขาย

2.ไม่มีการให้ยืม และ 3.ไม่ให้รื้อทำลาย

 “เรายังมีกิจกรรม หลักที่ให้เด็กที่อาศัยในเขตนี้ได้เข้าร่วมก็คือการลงแขกมุง

หลังคาบ้านกัสโช เพื่อให้พวกเขาทราบว่ากว่าจะได้มาเป็นบ้านแต่ละหลังนั้นมีความ

ลำบากขนาดไหน ซึ่งจะทำให้พวกเขาซึมซับและเกิดความรู้สึกที่ต้องการจะช่วยกัน

อนุรักษ์บ้าน กัสโชให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งการเปลี่ยนหลังคาบ้านแต่ละหลังนั้นจะใช้คนลงแขก

ประมาณ 300 คนใช้เวลา 2 วันต่อการมุงหลังคาให้เสร็จ 2 ข้าง แต่หากใช้เอกชนก็อาจ

จะใช้เวลานาน 1-2 เดือนเนื่องจากจำนวนคนจำกัด และหากอากาศไม่ดีก็ต้องขยายเวลา

ออกไปทำให้ใช้เวลานาน ทั้งนี้การเปลี่ยนหลังคาแต่ละครั้งจะมีอายุประมาณ 30-40 ปี ”

หัวหน้าฝ่ายอุตสาหกรรมการค้าและการท่องเที่ยว สำนักงานหมู่บ้านชิราคาโก ระบุ
       
       สำหรับสิ่งบ่งชี้ที่จะบอกให้ชาวบ้านรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน หลังคาบ้านใหม่นั้น

สังเกตได้จากหลังคาบ้านหลังนั้นๆจะมีมอสปกคลุมอยู่นั้น เอง

       นาโอกิ ยังเล่าต่อว่า 

4 ก.ค. 54 เวลา 20:31 15,729 25 200
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...