เจ้าฟ้าหญิงฯ ทรงเปิดใจในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย

เจ้าฟ้าหญิงฯ พระราชทานสัมภาษณ์รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ตรัสพระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ทรงห่วงความสามัคคีของคนไทยมากที่สุด

         เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราช

กุมารี พระราชทานพระวโรกาสพิเศษ ให้ "วู้ดดี้" วุฒิธร มิลินทจินดา ได้สัมภาษณ์บันทึก

เทปรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" ณ ห้องทรงงานส่วนพระองค์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งเทปดังกล่าว

ได้ออกอากาศไปเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา

          ทั้งนี้ เจ้าฟ้าหญิงฯ ได้ตรัสถึงสาเหตุที่มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย

สัมภาษณ์พิเศษ เพราะทรงอยากให้ผู้ชมรายการได้รู้จักตัวตนของพระองค์อย่างแท้จริง ไม่อยาก

ให้ฟังข่าวลือที่เป็นข่าวบิดเบือน หรือพูด ๆ กันไปปากต่อปาก

           เจ้าฟ้าหญิงฯ มีพระดำรัสว่า พระองค์เป็นเด็กวัด อยู่ในกุฏิเล็ก ๆ นอนกับพื้น ที่วัดป่าบ้านตาด

มา 15 ปี ทรงสนใจเรื่องธรรมะ ปรารถนาจะศึกษาพระธรรมให้สำเร็จอย่างน้อยขั้นต้น คือ พระ

โสดาบัน แต่ทรงเชื่อว่า คงยังไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ในชาติภพนี้ เพราะยังมีหน้าที่ที่ต้อง

ปฏิบัติในทางโลกอีกมากมาย

           พร้อมกันนี้ เจ้าฟ้าหญิงฯ ยังตรัสถึงคำสอนของหลวงตามหาบัวที่ยึดมั่นในพระหฤทัยเสมอมา

ว่า คนเราสำคัญที่ใจ เพราะคนเรามีใจเป็นประธาน หากจิตใจดีแล้ว ทุกอย่างจะดีตามไปด้วย เพราะ

ฉะนั้น หากมีสิ่งใดที่กระทบจิตใจ ถูกนินทากล่าวร้าย ขั้นแรกก็ต้องพิจารณาว่า สิ่งนั้นเป็นความจริง

หรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องพิจารณาตัวเอง ปรับปรุงแก้ไขตัวเองก่อนจะไปพิจารณาคนอื่น แต่

หากสิ่งที่คนพูดกันนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตรงกับความเป็นจริง ก็ต้องปล่อยวางสิ่งนั้นทันที รวมทั้งต้องให้

อภัย เพราะการแบกของหนัก ๆ อยู่ มันหนัก ต้องปล่อยวางให้เร็วจะได้สบาย หลวงตามหาบัวเคย

สอนไว้ว่า การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ทำยาก แต่ก็ต้องค่อย ๆ ทำ ถึงเวลาปล่อยก็ต้องปล่อย และการนั่ง

สมาธิ ทำจิตใจให้นิ่งสงบจะสามารถช่วยให้ปล่อยวางได้

         "หลวงตามหาบัวยังสอนอีกว่า อดีตที่เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นเรื่องในอดีต

ต้องปล่อยวางไปเช่นกัน ส่วนเรื่องอนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปจินตนาการเพราะจะทำให้

ฟุ้งซ่าน ดังนั้นควรอยู่และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอนาคตจะดีเอง"

          เจ้าฟ้าหญิงฯ ตรัสอีกว่า ทรงเรียกหลวงตามหาบัวว่า "ท่านพ่อ" และหลังจากที่หลวง

ตามหาบัวละสังขารไป ทรงรู้สึกว้าเหว่อยู่บ้าง แต่ไม่ทรงกรรแสง เพราะหลวงตามหาบัว

เคยสั่งไว้ ไม่ให้ร้องไห้ และสอนด้วยว่า หากทูลกระหม่อมเก็บ "พ่อ" ไว้ในใจ "พ่อ" ก็จะอยู่

กับทูลกระหม่อมตลอดไป

          จากนั้น "วู้ดดี้" ได้ถามเจ้าฟ้าหญิงฯ ว่า คนทั่วไปมักพูดกันว่าเกิดเป็นเจ้าเป็นนายสบายมี

ทุกอย่างเพียบพร้อม ทรงรู้สึกอย่างไรกับประโยคนี้ ก่อนที่เจ้าฟ้าหญิงฯ จะทรงมีพระดำรัสตอบว่า

รู้สึกตลกดี เพราะตั้งแต่สมัยเด็กพระองค์ถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่า เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้

ประชาชน และทรงงาน ออกเยี่ยมราษฎร ดูแลประชาชนตามหน่วยแพทย์ต่าง ๆ ตั้งแต่อายุ 14 ปี

งานคือสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนการเรียนไปเรียนเอาตอนกลางคืน ทำเช่นนี้ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบ

ปริญญาเอก ทรงยอมรับว่า เหนื่อย แต่ก็เข้าใจว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนี้ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งเข้าใจ

พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีมากขึ้น ว่า เกิดเป็นเจ้าต้อง

ให้ความสุขกับราษฎร ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ราษฎร เช่น ชาวบ้านไม่มีน้ำกินน้ำใช้ พระ

เจ้าอยู่หัวฯ ก็เสด็จฯ ไปดูสถานที่ เพื่อจะสร้างเขื่อนให้

           เจ้าฟ้าหญิงฯ ตรัสว่า ทุกวันนี้ที่พระองค์มาทำงานกับมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนคริน

ทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ซึ่งต้องเดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในท้องถิ่นทุรกันดารในแต่ละ

แห่ง คราใดที่พระองค์กลับมา และได้เสด็จไปเยี่ยมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่โรงพยาบาล

ศิริราช พระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชดำรัสถามเสมอว่า ราษฎรเป็นอย่างไร เจ็บป่วยมากหรือไม่

ปัญหาของหมู่บ้านนั้น ตำบลนั้นคืออะไร ทรงถามทุกครั้ง แม้ว่าท่านจะมีพระชนมายุ 83 พรรษาแล้ว

แต่ก็ยังทรงงานอยู่ตลอดเวลา

          "เมื่อสมัยก่อน ท่านทรงงานตรากตรำมาก เสด็จฯ ไปเยี่ยมหมู่บ้านชาวเขาที่เชียงใหม่ ที่ไม่มี

ถนน ไม่มีทาง ท่านต้องเดินข้ามเขา 7-8 ลูก เพื่อไปหาชาวบ้าน แต่เด็ก ๆ สมัยนี้ สักอายุ 20 แทบจะ

ไม่ทราบแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัว พระราชินี เคยทรงงานอะไรมาบ้าง อย่างที่เห็นในเพลงสรรเสริญพระ

บารมีที่เปิดในโรงภาพยนตร์ ก่อนภาพยนตร์จะฉาย ก็น้อยเกินไป ไม่ได้ต้องการจะโปรโมทหรือ

อะไร แต่ต้องการให้ทูลกระหม่อมพ่อ และสมเด็จแม่ได้รับความยุติธรรมที่ควรจะได้รับ ตอนนี้

อยากขอ แต่ไม่กล้าขอ อยากได้เวลาจากรายการทีวีสัก 10 นาทีหลังข่าว ฉายหนังพระราชกรณีย

กิจสั้น ๆ ทุกวัน ว่าทั้งสองพระองค์ทรงทำอะไรบ้าง อยากให้คนไม่ลืม สงสารท่านเถอะ เพราะท่าน

ทำมาเต็มที่ ทุ่มเทพระทัยเต็มที่ เอาใจใส่ประชาชนมาโดยตลอด ทุกวันนี้แม้แต่ท่านอยู่ในโรง

พยาบาลก็ยังทรงงานทุกวัน ดูโครงการต่าง ๆ จนบรรทมดึกมาก ส่วนสมเด็จแม่ ก็ทรงติดตามข่าว

สารบ้านเมืองตลอด เช่น เรื่องน้ำท่วม ท่านก็รับสั่งด้วยพระองค์เองให้คนนำถุงยังชีพไปให้ ใครบาด

เจ็บ เดือดร้อน เป็นโรคอะไร ก็ทรงให้ความช่วยเหลือโดยที่บางเรื่องไม่ได้บอกใคร หากไม่ใช่เป็น

ลูกท่านก็คงไม่รู้"

         เจ้าฟ้าหญิงฯ ตรัสด้วยว่า ทั้งสองพระองค์เป็นห่วงที่สุดคือเรื่องความสามัคคีกลมเกลียว

กันในชาติไทย หากคนไทยแตกแยกกัน ศัตรูจะทำลายได้ง่ายมาก ดังนั้นคนไทยต้องเข้ม

แข็ง มีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน สามัคคีกัน ชาติจึงจะเจริญได้

         "ข้าพเจ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องการเมือง เพราะไม่เคยยุ่งเกี่ยว ไม่รู้จักนักการเมือง แต่รู้ว่า ใน

บ้านเมืองไม่ควรมีการแบ่งก๊ก แบ่งเหล่า คือจะทำอะไร มีอะไรก็ควรพูดจากัน อย่าใช้ความรุนแรง

อีกทั้งเหตุการณ์วุ่นวายที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกันเมื่อปีที่แล้ว นำความทุกข์มาสู่สมเด็จพระเจ้าอยู่

หัวเหลือเกิน ครั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัว จากที่ทรงหัดเดินได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าว ทรงทรุด เป็นไข้

ต้องนอนให้น้ำเกลือ ส่วนสมเด็จพระราชินีก็เสียพระทัยมากเหมือนกัน ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูก

เผากรุงนั้นคือสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาต่อพม่า แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะคนไทยเผาเมือง

ไทยเอง"

        ต่อจากนั้น เจ้าฟ้าหญิงฯ ได้มีพระดำรัสถึงอาการประชวรที่พระอุรุ (ต้นขา) ของพระองค์ที่ทำ

ให้ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยว่า ตอนนี้กระดูกติดดีแล้ว แต่ยังเดินลำบาก เพราะไม่ได้เดินมา 3 เดือน

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีเสด็จฯ มาเยี่ยมด้วยพระองค์เอง ทำให้

พระองค์คิดว่า ต้องรีบหายไว ๆ เพื่อจะได้มาถวายงานดังเดิม

         ทั้งนี้ เจ้าฟ้าหญิงฯ ยังได้ตรัสถึงพระจริยวัตรส่วนพระองค์ในเวลาต่าง ๆ และทรงเล่า

ถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ปัจจุบันนี้ ที่พสกนิกรทั่วไทยทุกคน

อยากทราบมากที่สุด ซึ่งสามารถติดตามเรื่องราวต่าง ๆ ต่อได้ในรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" วัน

อาทิตย์ที่ 10 มีนาคม เวลา 22.30 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี




 





 

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...