8 โครงการ ประหลาด-ไร้สาระ ของ "CIA สหรัฐอเมริกา"

หน่วยข่าวกรองกลาง ซีไอเอ (The Central lntelligence Agency-CIA) เป็นองค์การที่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาสถาปนาขึ้นเมื่อ ค.ศ.1947 มีหน้าที่แสวงหาข่าวสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา เสนอประธานาธิบดีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและรัฐสภา เพื่อให้รัฐบาลกลางมองเห็นสถานการณ์ของโลกทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางนโยบายต่างประเทศที่ให้ผลถูกต้องแน่นอน

ในหลายปีที่ผ่านมา CIA เป็นองค์กรที่ได้ยอมรับว่ามีชื่อเสียง และมีอิทธิพลมากในหน่วยงานของรัฐบาลของโลก ด้วยความซับซ้อนและมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างง่ายดาย แต่กระนั้นซีไอเอก็ยังเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นองค์กรที่มีความคิดโครงการที่หลุดโลก โรคจิต จนไม่น่าเชื่อว่านี้คือความคิดของคนฉลาดที่คิดกัน ผลคือบางโครงการนั้นล้มเหลวและสูญเงินนับล้านและบางโครงการผิดกฎหมายและไร้สาระและนี้คือ 8 สุดยอดโครงการไร้สาระของซีไอเอดังกล่าว

 

8. Acoustic Kitty

 

ในปี 1960 คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของซีไอเอ ได้เปิดตัวโครงการที่จะใช้สัตว์มาเป็นสายลับ โดยพยายามที่จะใช้แมวในภารกิจสอดแนม โดยใช้แบตเตอรี่และไมโครโฟนขนาดเล็กผ่าตัดฝังลงไปในแมว และมีเสาอากาศฝังเข้าไปในหางของแมวเพื่อสามารถบันทึกเสียง นอกจากนั้นยังฝึกนิสัยของแมวใหม่ เพื่อสามารถปฏิบัติภารกิจได้ เช่น ความรู้สึกของแมวต่อความหิว โดยถูกแก้ไขในการดำเนินการให้เป็นอย่างอื่นโดยโครงการนี้ใช้งบประมาณถึง 20,000,000 ดอลลาร์ โดยภารกิจแรก คือ การแอบฟังสถานทูตโซเวียตถนน วิสคอนซิน ในกรุง วอชิงตัน ดีซี เพื่อฟังพวกคอมมิวนิสต์พูดคุยกัน ผลปรากฏว่าภารกิจนี้ล้มเหลวเพราะแมวถูกตีและถูกแท็กซี่ทับตายทันที ผลสรุปคือโครงการไม่มีใครเอามาพูดถึงอีกเลย

7. Operation Northwoods

 

ในช่วงศตวรรษที่ 1960 เมื่อสงครามเย็นก่อตัวขึ้นความหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ได้อาละวาดไปทุกหย่อมหญ้าทั่วโลก ทำให้ซีไอเอมีแผนลับขึ้นมานั่นคือ ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์ โดยการใช้ข้อมูลลวงเพื่อให้ประชาชนชาวอเมริกันหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ สร้างภาพการก่อการร้ายว่าเป็นฝีมือของคิวบาภายใต้การนำของคาสโตรโดยการดำเนินงานคือการสร้างความหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ในเขตไมอามี่ ฟลอริดาและที่อื่นๆ แม้แต่ในวอชิงตัน ความน่ากลัวของแผนนี้ก็คือ การใช้ประชาชนมารับเคราะห์นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวลือ,วางระเบิด, การจลาจลปลอมๆ เพื่อนำไปสู่การดำเนินการทางทหาร เพื่อสร้างความเกลียดชังรัฐบาลคิวบาและสร้างเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกัน ให้ใช้กำลังทหารโจมตีคิวบา และนี่คือตัวอย่างของแผนการการวางระเบิดเครื่องบินพาณิชย์ที่บินจากอเมริกาสู่ประเทศในแถบอเมริกาใต้ โดยมีเส้นทางใกล้น่านฟ้าของประเทศคิวบา ผู้โดยสารบนเครื่องบินลำที่ถูกเลือกจะเป็นกลุ่มนักศึกษาที่เดินทางไปพักผ่อน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นเยาวชน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพื่อตอกย้ำว่าคาสโตรสามารถสังหารได้แม้กระทั่งประชาชนผู้บริสุทธิ์การนำชาวคิวบาขึ้นเรือทำทีว่าลักลอบออกนอกประเทศ เพื่อขอลี้ภัยในอเมริกา ระหว่างที่เรือลอยกลางทะเลก็จัดการยิงให้จมแล้วป้ายความผิดให้กับคิวบาว่าเป็นผู้ไล่ล่าเรือลี้ภัย

วางระเบิดจุดสำคัญๆบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และฟลอริดา จากนั้นจับตัวชาวคิวบาที่ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในอเมริกา แล้วป้ายความผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสร้างเหตุการณ์การโจมตีเรือรบหลวง โดยนำเรือรบไปล่องในอ่าวใกล้กับเมืองฮาวาน่าแล้วระเบิดทิ้ง เลียนแบบเหตุการณ์ในปี ค.ศ.1898 ที่เรือรบอเมริกาถูกจมโดยไม่ทราบสาเหตุ เพื่อสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวอเมริกันนับล้านให้มาสมัครเป็นทหารอาสาเข้าร่วมรบในสงครามสเปนิช-อเมริกันแผนการดังกล่าวถูกร่างและลงนามโดยหัวหน้าร่วม แล้วนำไปเสนอให้ประธานาธิบดีจอห์น เอฟเคนเนดี้ ผลปรากฏว่าเขาปฏิเสธ และถูกยกเลิกแผนการนี้ในภายหลัง หากแต่หลังจากนั้น ก็มีความเชื่อว่าแผนดังกล่าวนั้น ได้มีการกระทำอย่างลับๆ และหนึ่งในเหตุการณ์ที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ ก็คือการลอบสังหารเคนเนดี้

 

6. Project Pigeon

 

มันอาจเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้วสำหรับโครงการที่เรียกว่า “จรวดนำวิถี นกพิราบ” มันเป็นหนึ่งในโครงการทางทหาร ที่ดูเหมือนจะประหลาดที่สุดอีกโครงการในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเริ่มมีความคิดมาจากนายบี. เอฟ. สกินเนอร์ (Burrhus Frederic Skinner) นักจิตวิทยาพฤติกรรมที่มีความคิดแหวกแนวว่ารัฐบาล น่าจะลองฝึกนกพิราบให้ควบคุมจรวดนำวิถีเข้าสู่เป้าหมาย (นกพิราบกามิกาเซ่)โดยโครงการดังกล่าว ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ Organic control หรือ "ควบคุมโดยสิ่งมีชีวิต" ซึ่งโครงการดังกล่าวจะใช้จรวดที่ออกแบบโดยให้ข้างในจรวด มีห้องควบคุมจรวดโดยนกพิราบ ซึ่งนกพิราบดังกล่าวจะมาได้รับการฝึกให้จดจำเป้าหมาย โดยถ้าเห็นภาพเป้าหมายให้ทำการจิก ที่ตรงกลางแผงควบคุม จรวดนำวิถีก็จะพุ่งตรงไปด้านหน้า และนกพิราบจะไม่หยุดเป้าหมายจนกวาดจรวดจะระเบิด หรือมันจะตายเสียก่อน ซึ่งในตอนแรกโครงการนี้ได้งบการวิจัย 25,000 เหรียญสหรัฐ หากแต่ต่อมาไม่นานโครงการนี้ก็ต้องเลิกล้ม เพราะว่ามีการใช้จรวดแบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาแทนที่ และจรวดนำวิถีนกพิราบก็ไม่เคยถูกนำมาใช้ในสงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียว

5. Operation Gold

 

หนึ่งในโครงการที่ดำเนินงานอย่างบ้าบิ่นที่สุดในช่วงสงครามเย็น โดยตั้งชื่อว่า “แผนทองคำ” ในช่วงปี1953 ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างซีไอเอและอังกฤษ (Secret Intelligence Service) โดยการดักฟังสายโทรศัพท์ของสำนักงานใหญ่ของโซเวียตที่กรุงเบอร์ลินโดยได้มีการขุดอุโมงค์ยาวกว่า 450 เมตรตัดกับทางแยกโทรศัพท์ใต้ดิน โดยเริ่มต้นขุดในวันที่ 2 กันยายน1954 ถึง 25 กุมภาพันธ์ของปีถัดไป โดยซีไอเอสามารถดักจับบันทึกการสนทนามากถึง 50,000 รายการสนทนาทางโทรศัพท์ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปี หากแต่ต่อมาในปี 1956 โซเวียตก็ได้ขุดพบอุโมงค์ดังกล่าวและปิดลง ซึ่งโครงการนี้ซีไอเอสิ้นงบประมาณแบบไร้ค่าและแถมโดนด่าไปทั่วโลกด้วย

4. Project MKULTRA

 

โครงการเอ็มเคอัลทรา หรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นชื่อรหัสลับที่เป็นการทดลองลับๆ ที่ผิดกฎหมายของหน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ "ซีไอเอ" ซึ่งพยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้ โดยโครงการนี้เป็นการทดลองในมนุษย์ ที่ได้ดำเนินการโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ โดยเริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษที่ 1950 โดยได้ดำเนินการถึงปลายปี 1960 ซึ่งใช้ชาวอเมริกันและแคนาดาเป็นตัวทดลองจุดประสงค์ของโครงการเอ็มเคอัลทราคือ เป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์"โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ในการทำอาวุธสงคราม แรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมี และ อาวุธชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมการไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขต่อ

 

สถานการณ์ในภายภาคหน้าเอาไว้การทดลองนี้ไม่ใช่มีแต่ซีไอเอเท่านั้น หากแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพ และหน่วยข่าวกรองของสำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซึ่งกันและกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือว่าเป็นการทดลองลับสุดยอด ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลย ว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมทำการทดลองเท่านั้นสำหรับโครงการนี้ การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (LexingtonRehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือ สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of MentalHealth) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ก็จะเป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติด ซึ่งนักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม และอนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติดจากหลักฐานที่เผยแพร่พบว่าโครงการนี้ใช้วิธีการต่างๆ มากมาย ที่จะจัดการกับสภาพจิตใจของบุคคลและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง โดยการใช้ ยาหลายประเภท รวมทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมอง เช่น การใช้ยาเสพติด สารเคมีอื่นๆ การละเมิดทางวาจาและทางเพศ โดยไม่สนใจว่าอาสาสมัครจะเต็มใจหรือไม่

3. The Stargate Project

 

โครงการสตาร์เกท หรือจะเรียกว่าโครงการสายลับพลังจิตคงไม่ผิดนัก โดยเป็นชื่อรหัสของโครงการย่อยที่จัดตั้งโดยรัฐบาลสหรัฐ เพื่อการศึกษาการมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote Viewing) เพื่อการนำมาใช้จริง โดยจะให้มีการประยุกต์ใช้ในทางการทหารและงานสืบราชการลับ เช่น ให้สามารถใช้พลังจิตในการมองเห็นระยะไกล เพื่อบอกตำแหน่งของสิ่งก่อสร้าง หรือสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวอาคารได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการศึกษาในเรื่องเหนือธรรมชาติ (ประมาณว่าถอดจิต) และญาณทิพย์ด้วยโดยโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปี 1970 ถึง 1995 (ซีไอเอยกเลิกเอง) โดยมีข่าวลือที่มาของโครงการนี้ว่า ทางโซเวียตได้มีการวิจัยอาวุธพลังจิต จึงทำให้ทางสหรัฐตัดสินใจในการศึกษาหาความเป็นไปได้ โดยในตอนแรกได้ใช้งบประมาณถึง 20,000,000 ดอลลาร์ เพื่อการศึกษาในบุคคลที่มีความสามารถ และมีพลังพิเศษและครั้งหนึ่งก็เคยนำการทดลองพลังจิตนี้มาใช้งานจริงๆ ด้วย เช่น ในสงครามเวียดนามมีการใช้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man) เพื่อทำหน้าที่ในการนำกองทหารระหว่างที่อยู่ในเขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี

2. Operation Mongoose

 

ในยุค 60 ตอนต้น คอมมัวนิสต์คิวบากลายเป็นหนึ่งในกำลังรบสำคัญของสงครามเย็น และนายพลฟิเดลคาสโตรกลายเป็นนักการเมืองที่อันตรายที่สุดในโลกในขณะนั้น ทำให้การสหรัฐมีแผนที่จะล้มล้างคาสโตรแต่ก็ล้มเหลวในหลายๆโครงการจนกระทั้งมาถึงสมัยจอห์น เอฟ เคนเนดี้ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1961 (หลังล้มเหลวจากแผนบุกอ่าวหมู)ทางการสหรัฐก็ได้ปฏิบัติการเชิงรุกลับๆ โดยดำเนินการให้เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล (Edward Lansdale) หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุติการต่อต้านของนักปฏิวัติ ภายใต้ชื่อ “ปฏิบัติพังพอน” โดยโครงการนี้เป็นสงครามลับในการปล่อยโฆษณาชวนเชื่อ เป็นสงครามทางจิตวิทยา และการก่อวินาศกรรม เพื่อให้คาสโตรลงจากอำนาจเช่น การปล่อยข่าวว่า ฟิเดล คาสโตร นั้นเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นก็สร้างความเชื่อถือต่อข่าวลือให้เกิดขึ้นโดยการ "สร้างภาพ" เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระเยซู ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อกำจัดคนนอกศาสนา โดยมีการยิงฟอสฟอรัสขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน เพื่อเลียนแบบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น หรือมีการทำลายพืชผลผลิตอ้อยของประเทศคิวบานอกจากนี้ยังมีการลอบสังหารแบบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นเข็มฉีดยาในรูปของปากกา การใส่แบททีเรียวัณโรคในผ้าเช็ดหน้าหรือกาแฟของเขา การใส่ยาพิษในปากกาหมึกซึมหรือไอศกรีม แต่ที่บ้าที่สุดก็คงจะเป็นแผนการสังหารคาสโตร โดยการทำซิการ์ระเบิด (หรือใส่ยาพิษ) ในยี่ห้อที่เขาชื่นชอบ และแผนนี้กำด้ถูกยกเลิกเนื่องจากมีการตกลงใหม่ระหว่างเคนเนดี้กับโซเวียตในเวลาต่อมา

1. The Bay of Pigs Invasion

 


นี่คือแผนการที่ไร้สาระและไร้ประโยชน์น่าอับอายขายหน้ามากที่สุดของซีไอเอ “การบุกอ่าวหมู” มันเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่พยายามจะโค่นล้มนายพลคัสโตรแห่งคิวบา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังขายหน้าที่สุดแผนการนี้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ (พฤษภาคม ค.ศ.1960) แต่ได้มาปฏิบัติการจริงในสมัยประธานาธิบดีเคนเนดี และเนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดีไม่อนุญาตให้มีการทิ้งระเบิดแบบปูพรม ในการพยายามโค่นล้มรัฐบาลคิวบา ดังนั้นซีไอเอจึงดำเนินแผนการใหม่ โดยมีการหนุนหลังผู้ลี้ภัยชาวคิวบาจำนวนหลายคน ให้มีการนำผู้ลี้ภัยชาวคิวบามาฝึกอบรมพิเศษโดยซีไอเอเองและจากนั้นในวันที่ 17 เมษายน 1961 ทางการสหรัฐก็ได้ขนส่งกองกำลังสะเทินน้ำสะเทินบกไปที่บาเฮียเดอ โคชิโนสในฝั่งทะเลตอนใต้ของคิวบา และเริ่มขนถ่ายสินค้าของพวกเขา ซึ่งก็คือชาวคิวบาลี้ภัยที่ถูกฝึกพิเศษจำนวนกว่า 1,300 คน เข้ามาในประเทศคิวบาแต่แผนการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่ผิดจังหวะอย่างน่าอนาถ เริ่มจากข่าวกรองของคิวบารู้ถึงการบุกรุกในครั้งนี้มานานแล้วและเริ่มมีการตอบโต้ อีกทั้งแผนการนี้ก็ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนสหรัฐอีกด้วย นั่นจึงทำให้แผนการนี้ถูกทหารของนายพลคัสโตรปราบปรามอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 3 วัน (ฝ่ายสหรัฐตาย 118 คน ถูกจับ 1202 คน) และนายพลคัสโตรก็จับฝ่ายกบฏได้ทั้งหมด (และมีการส่งทหารอเมริกันกลับสหรัฐ เพื่อแลกกับอาหารและยาในปี ค.ศ.1962) ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่ในสมัยประธานาธิบดีสหรัฐ จอห์น เอฟ เคนเนดี และนำไปสู่การเกิดวิกฤตการณ์คิวบาในปี 1962 อีกด้วย(Cuban Missile Crisis: 1962)

3 เม.ย. 54 เวลา 06:31 5,484 6 140
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...