ไม่เชื่อก็ต้องเจอ... ปิศาจแห่งเอนฟิลด์

 

เด็กสาววัย 11 ปี ถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากร่างออกจากเตียงนอน

 

ลอยหมุนคว้างกลางอากาศต่อหน้าต่อตาพยานหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ประหลาด

 

จากทั้งในบ้านและนอกบ้าน

 

มาร์กาเร็ต (เพ็กกี้) ฮอดจ์สัน (Margaret (Peggy) Hodson) แม่ม่ายสามีทิ้งวัยกลางหลักสี่

 

และลูกๆ 4 คน อาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเก่าขนาด 2 ชั้น 3 ห้องนอน อายุหลายสิบปี

 

บนถนนกรีนในเมืองเอนฟิลด์ ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน


มาร์กาเร็ต ลูกสาวคนโตชื่อเดียวกับแม่อายุ 12 ปี นอนห้องเดียวกับเจเน็ตลูกสาวคนรองวัย 11 ปี

 

ปีเตอร์ลูกชายวัย 10 ปี นอนห้องเดียวกับบิลลี่ลูกชายคนสุดท้องอายุ 7 ปี

 

ส่วนมาร์กาเร็ตคนแม่นอนห้องนอนใหญ่เพียงคนเดียว

 

 

 

บ้านเช่าหลังนี้ไม่ใช่บ้านเดี่ยวเดียวดายตั้งอยู่ห่างไกลผู้คนเหมือนฉากน่ากลัวในหนังสยองขวัญ

 

หากแต่มันปลูกสร้างอยู่ในเขตชุมชนมีบ้านเรือนขนาบซ้ายขวาและฝั่งตรงกันข้าม

 

อีกทั้งยังมีถนนสายใหญ่ตัดผ่านหน้าบ้าน หากไม่ปิดม่านผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

 

มองผ่านหน้าต่างกระจกก็สามารถเห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างที่อยู่ภายในบ้านได้อย่างสะดวก

 

 

 

 

 


 

 

 

คืนวันที่ 30 สิงหาคม 1977 เจเน็ตและปีเตอร์ตะโกนเรียกแม่ โวยวายว่าเตียงนอนโยกไปโยกมา

 

จนนอนไม่ได้ เพ็กกี้เดินไปตรวจดูในห้องนอนลูกๆแต่ไม่พบสิ่งผิดปรกติ

 

จึงคิดว่าลูกๆกุ เรื่องขึ้นมาแกล้งหลอกแม่

 

 

 

ตู้เดินได้
เวลา 21.30 น. ของคืนวันถัดมา เสียงคนลากตู้ครูดกับพื้นดังมาจากห้องนอนมาร์กาเร็ตและเจเน็ต

 

เพ็กกี้จึงเดินขึ้นไปดูว่าเด็กๆทำอะไรกันเสียงดัง เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็เห็นตู้เสื้อผ้าถูกลาก

 

มาวางกลางห้อง ส่วนลูกๆยังนอนอยู่บนเตียง เพ็กกี้คิดว่าลูกๆคงซนแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

 

 

 


 

เพ็กกี้ดันตู้กลับไปยันผนังห้องเหมือนเดิม เธอสั่งให้ลูกๆนอนแล้วอย่าซุกซน

 

ทันทีที่เพ็กกี้ปิดสวิตช์ไฟ เธอก็ได้ยินเสียงตู้ถูกลากไปตามพื้น เพ็กกี้เปิดสวิตช์ไฟหันกลับมาดู

 

ตู้เก็บเสื้อผ้าถูกเลื่อนมากลางห้องนอน ส่วนลูกๆยังคงนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง

 

เธอไม่เข้าใจว่าเด็กๆเลื่อนตู้เสื้อผ้าใบใหญ่แล้วกลับขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร

เพ็กกี้ดันตู้เก็บเสื้อผ้ากลับไปยันผนังห้องอีกครั้ง เธอปล่อยมือจากตู้และหันหลังจะเดินออกจากห้อง

 

ตู้ก็เลื่อนกลับมาอยู่กลางห้องด้วยตัวเองต่อหน้าต่อตา ยังไม่ทันหายตกใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะ 4 ครั้งดังมาจากกำแพงห้อง แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

เพ็กกี้ร้องเรียกให้ลูกๆลุกจากเตียงแล้วรีบจ้ำอ้าวลงมาชั้นล่าง

 

เปิดประตูบ้านวิ่งหน้าตื่นไปขอความช่วยเหลือจากข้างบ้าน

 

เพื่อนบ้านก็กำลังแปลกใจว่าบ้านเพ็กกี้ทำอะไรกันเสียงดังจนข้างบ้านได้ยินกันทั่ว

เพื่อนบ้านออกมาช่วยตรวจค้นรอบๆบ้านและในตัวบ้านว่ามีใครแอบมาแกล้งหรือเปล่า

 

แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆนอกจากมีเสียงเคาะกำแพงดังเป็นระยะๆ

 

พวกเขาหมดปัญญาจะหาสาเหตุจึงโทรศัพท์แจ้งความตำรวจ

 

 

 

ไม่เชื่อก็ต้องเจอ

 

เวลาประมาณ 23.00 น. ตำรวจสายตรวจ 2 นายเดินทางมาถึง

 

พวกเขาสอบปากคำเพ็กกี้และลูกๆตามระเบียบปฏิบัติโดยไม่ใส่ใจมากนัก

 

เพราะคิดว่าคงเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น ทันทีที่ตำรวจเอ่ยปากขอตัวกลับ เก้าอี้รับแขกตัวใหญ่...

 

ก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้วเคลื่อนที่ข้ามไปตกลงอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องต่อหน้าต่อตาตำรวจ

 

 

 

 

 

 

 

“มันลอยขึ้นสูงจากพื้นราวครึ่งนิ้ว แล้วเคลื่อนที่ไปราว 4 ฟุต” พลตำรวจคาโรลิน ฮีบส์

 

(Carolyn Heeps) เขียนในบันทึกคำให้การ เธอสงสัยว่าพื้นบ้านเอียงทำให้เก้าอี้ไหลไปเอง

 

จึงนำลูกแก้ววางบนพื้นแต่มันก็ไม่ได้กลิ้งหาเก้าอี้ เธอยังได้สำรวจเก้าอี้อย่างละเอียด

 

เพื่อตรวจดูว่ามีเส้นเชือกหรือสิ่งใดๆผูก ติดมันหรือเปล่า แต่ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมเช่นเดียวกัน

 

 

 

มันเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแต่อย่างใด

 

ตำรวจจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าแค่จดบันทึกประจำวัน ในขณะที่หนังสือพิมพ์เดลิมิร์เรอร์

 

(Daily Mirror) ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ประหลาดนี้ จึงส่งผู้สื่อข่าวและช่างภาพมายังที่เกิดเหตุ

 

 

 

 

 


 

 

ผู้สื่อข่าวดักลาส เบนซ์ (Douglas Bence) และช่างภาพ เกรแฮม มอร์ริส (Graham Morris)

 

ได้รับอนุญาตให้สังเกตการณ์ภายในบ้าน หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ไม่มีสิ่งผิดปรกติใดๆ

 

เกิดขึ้น พวกเขาก็ขอตัวกลับ

ยังไม่ทันที่ทั้ง 2 คนจะเดินถึงรถ สิ่งของในบ้านก็ลอยว่อนขึ้นกลางอากาศ

 

เพ็กกี้ตะโกนเรียกนักข่าว พวกเขารีบวิ่งกลับมาที่บ้าน เกรแฮมหยิบกล้องขึ้นถ่ายภาพ

 

มันเป็นวินาทีเดียวกับที่ตัวต่อเลโก้ชิ้นหนึ่งลอยมากระแทกเข้ากลางหน้าผาก ของเกรแฮม

 

แล้วเหตุการณ์ก็กลับคืนสู่ปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

 

ถึงมือผู้เชี่ยวชาญ
เกรแฮมนำฟิล์มไปล้าง แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ช็อตที่เขากดถ่ายภาพตัวต่อเลโก้

 

ลอยเข้ามาหานั้นเป็นรูโบ๋ ไม่มีภาพใดๆปรากฏอยู่บนแผ่นฟิล์ม ถึงกระนั้นคำยืนยันของผู้สื่อข่าว

 

และช่างภาพทำให้จอร์จ ฟาลโลว์ (George Fallows) ผู้สื่อข่าวอาวุโสของเดลิมิร์เรอร์

 

ให้ความสนใจจะเข้ามาทำข่าวนี้ด้วยตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จอร์จแนะนำเพ็กกี้ให้ไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมวิจัยเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ

 

(Society for Psychical Research) มอริซ กรอสส์ (Maurice Grosse)

 

เดินทางมาสังเกตการณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977

 

 

 

 

 


  

 

มอริซ กรอสส์ (Maurice Grosse)

สามวันแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเวลา 22.00 น. คืนวันที่ 8 กันยายน

 

จอร์จและมอริซได้ยินเสียงโครมดังมาจากห้องนอนของเจเน็ต พวกเขารีบวิ่งขึ้นไปดู

 

ก็พบว่าเก้าอี้ถูกเหวี่ยงไปคะมำอยู่ที่ปลายเตียง แต่เด็กๆยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง

 

 

 

นับตั้งแต่นั้นมา มอริซก็ได้พบเหตุการณ์ประหลาดหลายครั้ง

 

ลูกแก้ว ตัวต่อเลโก้ ลอยอยู่กลางอากาศ ลิ้นชักตู้เปิดเอง ประตูเปิดเอง ปิดเอง

 

และบางครั้งเขารู้สึกว่าลมแผ่วพัดกระทบต้นขาไล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะ

 

เมื่อผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมวิจัยเหตุการณ์เหนือธรรมชาติและผู้สื่อข่าวอาวุโส ยืนยัน

 

เดลิมิร์เรอร์ก็นำเรื่องราวลงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง ทำให้สถานีวิทยุ London Based Station (LBC)

 

และ BBC สนใจส่งผู้สื่อข่าวมาร่วมสังเกตการณ์

 

 

 

 

 


 

 

คาหนังคาเขา
เกรแฮมยังคงทำหน้าที่ช่างภาพให้กับเดลิมิร์เรอร์ หากแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ประหลาด

 

จะเกิดขึ้นตอนไหน เขารู้แต่ว่ามันมักจะเกิดขึ้นในห้องนอนของมาร์กาเร็ตและเจเน็ต

 

เกรแฮมจึงตั้งกล้องให้ถ่ายภาพหน่วงระยะเวลาอัตโนมัติ

เหตุการณ์ประหลาดยังคงดำเนินต่อไปและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

 

บางครั้งเจเน็ตจะพูดออกมาเป็นเสียงผู้ชายสูงวัย มอริซไม่สามารถอธิบายหรือช่วยเหลือใดๆได้

 

ทำให้สมาคมวิจัยเหตุการณ์เหนือธรรมชาติส่งตัว กาย เพลย์แฟร์ (Guy Playfair)

 

ผู้ที่ชำนาญกว่ามาช่วยเหลืออีกคน

มอริซ กาย และเกรแฮม มาสังเกตการณ์ที่บ้านเพ็กกี้เกือบทุกวันตลอดระยะเวลา 14 เดือน

 

ทั้งนี้ ยังไม่นับผู้สื่อข่าวและผู้เชี่ยวชาญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจากสถาบันอื่น อีกหลายคน

 

 

 

 

 

 

 

...

 

...

 

 

 

 

 


 

 

ภาพถ่ายจากกล้องอัตโนมัติของเกรแฮมสามารถจับภาพเหตุการณ์ประหลาดได้อย่าง น่าทึ่ง

 

อยู่ดีๆผ้าห่มของมาร์กาเร็ตถูกดึงไปกองอยู่ปลายเตียง หลังจากนั้นร่างของมาร์กาเร็ตก็ถูกสิ่งที่

 

มองไม่เห็นยกลอยแล้วเหวี่ยงออกจากเตียง ในขณะที่ชะตากรรมของเจเน็ตก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่สาว

 

ผ้าม่านที่ปรกติจะคลี่ออก อยู่ดีๆมันก็บิดม้วนมาดึงผ้าห่มถูกดึงออกจากตัวแล้วร่างของเจเน็ต

 

ก็ถูกเหวี่ยงออกจากเตียงมานอน แอ้งแม้งบนพื้นข้างๆพี่สาว

 

 

 

 

 

กลับมาหาครอบครัว
ดูเหมือนเหตุการณ์ประหลาดจะเกิดขึ้นกับเจเน็ตบ่อยครั้งมากกว่าคนอื่นๆในบ้าน

 

แขกไม่ได้รับเชิญแสดงตัวด้วยการสื่อสารผ่านทางเจเน็ต โดยบอกว่าเขาชื่อ “บิล” อายุ 72 ปี

 

เสียชีวิตด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตกขณะนั่งบนเก้าอี้ในห้องรับแขก

 

บิลกล่าวว่าเขากลับมาหาครอบครัว แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในบ้านนี้แล้ว

 

 

 

 

 

 

กายพยายามจับผิดเจเน็ตด้วยการให้เธออมน้ำเอาไว้ในปากแล้วเอาเทปกาวปิดปาก เจเน็ตอีกที

 

แต่เจเน็ตก็ยังสามารถพูดด้วยน้ำเสียงของชายสูงวัยได้ หลังจากแกะเทปกาวออกจากปาก

 

เจเน็ตก็บ้วนน้ำที่อมไว้ออกมาให้เห็นว่าเธอไม่ได้แอบกลืนน้ำลงคอ

 

ต่อมาภายหลังพบว่าเคยมีคนชื่อบิลอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้และเขาเสียชีวิตด้วย

 

อาการเส้นโลหิตในสมองแตกบนเก้าอี้ตามที่กล่าวอ้างจริง

หลังจากกายและมอริซพยายามจับผิดครอบครัวฮอดจ์สันนาน 14 เดือนโดยไม่พบหลักฐาน

 

การหลอกลวง พวกเขาก็ยุติการสืบสวนและสรุปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติของจริง

 

 

 

อย่างไรก็ตาม วันที่ 12 มิถุนายน 1980 เจเน็ตสารภาพในรายการโทรทัศน์ ITV News ว่า

 

ระหว่างการสืบสวนระยะเวลา 14 เดือน เธอแกล้งทำผีหลอก 2-3 ครั้ง เพราะเธอรู้สึกเอือมระอา

 

กับหมอผีที่เฝ้าจับผิดเธอทุกฝีเก้าเหมือนกับเธอเป็นหนูทดลอง

 

แต่ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลยแม้แต่น้อย ส่วนนอกเหนือจาก 2-3 ครั้งที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

เหตุการณ์ปิศาจแห่งเอนฟิลด์จึงยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยังหาคำตอบให้ไม่ได้

3 มี.ค. 54 เวลา 10:05 10,817 34 250
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...