ฆาตกรโหดสะท้านโลก เอช. เอช. โฮล์มส์ (H.H. Holmes) หมอปีศาจ 1

 

เอช. เอช. โฮล์มส์ (H.H. Holmes) 
ชื่อจริง Hermann Webster Mudgett (1861 - 1896) 
 
 
 
                “ศีรษะและใบหน้าของฉันค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง มันยืดยาวออกตามกาลเวลา ฉันเชื่อมาตลอดว่าเมื่อฉันโตเต็มที่หน้าของฉันจะคล้ายปีศาจ ความคล้ายคลึงอันนี้ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ฉันชื่นชมมากกับความเชื่อนี้  จนมั่นใจว่าฉันไม่มีความเป็นมนุษย์ออกมาเจือปนอยู่ในตัว ช่วยไม่ได้ที่ฉันเป็นฆาตกรที่ไม่ต่างอะไรกับจินตกวีที่บันดารใจให้ร่างบทกลอน ฉันเกิดมาพร้อมกับปีศาจตนหนึ่ง มันยืนรอฉันข้างเตียงเพื่อสนับสนุนฉัน และนำทางให้ฉันกำเนิดขึ้นบนโลก ปีศาจตนนั้นอยู่เคียงข้างฉันตลอดมา” 
 
 
 
เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา 
 
เขาคือ เว็บสเตอร์ มัดเก็ตต์ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม เอช. เอช. โฮล์มส์ 
 
เอช. เอช. โฮล์มส์ ไม่ใช้คนกระจอก ยากจน นะ(แม้ตอนเด็กจะจนก็เถอะ) เขาเป็นถึงหมอ เป็นทั้งแพทย์และเภสัชกรที่นับหน้าถือตาในสังคมพอสมควร ฐานะก็ดีด้วย  และบุคลิกภาพดีสมควร คือเป็นคนเฉลียวฉลาด รูปหล่อ สุภาพต่อสตรีเพศ ฯลฯ 
 
แต่ดูเหมือนฐานะและความเป็นอยู่ ประกอบด้วยจิตใจอันชั่วช้าในวัยเด็กนั้น ทำให้ชีวิตของเขาไม่หยุดในฐานะหมอ เขาเป็นฆาตกรด้วย  ฆ่าเหยื่อไปมากเลย  แถมฆ่าเหยื่อมาทุกประเภท ทั้งชายหญิงและเด็กมากกว่า 150 ศพ ส่วนใหญ่เหยื่อเกือบทั้งหมดมักลงมือใน “ปราสาทฆาตกรรม” ในเมืองชิคาโก อันเป็นบ้านที่เขาไฝ่ฝันมาเกือบชั่วชีวิต 
 
ในปี ค.ศ. 1893 
 
โดยเฉพาะในปี 1893 ชิคาโก้มีการจัดงานมหกรรมโลก งานเวิลด์โคลัมเบีย เอ็กซ์โปซิชั่น (The Chicaco's World Fair) โฮล์มส์ได้สร้างโรงแรมบนหัวมุมถนนบล๊อกที่ 63 โดยมีเป้าหมายเป็นแขกที่มาเยี่ยมชมงาน ซึ่งตัวจริงของตึกนี้ก็คือ"โรงแรมมรณะ"ที่ถูกออกแบบขึ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนนั่นเอง ห้องพักทุกห้องมีทางลับอันวกวนเชื่อมอยู่ แต่ละห้องมีรูแอบมอง ผนังกลไกที่เลื่อนปิดเปิดได้ ท่อแก๊สซึ่งจะปล่อยแก๊สเข้าห้องพักแขกเพียงยื่นนิ้วไปกดปุ่ม และลิฟท์สำหรับขนศพลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งมีถังกรดเกลือรออยู่ มีกระทั่ง"ห้องขังเดี่ยว"ที่ไม่มีหน้าต่างซึ่งภายในเต็มไปด้วยเครื่องมือทรมานและชุดเครื่องมือผ่าตัดอย่างครบถ้วน 
 
เกี่ยวกับการสร้างดรงแรมมรณะนี้ โฮมส์ได้ทำการว่าจ้างผู้รับเหมาหลายราย แต่ไม่มีการจ่ายเงินให้แม้แต่รายเดียว เมื่อไม่ได้เงิน ผู้รับเหมาก็จะหยุดการสร้างไปกลางคัน แล้วผู้รับเหมาคนถัดไปก็จะมารับงานต่อ ด้วยวิธีนี้ นอกจากโฮมส์จะไม่เสียเงินแม้แต่แดงเดียวแล้ว มันยังทำให้เขาสามารถสร้างโรงแรมนี้ขึ้นได้โดยไม่มีใครสงสัยในโครงสร้างอันพิสดารของมัน 
 
โรงแรมเสร็จสมบูรณ์ในปี 1892 และในเดือนพฤษภาคมปีถัดมา งานมหกรรมโลกก็เริ่มขึ้น ตลอดเวลา 6 เดือนของการจัดงานนั้น มีแขกมาพักที่โรงแรมของโฮมส์อย่างไม่ขาดสาย โฮล์มส์คัดสรรแขกของเขาอย่างพิถีพิถัน ต้องเป็นคนรวย ต้องเป็นคนสวย ต้องอายุน้อย และต้องมาจากที่ไกล 
 
และเหยื่อมักมักพบจุดจบน่าสะพรึงกลัวอย่างโหดเหี้ยม ในห้องแห่งความตาย 
 
หลังจากที่หมอทำการฆ่าเหยื่อด้วยวิธีการต่างๆ แล้ว หมอโฮล์มส์จะทำการแยกศพเป็นชิ้นๆ นำไปขายหรือนำไปโยนทิ้ง หรือเอาไปทำลายด้วยขบวนการวิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าหมดจด 
 
นั้นเองที่ทำให้ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แน่นอนของหญิงสาวที่หายไปในโรมแรมของโฮล์มส์ เขารับสารภาพในการฆาตกรรม 27 ราย แต่เมื่อมองจากหลักฐานที่พบแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเหยื่อของเขาถึงกว่า 200 รายทีเดียว 
 
หลังจากงานมหกรรมโลก แขกที่พักโรงแรมน้อยลง โฮส์มล์จึงกลับไปเป็นนักต้มตุ๋นอีกครั้ง 
 
และเชื่อหรือไม่! ว่า หมอโฮล์มส์โดนโทษประหารจากคดีฆาตกรรมเพียงคดีเดียวเท่านั้น คือการสังหารผู้ร่วมสมคบร่วมคิดกันมานาน นามเบนจามิน เอฟ.พีทีเซล 
 
โฮล์มส์ถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1897 หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์รายงานว่า โฮมส์กล่าวกับผู้คุมซึ่งรับผิดชอบการประหารของเขาว่า"ใจเย็นๆและอย่างุ่มง่ามล่ะ" โชคร้ายที่ผู้คุมของเขาเกิดงุ่มง่ามขึ้นมาจริงๆ เชือกแขวนคอของโฮมส์ไม่รัดคอเขาในทันที โฮมส์จึงใช้เวลาสุดท้ายบนเชือกอย่างเนิ่นนาน เขาชักกระตุกอยู่ถึง 10 นาที ก่อนจะตายสนิทในอีก 5 นาทีให้หลัง 
 
รายละเอียดการฆาตกรรมทั้งหมด ถูกฝังไปพร้อมกับร่างของหมอโฮล์ม ตลอดกาล    
    กำเนิดปีศาจ 
 
 
                ชื่อเดิมของโฮล์มคือ เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเก็ตต์ เชื่อกันว่าชื่อนี้มาจากนิยายของชาร์ลส์ ดิคเก้นส์ 
 
โฮล์มกล่าวภายหลังว่า เขาไม่ชอบชื่อเดิมของเขา เขาพอใจกับนามแฝงมากกว่า ซึ่งก่อนจะมาเป็น เฮนรี่ โฮเวิร์ด โฮล์มส์ หรือ เอช. เอช. โฮล์ม ซึ่งใช้ตลอดเมื่อโตเป็นหนุ่ม โฮล์มใช้นามแฝงหรือชื่อปลอมอีกมากเพื่อใช้ในแผนชั่วต่างๆ ชื่อที่เขานิยมใช้ได้แก่ เฮนรี่ แมนฟิลด์ โฮเวิร์ด, ดี.ที. แพทร็ทท์, แฮรี่ กอร์ดอน, เอ็ดเวิร์ด แฮทช์, เจ.เอ.จัดสัน, เล็กซานเดอร์ อี. คุก, เอ.ซีเฮย์ส ฯลฯ 
 
โฮล์มหรือเฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเก็ตต์ เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1860 ในเมืองเล็กๆ ทางใต้ของรัฐนิวแฮมเชียร์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา 
 
เขาเคยพูดถึงบ้านเกิดให้คนอื่นฟังว่าเป็นบ้านนอกมากๆ พวกชาวบ้านที่นี้โง่แบบว่าทั้งชีวิตพวกเขาไม่เคยหนังสือพิมพ์ก็ว่าได้ 
 
เพื่อนบ้านของหมอโฮล์มส์มักพูดถึงเขาว่า เขาเป็นเด็กที่เป็นอยากเป็นผู้ใหญ่เกินตัว 
 
ส่วนด้านครอบครัว ก็เหมือนประวัติฆาตกรโรคจิตและฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ กล่าวคือ เขามักโดนพ่อขี้เมาซ้อมแก้มือบ่อยๆ มีแม่ใจบุญเคร่งศาสนา แต่ไม่มีปากเสียง และไม่สามารถปกป้องลูกได้ และในวัยเด็กก็ตกเป็นเป้าพวกนักเลงในหมู่บ้านรังแกข่มเหงขืนใจจนกลายเป็นคนเก็บกด เงียบขรึม แยกตัวไปจากสังคม และมุมานะกับการเรียน 
 
นอกจากนี้โฮล์มส์ไปโบสถ์เป็นประจำ 
 
โฮล์มส์เคยมีประสบการณ์ที่พิเศษครั้งหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของนิสัยฆาตกรก็ว่าได้ คือเมื่อเขาอายุ 5 ขวบ ยังเป็นนักเรียน กลุ่มเด็กอันธพาลเคยลากตัวเขาไปในคลินิกหมอ ใน๘ณะที่หมดออกจากบ้านไปเยี่ยมคนป่วยพอดี โฮล์มพยายามดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง แต่เหล่าอันธพาลก็ช่วยดันหน้าเข้าไปสิ่งหนึ่งที่เขาเคยกลัวที่สุดในชีวิต นั้นคือโครงกระดูกมนุษย์ที่แขวนอยู่บนขาตั้ง 
 
โชคดีที่หมดกลับมาทัน และช่วยเขาไว้ 
 
โฮล์มส์พูดถึงเหตุการณ์พิเศษนี้ไว้ว่า 
 
“พวกมันไม่ยอมหยุด จนหน้าของผมทิ่มเข้ากับกะโหลกที่ยิ้มหยัน มือขวายื่นออกมาข้างหน้าคล้ายกับจะจับตัวผมไว้ มันเป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับเด็กเล็กๆ แต่สำหรับผมไม่เป็นแบบนั้น ไม่กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยรักษาผมให้กลายเป็นคนไม่กลัวผี กระตุ้นให้ผมเกิดความอยากรู้อย่างรุนแรง ต่อมามันกลายเป็นความกระหายใคร่รู้ และเลือกที่จะเรียนแพทย์ในที่สุด" 
 
ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้โฮล์มส์เปลี่ยนไป เพียงอายุ 11 ปี โฮล์มส์ไล่ล่าสัตว์เล็กๆ จำพวก จิ้งจก จิ้งเหลน กบ มาเป็นเหยื่อ ก่อนที่จะเริ่มไล่ล่าสัตว์ที่มีขนาดใหย๋ขึ้น เช่น กระต่าย แมว หมา เพื่อทำการทดลองผ่าตัดแบบเล่นๆ เขาชอบผ่าตัวสัตว์ในขณะที่มันมีชีวิตอยู่ และพยายามฝึกเทคนิคการผ่าตัดเพื่อให้สัตว์พิการโดยไม่ให้ตาย 
 
เขานำความชำนาญเช่นนี้มาใช้กับเหยื่อที่เป็นมนุษย์ในเวลาต่อมา 
 
นอกจากนี้ โฮล์มส์ยังเอาอวัยวะและกะโหลกของสัตว์ที่เขาชอบไว้ไปซ่อนไว้ในกล่องโลหะในห้องใต้หลังคา 
 
ในด้านนิสัยของโฮล์มส์ โฮล์มส์มีเพื่อนน้อย ค่อนข้างเก็บตัว และมีนิสัยตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ยอมใคร มีครั้งหนึ่งชาวนาว่าจ้างเขาให้เก็บเมล็ดวัชพืชออกจากแปลงข้าว ต่อมานายจ้างเบี้ยวค่าจ้าง โฮล์มโกรธมากจึงเอาเมล็ดวัชพืชทั้งหมดโปรยกลับลงแปลงดังเดิม 
 
ส่วนด้านความฉลาด โฮล์มส์นั้นเป็นเด็กที่มีสมองดีมากๆ เขาเรียนจบมัธยมปลายหรือไฮสกูลด้วยวัยเพียง 16 ปี 
 
เมื่ออายุ 18 ปี โฮล์มส์หนีออกจากบ้านพร้อมหญิงสาวคนหนึ่งชื่อคล่าร่า เอ และใช้ชีวิตแบบสามีภรรยาจนมีลูกด้วยกัน 1 คน และเนื่องจากทั้งสองไม่ได้หย่าขาดจากกัน คลาร่าเลยเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของโฮล์มแต่เพียงผู้เดียว 
 
โฮล์มส์เรียนต่อที่มหาลัยเวอร์มองต์ในเบอร์ลิงตันด้วยเงินของภรรยา เขาจบปริญญาแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี ค.ศ.1884 เมื่ออายุ 24 ปี เรียนคณธแพทย์ศาสตร์โดยใช้เวลาเพียง 2 ปี ระหว่างเรียนโฮล์มส์มักโดดในคาบที่มีเล็กเซอร์บ่อยครั้ง แต่กลับใช้เวลานานเป็นพิเศษในคาบที่มีการลงมือปฏิบัติกายวิภาค โฮล์มส์ค่อนข้างชอบการแยกชิ้นส่วนศพมนุษย์เป็นพิเศษ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอาศพเด็กทารกกลับไปผ่าต่อที่บ้านมาแล้ว เนื่องจากห้องปฏิบัติการปิดทำงานวันเสาร์และอาทิตย์ 
 
ระหว่างเรียนแพทย์โฮล์มแอบขโมยศพมนุษย์ที่เตรียมชำแหละกลับไปดองที่บ้าน หรือทดลองกัดด้วยกรด หรือไม่ก็ฝังตามที่ต่างๆ ของบ้านเพื่อเอาเงินจากบริษัทประกันภัยด้วยอางว่าเป็นศพที่เขาทำประกันชีวิตเอาไว้ 
 
บริษัทประกันชีวิตหลายแห่งโดนเขาตุ๋นด้วยวิธีนี้ 
 
·       นอกจากนี้ยังมีอีก เช่น 
 
·       โกงเงินบริจาค 
 
·       ปลอมเป็นคนขายตำรา หลอกเอาเงินครูบาอาจารย์ 
 
·       หลอกผู้หญิงว่าจะแต่งงานด้วย 
 
·       ฯลฯ 
 
อย่างไรก็ตาม โฮล์มส์ก็สามารถเรียนจบมหาลัยแพทย์ศาสตร์ได้ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ฐานะการเงินของนายแพทย์โฮล์มส์ในช่วงนั้นย่ำแย่ขนาดหนัก แทบไม่มีอะไรจะกิน เพราะไม่มีเงินติดกระเป๋า 
 
ระหว่างที่ยังไม่รุ่ง โฮล์มส์ต้องหาเงินแบบไม่เกี่ยงงาน แต่ส่วนใหญ่มักใช้วิธีต้มตุ๋นชาวบ้านมากกว่า โดยปลอมเป็นครูชำนาญในอาชีพต่างๆ เช่น ครูสอนหนังสือ คนขายต้นไม้โก่งราคา 
 
มีอยู่ครั้งหนึ่งโฮล์มส์เคยเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลโรคจิตประสาท เมื่อรับตำแหน่งก็เกิดข่าวลือด้านไม่ดีของโฮล์มส์ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งโฮล์มส์ใช้ตำแหน่งนี้เรียกสินบนกับคนป่วยรายหนึ่ง เป็นเงินถึง 5,000 เหรียญ(มีค่ามากในสมัยนั้น) เพื่อแลกกับการพาหลบหนีออกจากโรงพยาบาล แต่หลังจากนั้นไม่นานตำรวจพบร่างของผู้ป่วยรายนั้นจมอยู่ในบ่อน้ำบริเวณโรงพยาบาล เงินในกระเป๋าหายเกลี้ยง 
 
ข่าวลือในด้านร้ายหนาหู ทำให้โฮล์มส์ต้องทิ้งตำแหน่งผู้อำนวยการหลบหนีไปตั้งถิ่นฐานในฟิลาเดลเฟีย ทำงานเป็นเภสัชกรในร้านขายยา พักหนึ่งก็เกิดเรื่อง เมื่อคนไข้รายหนึ่งที่รับยาจากเขาตายอย่างมีเงื่อมงำ 
 
ต่อมา โฮล์มส์ย้ายมายังชิคาโกพร้อมทรัพย์สินจำนวนมากที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ช่วงนี้เองเขาเริ่มเปลี่ยนชื่อเดิม เฮอร์แมน เว็บเตอร์ มัดเก็ตต์ เป็นชื่อใหม่ 
 
นายแพทย์ เอช. เอช. โฮล์มส์ 
 
จุดเริ่มต้น 
 
 
 
เดือนกรกฎาคม 1886 หมอโฮล์มส์ได้งานใหม่คือไปเป็นผู้ช่วยในร้านขายยา ของนายแพทย์อี.เอส.โฮลตัน  ที่เขตชุมชนอิงเกิ้ลวูด ชิคาโก 
 
หมอโฮล์มส์เป็นผู้ช่วยที่ดี  เขาฉลาด และเก่งเรื่องสารเคมี ภรรยาของนายแพทย์โฮลตันซึ่งเป็นนายจ้าง(อายุ 60 ปี)ไว้ใจเขามาก เธอไม่เคยสนใจปูมหลังของเขาว่ามีประวัติอย่างไร ขอให้ทำงานดีเป็นอันใช้ได้ 
 
ต่อมา เมื่อนายแพทย์โฮลตันถึงแก่กรรม โฮล์มส์เจรจาขอเช่ากิจการร้านยามาทำเอง ภรรยาของนายแพทย์โฮลตันตอบตกลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหมอโฮล์มส์ก็เบี้ยวค่าเช่า ท้ายสุดไม่ยอมจ่ายเอาดื้อๆ นางโฮลตันจึงต้องฟ้องศาล 
 
แต่เมื่อเรื่องส่งถึงศาล นายโฮลตันก็หายไปอย่างลึกลับ โฮล์มส์อ้างว่านางโฮลตันหมดกำลังใจและย้ายอยู่กับญาติสนิทที่แคลิฟอร์เนีย 
 
ไม่มีใครได้พบร่างเธออีกเลยนับจากนั้น 
 
เชื่อกันว่า นางโฮลตันคงโดนหมอโฮล์มส์ฆ่าทิ้ง 
 
การหายตัวไปของนางโฮลตันทำให้หมอโฮล์มส์ได้เป็นเจ้าของร้านขายยาเล็กๆ นี้อย่างเต็มตัว  เขาดำเนินกิจการในร้านเล็กๆ แห่งนี้จนถึง ปี ค.ศ.  1890 หลังจากสร้างโรงแรมส่วนตัวสำเร็จ หมอโฮล์มส์ก็จัดการขายร้านขายยานี้ในราคาแพงลิบลิ่ว ด้วยวิธีขี้โกง 
 
 
 
แต่ก่อนจะเริ่มสร้างปราสาท ในช่วงนั้นหมอโฮล์มส์ใช้ชีวิตแบบหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมาก ส่วนใหญ่เงินที่ได้มามักมาจากการฉ้อโกงต้มตุ๋น โกงซื้อขายที่ดิน ส่วนรายได้หลักมาจากซื้อสินค้าด้วยเงินเชื่อ และนำสินค้าเปลี่ยนเป็นเงินและชักดาบไม่จ่ายหนี้ จนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักธุรกิจ 
 
นอกจากนี้หมอโฮล์มส์ยังใช้อาชีพของตนในการโกงต้มตุ๋นอีกด้วย เช่น ขายยาแก้โรคพิษสุราเรื้อรังปลอมในราคาแพง, ขายน้ำแร่ปลอมด้วยการอ้างว่าเป็นยาชะลอความแก่, หลอกขายเครื่องผลิตก๊าชหุงต้มจากน้ำประปาให้แก่นักลงทุนแคนาดา(แท้จริงดัดแปลงจากเครื่องซักผ้า) ฯลฯ 
 
นอกจากหลอกลวงคนทั่วไป หมอโฮล์มส์ยังหลอกลวงพ่อแม่ตนเองด้วย เขาแสลงทำเป็นตนเองตายแล้ว เพราะเขาไม่อยากกลับบ้านเกิด 
 
ระหว่างการเดินทางติดต่องานในปลายเดือนธันวาคม 1886 หมอโฮล์มส์ได้พบเมอร์ทา ซี. เบลค์แนพ หญิงอวบ ร่างสูง นิสัยรักสนุก ทั้งสองเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว และแต่งงานอย่างรวดเร็วเช่นกัน(สมรสซ้อน) 
 
โฮล์มส์กับเมอร์ทากลับมาอยู่ด้วยกันที่อิงเกิ้ลวูดให้เธอทำงานเป็นพนักงานขายยาอยู่นานหลายเดือน ก่อนที่หมอโอล์มจะไล่ตะเพิดเธอหลังทนไม่ไหวกับพฤติกรรมเจ้าชู้ของเมอร์ทา 
 
เมอร์ทากลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่อิลลินอยส์พร้อมลูกในท้อง เชื่อว่าโฮล์มส์เองยังมีใตยักเมอร์ทาอยู่ เขามักแวะไปเยี่ยมเยียนเธอเสมอ และส่งเงินไปให้เธอบ่อยๆ แต่ไม่นานนักพ่อของเมอร์ทาก็แจ้งความกล่าวหาว่าหมอโฮล์มส์พยายามวางยาพิษเขาเพื่อเอาสมบัติ นอกจากนี้เมอร์ทายังมีส่วนช่วยหมอโฮล์มในแผนการต้มตุ๋นใหญ่ๆ หลายคดี โดยใช้ชื่อปลอมว่าลูซี เบลค์แนพ และเมอร์ทายังคงจงรักภักดีกับหมอโฮล์มส์แม้เขาจะถูกจับในข้อหาคดีฆาตกรรมในเวลาต่อมา 
 
 
 
ปราสาทมรณะ 
 
 
                ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1888 โฮล์มส์เริ่มต้นสร้างตึกขนาดใหญ่ที่เขาเรียกมันว่า “ปราสาท” บนพื้นที่ 50x162 ฟุต มุมถนนวอลเลขสตรีทกับถนน 63 (นี้เองที่ทำให้หมอโฮล์มส์ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า ปีศาจมุมถนนสตรีท หรือปีศาจบนถนน 63) 
 
“ปราสาท” เป็นตึกสามชั้น มีห้องกว่า 100 ห้องก่อด้วยอิฐแดง มีชั้นใต้ดินอีก 2 ชัน ยอดบนเป็นป้อมเล็กๆ ทำให้ดูแล้วคล้ายปราสาทยุคกลาง จนได้รับขนานนามต่อมาว่า “Bluebeard Castle” หรือ “Murder Castle” 
 
การก่อสร้างปราสาทกินเวลา 18 เดือน ผิดจากที่ประมาทไว้ 6 เดือน แม้ค่าแรงจะถูกมากในสมัยนั้น แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเป็นช่วงเพราะหมอโฮล์มส์ขาดเงิน 
 
โครงสร้างของปราสาทมีลักษณะลึกลับซับซ้อน แม้มีคนงานก่อสร้างมากกว่า 500 คน แต่มีเพียงไม่กี่ตนที่เข้าใจโครงสร้างชั้นใต้ดินทั้งสองชั้น หมอโฮล์มส์ต้องทำตัวเป็นสถาปนิก และวิศวกรคุมงานด้วยตนเอง โดยยืนสั่งผ่านหัวหน้าคนงานจากร้านขายยาตรงข้าม 
 
หมอโฮล์มส์ทำการคัดเลือกคนงานแบบพิถีพิถัน เขาเลือกแบบคนที่เก็บความลับอยู่ หรือไม่ก็พวกที่ไม่มีญาติพี่น้องหายไปก็ไม่มีใครสนใจ ในช่วงเงินขาดมือหมอโฮล์มส์มักหาเรื่องไล่คนงานครั้งละหลายคนด้วยข้อหาต่างๆ นาๆ ก่อนจะถึงงวดจ่ายเงิน หากคนงานคิดทำร้าย หมอโฮล์มส์ก็มีลูกน้องคนสนิทร่างยักษ์ชื่อเบนจามิน เอฟ.พีทีเซล คอยคุ้มกัน 
 
ขณะก่อที่การก่อสร้างดำเนินการใกล้เสร็จสิ้น นายแพทย์โฮล์มส์สั่งซื้อตู้นิรภัยหรือตู้เซฟขยาดใหญ่ชนิดที่คนสามารถเดินเข้าออกได้ เขาสั่งให้ผู้ขายนำตู้เซฟไปติดตั้งไว้ในห้องชั้นสาม จากนั้นเขาก็สั่งโปกปูนติดล้อมเหลือเพียงช่องเข้าเล็กๆ 
 
ภายหลังผู้ขายตู้นิรภัยมาทวงเงินจากหมอโฮล์มส์ แต่โฮล์มส์ไม่ยอมจ่ายหนี้ เมื่อผู้ขายจะเอาเรื่อง โฮล์มเลยท้าว่าว่า เอาตู้เซฟกลับไปได้แต่ห้ามรื้อผนังบ้านของเขาเด็ดขาด ไม่งั้นเขาจะเรียกค่าเสียหาย 
 
ท้ายสุดหมอโฮล์มส์ก็ได้ตู้เซฟฟรีๆ 
 
หมอโฮล์มส์ใช้วิธีเดียวกันในการเอาอุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับบ้านมากมาย 
 
 
 
ปราสาทของหมอโฮล์มส์มีทางเดินวกวนอย่างกับเขาวงกต และมีทางลับเข้าออกมากมาย รวมทั้งมีบันไดลับ ผนังปลอม เพดานหลอกตา ห้องเก็บเสียงชนิดอากาศผ่านเข้าออกไม่ได้ ประตูมีกับดัก เช่นหลังประตูกลอาจมีห้องเก็บเสียงสูง 8 ฟุต, ประตูกลบางแผ่นซ่อนอยู่ใต้พื้นห้องน้ำ ปูทับด้วยพรมหนา มีรางเลื่อนกับกล่องเหล็กใบใหญ่ขนาดตัวคนสามารถลำเลียงคนลงไปสู่ห้องใต้ดิน 
 
บางห้องของปราสาทมีบันได้เชื่อมกับประตูลับ เปิดสู่ถนนใหญ่เหมือนเตรียมไว้ในกรณีหลบหนีฉุกเฉิน ประตูบางบานเปิดออกไปเจอผนังทึบ บันไดลอยบางอันก่อสร้างไร้จุดหมาย ขึ้นแล้วเดินลงคืนที่เดิมเพราะปลายทางตัน ห้องน้ำชั้นสองและสามทุกห้องมีรูสำหรับแอบดูและสามารถใช้เป็นช่องพ่นก๊าชพิษหรือก๊าซสลบ สามารถควบคุมปริมาณก๊าซได้จากอุปกรณ์ลับที่ซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน และมีบางห้องที่หุ้มด้วยใยแก้วกันความร้อน และแผ่นเหล็กป้องกันไฟไหม้ 
อ่านต่อตามลิ้งค์เลยครับ
http://news.clipmass.com/story/27079
#เอช.
kenlive
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
28 ก.พ. 54 เวลา 10:20 16,843 2 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...