เบรก3จีสูญเงินลงทุน2แสนล.มาเลย์เล่นเน็ตแซงไทย17เท่า (ไทยโพสต์)

          นักวิชาการกระทุ้งรัฐหาทางเร่งไลเซนส์ 3 จี เร็วที่สุด งัดตัวเลขเงินสูญ 1-2 แสนล้าน เผยมาเลย์เล่นเน็ตแซงไทยทิ้งห่าง 17 เท่า 

          นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังงานสัมมนา "วิกฤติ 3 จี จุดเปลี่ยนธุรกิจไทย" จัดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า รัฐบาลควรหาทางเยียวยาและเร่งผลักดันการประมูลใบอนุญาต (ไลเซนส์) 3 จี บนคลื่น 2.1 กิกะเฮิรตซ์เร็วที่สุด เนื่องจากมูลค่าการลงทุนที่สูญเสียไปจากการหยุด ประมูล 3 จี คิดเป็นมูลค่า 1-2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ เทคโนโลยี 3 จีมีส่วนช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการในประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการขนส่ง (โลจิสติกส์) ที่ปัจจุบันคิดเป็นต้นทุนสูงถึง 19% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดย 3 จีจะเกิดการพัฒนาแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการภาคการขนส่งและลดต้น ทุนได้ 0.5-1% หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท ภายใน 2 ปี
     
          ขณะเดียวกัน การเปิดให้บริการ 3 จี จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดย เฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นในการเข้าลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติของภาค อุตสาหกรรมไอซีที จากเวลานี้มีมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติโดยรวมต่อปีที่ 9,000-10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้เพิ่มมากขึ้นด้วย
     
          พันเอกนที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันการให้บริการบรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) ในไทยเฉลี่ยราคา 500-600 บาทต่อเดือน คิดเป็น 11% ของรายได้เฉลี่ย ขณะที่ไต้หวันและสิงคโปร์อยู่ที่ 0.01% ของรายได้เฉลี่ย ซึ่งบริการ 3 จีจะช่วยให้บรอดแบนด์ครอบคลุมทั่วประเทศ 80-90% ภายใน 2 ปี เปรียบเทียบกับมาเลเซียที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีประชากรใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าไทย 4 เท่า และภายหลังมีการลงทุน 3 จี ส่งผลมีจำนวนผู้ใช้มากกว่าไทยถึง 17 เท่า
    
          ผลการศึกษายังพบว่า หากมี 3 จี การลงทุนบรอดแบนด์จะลดลงเหลือ 1.8-2.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งภาครัฐต้องลงทุนไฟเบอร์ทูเดอะโฮม (โครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสง) ในเมืองที่หนาแน่น จำนวน 25% ส่วนที่เหลือเป็นการติดตั้งไวแมกซ์ (อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง) และ 3 จี จากเดิมหากติดตั้งเส้นใยแก้วนำแสงอย่างเดียวต้องใช้งบ 6-8 แสนล้านบาท และไวแมกซ์ใช้เงินลงทุน 3-5 หมื่นล้านบาท