เมื่อทหารญี่ปุ่นสั่งให้พลเรือนตัวเองฆ่าตัวตาย เพื่อหนีจากการถูกจับเป็นเชลย

ยุทธการที่โอกินาว่า (Battle of Okinawa) ถือเป็นการรบครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกินเวลาประมาณ 82 วัน ตั้งแต่ 1 เมษายนถึง 22 มิถุนายน 1945 โดยฝ่ายสัมพันธมิตรวางแผนที่จะใช้เกาะโอกินาว่า เป็นฐานปฏิบัติการในการบุกแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น

 

 

การปะทะกันครั้งนี้ เกิดความสูญเสียในฝ่ายทหารญี่ปุ่นกว่า 100,000 คน ฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 50,000 คน ในเวลาเดียวกัน ก็มีประชาชนที่เสียชีวิตจากการถูกโจมตีและจากการฆ่าตัวตายรวมแล้วนับแสนคน

 

 

สิ่งที่น่าเศร้าคือการ พลเรือนชาวโอกินาว่าที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องโดนลูกหลงจากการโจมตีของทางฝั่งสัมพันธมิตร รวมถึงการบังคับให้ฆ่าตัวตายจากกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเอง โดยไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย

 

 

เหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่เกิดขึ้นหลังจากที่ทหารอเมริกันเริ่มจับชาวโอกินาว่าไปเป็นเชลย ซึ่งทางกองทัพญี่ปุ่นได้ประกาศถึงความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น หากพวกเขาตกไปเป็นเชลย จะต้องถูกทรมานอย่างแสนสาหัส

 

 

ดูเหมือนว่าทางกองทัพญี่ปุ่นจะบังคับให้พลเรือนของตนเองฆ่าตัวตาย แทนที่จะถูกจับไปเป็นเชลย โดยมีผลประโยชน์เรื่องเงินบำนาญสำหรับผู้ที่เสียชีวิตในสงครามเป็นสิ่งจูงใจ

 

 

บรรยากาศระหว่างสงครามภาคพื้นดิน นาวิกโยธิน 2 นายจากกองพันที่ 2 กองพลนาวิกโยธินที่ 1 บนสันเขาวานา เตรียมยิงคุ้มกันด้วยปืนกลทอมป์สัน

 

 

ผู้บังคับบัญชากองทัพที่ 32 ของญี่ปุ่น ถ่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945

 

 

พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพโอกินาว่า มีรูปปั้นของทหารญี่ปุ่นและครอบครัวพลเรือน พร้อมข้อความที่ระบุว่า “ด้วยน้ำมือของทหารญี่ปุ่น พลเรือนถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย และฆ่ากันเอง”

 

 

ภาพของเชลยญี่ปุ่นที่ถูกจับในระหว่างสงครามโอกินาว่า

 

 

ส่วนการปะทะกันทางภาคพื้นทะเล ญี่ปุ่นได้ใช้กลยุทธ์ “กามิกาเซ่” ครั้งใหญ่ถึง 7 ครั้ง โดยใช้เครื่องบินมากกว่า 1,500 ลำ ส่งผลให้กองทัพเรือสหรัฐสูญเสียมากที่สุด มากกว่าการสู้รบอื่นๆ ในสงคราม

 

 

ทาเคจิโร่ นากามูระ หนึ่งในชาวบ้านกล่าวว่า ตนเองได้หนีออกจากบ้านพร้อมกับครอบครัว แต่น้องสาวของเขากลับถูกแม่แท้ๆ ของตัวเองรัดคอจนเสียชีวิต เพื่อไม่ให้ตกเป็นเชลยของทหารอเมริกัน

 

 

“ผมได้ยินน้องสาวพูดว่า ‘ฆ่าฉันเถอะ เร็วเข้า’ ซึ่งผมก็พยายามจะรัดคอตัวเองเช่นกัน แต่โชคดีที่ผมบังเอิญรอดมาได้” นากามูระกล่าว

 

 

แต่จากการถูกจับโดยทหารอเมริกัน นากามูระกล่าวว่า มันไม่เหมือนที่ทางจักรวรรดิญี่ปุ่นเตือนเลยสักนิดเดียว “ทหารอเมริกันตรวจผมว่ามีอาวุธหรือเปล่า แล้วเขาก็ให้ลูกอมและบุหรี่กับผม”

 

 

ประวัติศาสตร์ที่แสนโหดร้ายนี้ ทางญี่ปุ่นเองไม่เคยบรรจุมันเข้าในตำราเรียนแม้แต่นิดเดียว นั่นเพื่อเป็นการรักษาความรักชาติในประเทศของตนเองเอาไว้

 

 

แต่จากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจชาวโอกินาว่าในครั้งนี้ ทำให้ผู้ที่รอดชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวหลายคน ปฏิเสธที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นชาวญี่ปุ่น แต่กลับบอกว่าเป็นชาวริวกิว

 

 

และนี่ก็คือเรื่องราวความโหดร้ายที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกลายเป็นการรบมีผู้เสียชีวิตสูงที่สุด และโหดร้ายที่สุดก็ว่าได้
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...