ตำนานชู้รักสท้านแผ่นดิน... สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ตำนานชู้รักสท้านแผ่นดิน... สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แห่งราชวงศ์ปราสาททอง กับพระราชเทวีองค์ที่ 2 เป็นพระอนุชาร่วมพระมารดากับสมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ และเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 

 

  ด้วยเหตุที่เจ้าฟ้าน้อยมีพระจริยวัตรอันงดงาม พระสรีระโสภางดงาม และมีพระฉวีวรรณค่อนข้างขาว ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวสยามในขณะนั้น ทรงเป็นคนที่สุภาพ และรู้จักกันกว้างขวางในหมู่ชนทุกชั้น มีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี และจรรยามรรยาทละมุนละไม เป็นที่นิยมชมชอบในราชสำนัก และประชาชนทั่วไป สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงได้ทรงชุบเลี้ยงเปรียบเสมือนว่าเป็นพระโอรสของพระองค์เอง และได้มีพระดำริพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุดาวดี พระราชธิดาองค์เดียวของพระองค์เป็นพระชายา และเจ้าฟ้าหญิงก็ทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง แต่ความหวังก็พังพินาศลงในกาลต่อมา

 

การเป็นชู้กับพระสนมเอก

    ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) บุตรีของพระนมเปรมซึ่งเป็นผู้อภิบาลถวายการเลี้ยงดูสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเป็นพระขนิษฐาในพระเพทราชา ต่อมาได้ถวายตัวเป็นบริจาริกาในพระนารายณ์มหาราช ได้เกิดความพึงพอใจในเจ้าฟ้าน้อย จึงใช้เล่ห์เพทุบายล่อลวงจนเจ้าฟ้าน้อยเสพสังวาสด้วยกับนางแต่เป็นการลับไม่ถึงพระเนตรพระกรรณ

    แต่ความเกิดแตกเนื่องจากตัวพระสนมเอง โดยนางได้ผ่านทางเข้าห้องที่ประทับของในหลวง ได้เห็นฉลองพระองค์ชั้นนอกของเจ้าฟ้าน้อยถอดวางไว้ ด้วยเป็นธรรมเนียมของการเข้าเฝ้าที่ต้องเปลือยกายครึ่งท่อนเสียก่อน ครั้นนางจำฉลองพระองค์ขององค์ชายได้ จึงให้นางทาสีหยิบนำไปเก็บไว้ที่ห้องของนางเสีย ด้วยคิดว่าองค์ชายจะทราบดีว่าผู้ใดเอาไป แล้วจะได้ติดตามไปในตำหนักของพระนาง แต่เจ้าชายหาได้เฉลียวใจเช่นนั้น 

    เมื่อเจ้าชายออกมาไม่พบฉลองพระองค์ แต่โขลนทวารไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป จึงได้เที่ยวกันตามหาทั่วพระราชวัง เรื่องจึงเข้าถึงพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์จึงทรงพิโรธเป็นอันมากที่มีผู้เข้ามาลักทรัพย์ถึงในพระราชฐาน แค่พระทวารห้องที่ประทับของพระองค์แท้ๆ และผู้ที่มาหยิบก็ต้องออกมาจากพระราชฐานฝ่ายในเท่านั้น จึงมีรับสั่งให้ค้นให้ทั่วทันที 

 

    โดยเข้าไปในตำหนักของพระสนมเอกก่อน จึงได้พบฉลองพระองค์ของเจ้าชาย ที่มิได้ซุกซ่อนให้มิดชิดวางอยู่ เหล่านางกำนัล และนางทาสีจึงชิงกันกราบทูลกล่าวโทษพระสนม สร้างความพิโรธแก่สมเด็จพระนารายณ์ฯเป็นอันมาก แม้กระนั้นพระองค์ก็มิทรงปรารถนาที่จะถือเอาแต่โทสจริต หรือวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้คณะที่ปรึกษาแผ่นดินของพระองค์เป็นผู้วินิจฉัยคนทั้งสอง

    คณะที่ปรึกษาได้พิจารณาลงโทษให้เอานางสนมไปโยนให้เสือกินเสีย ส่วนเจ้าฟ้าน้อยนั้นก็ทรงต้องระวางโทษให้สำเร็จโทษด้วยการใช้ไม้จันทน์สองท่อนบีบอัดเสียให้สิ้นพระชนม์ โดยอย่าให้โลหิตตกต้องแผ่นดินได้ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประหารพระสนมเอกตามคำพิพากษา ส่วนพระอนุชาธิราชได้พระราชทานผ่อนโทษลง ด้วยเหตุที่ว่า พระเชษฐภคินีองค์หนึ่งซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่มากนั้น 

 

    เมื่อใกล้จะถึงกาลกิริยาได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงชุบเลี้ยงพระอนุชาธิราชพระองค์นี้ เสมอว่าพระองค์เป็นพระบิดา ด้วยพระนางเธออำรุงเลี้ยงมาด้วยความเสน่หายิ่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงให้ลงทัณฑ์เสมอที่บิดาทำต่อบุตร แต่ด้วยถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงทรงทรงพิจารณาลงทัณฑ์ให้สาหัสด้วยหวาย และทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนาที่จะสำเร็จโทษเจ้าชาย เพื่อเป็นการแก้แค้นที่กระทำการลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ จึงมีพระราชอาญาให้พระเพทราชา กับพระปีย์เป็นผู้ลงโทษ ทั้งสองได้ปฏิบัติตามคำสั่งโบยจนกระทั่งสลบแน่นิ่งไปเสมือนคนตาย

    แม้กระนั้นก็ยังฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาได้ แต่พระวรกายนั้นบวมผิดปกติ มีอาการอ่อนเปลี้ยที่พระเพลา และมีการคล้ายเป็นอัมพาตที่พระชิวหา ทำให้พูดไม่ได้ บางคนก็กล่าวว่าพระองค์ทรงแกล้งเป็นใบ้เสีย เพื่อมิให้สมเด็จพระนารายณ์ฯแคลงพระทัย ด้วยขุนนางผู้ใหญ่ในแผ่นดิน และพระราชธิดาเองก็ยังสมัครรักใคร่พระองค์อยู่ หากพระองค์แสร้งเป็นใบ้ก็นับว่าพระองค์เป็นคนที่ใจแข็งมาก

ข้อมูลและภาพจาก postjung

18 พ.ย. 59 เวลา 00:14 2,816 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...