ทหารอเมริกันหลอกแต่งงานกับสาวเกาหลี สร้างหนี้กว่า 1 ล้าน ก่อนหนีกลับไปหาลูกเมีย

ในสมัยก่อนหลายคนอาจได้ยินเรื่องราวของทหารที่ถูกส่งตัวไปปฎิบัติหน้าที่ในต่างแดนแล้วไปแต่งงานกับคนพื้นที่ พออยู่กันไปได้สักพักถูกเรียกตัวกลับประเทศก็ไปอย่างโดดเดี่ยวโดยทิ้งครอบครัวไว้ หรือไม่บางรายก็มีครอบครัวรออยู่แล้วที่ต่างแดนอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสมัยก่อน

แต่ล่าสุดทางเว็บไซต์ New York Post ได้นำเสนอเรื่องราวน่าสลดใจของสาวเกาหลีที่ถูกหนุ่มฝรั่งหลอกให้แต่งงานด้วย จากนั้นก็ถูกเรียกตัวกลับประเทศแล้วทิ้งหนี้สินให้ชดใช้เป็นล้าน

โดยโฮวาร์ด มายโรวิทซ์ ทนายความของสาวเกาหลีเปิดเผยเรื่องราวว่า "ราเชล ลี" เป็นหญิงสาวชาวเกาหลีวัย 43 ปี ในเมืองอุยจองบู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเธอได้พบรักกับ "จ่าสิบเอกสก็อต ฟุลเลอร์" ทหารหนุ่มชาวอเมริกันวัย 40 ปี หลังจากที่ทั้งคู่พบเจอและคบหากับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2556 หลังจากนั้น 4 เดือนต่อมาก็ตกลงแต่งงานกัน

ตอนแรกที่แต่งงานกันนั้นราเชล ลี มีความสุขจนคิดว่า ตัวเองเป็นหญิงสาวที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้ชายในฝันเป็นสามี แต่หลังจากใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไม่นานความจริงก็เริ่มเปิดเผย เมื่อฝ่ายชายขอให้เธอช่วยรีเซตโทรศัพท์ให้ แต่เธอกลับพบข้อความหวานๆ ในอีเมล์ โดยเป็นข้อความบอกรักครบรอบแต่งงานกับผู้หญิงที่อเมริกาอีกคน เธอจึงรู้ตัวเลยว่า เธอกำลังตกอยู่ในฐานะ "เมียน้อย"

ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ "แมเรียน ฟุลเลอร์" ภรรยาที่แท้จริงของเขา ทั้งยังเป็นแม่ของลูกเขาอีก 2 คนด้วย หลังจากนั้นชีวิตคู่ของเธอก็พังทลายและเธอตัดสินใจฟ้องสามีของเธอในข้อหา "ฉ้อฉลหลอกลวงและสมรสซ้อน" ซึ่งทางศาลเกาหลีตัดสินโทษให้เขาจำคุกเป็นเวลา 8 เดือน แต่ก็เป็นช่วงเดียวกันกับที่ทางกองทัพสหรัฐฯเรียกตัวเขากลับไปประจำการที่ฐานทัพฟอร์ทดรัม เมืองเจฟเฟอร์สัน สหรัฐฯ และยังปฏิเสธที่จะดำเนินการกับคนของตัวเองอีกด้วย

และไม่เพียงแต่หลอกลวงเธอเท่านั้น เพราะหลังจากที่เขาถูกเรียกตัวกลับไป เขายังทิ้งหนี้บัตรเครดิตกว่า 50,000 ดอลล่าห์ (ประมาณ 1.7 ล้านบาท) ไว้ให้เธอชดใช้แทนอีกด้วย ดังนั้นด้วยความแค้นใจราเชล ลี จึงไม่ยอมแพ้และพยายามเอาผิดต่อ "จ่าสิบเอกสก็อต ฟุลเลอร์" ให้ได้

แม้จะพยายามแค่ไหน แต่เธอก็ยังไม่ได้รับการตอบรับต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทั้งยังไม่สามารถติดต่อเขาได้อีกด้วย โดยเธอเปิดเผยว่า ความรักครั้งนี้ทำให้เธอเสียใจเป็นอย่างมากจนถึงขั้นเคยคิดจะฆ่าตัวตายเลยทีเดียว..

ข้อมูลและภาพประกอบจาก "New York Post"

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...