รร.อิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค เบื้องหลัง “ประตูที่ปิดตาย”

 

 

 

 

 

 
        โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คได้ประกาศปิดกิจการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา แต่วันสุดท้ายของโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยที่ปิดดำเนินการจริงคือวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศอาลัยของแขกที่มาใช้บริการและเหล่าพนักงานที่เหลืออยู่ 
          จากช่วงแรกที่เจ้าของโรงแรมเคยประกาศไว้ว่าอีก 2 ปีจึงปิดโรงแรมเพื่อปรับปรุง แต่เพียงหนึ่งเดือนผ่านไป ผู้บริหารก็เปลี่ยนใจและตัดสินใจปิดโรงแรมทั้งหมดภายในหนึ่งเดือนต่อมา 
       ดังนั้นช่วง 1 เดือนที่เหลือก่อนปิดกิจการจึงกลายเป็นความโกลาหลอลหม่านไปทั้งโรงแรม ประการแรกคือเร่งรีบดำเนินการจ้างพนักงานทั้ง 800 คนให้ออกในสภาพที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ประการต่อมาคือการจัดหาที่พักใหม่ให้กับลูกค้าทั้งประเภทสายการบินที่ทำสัญญาพักเป็นรายปี รวมถึงลูกค้า Longstay ที่พักอยู่กับโรงแรมแห่งนี้เป็นเวลานานจนเหมือนบ้านหลังที่สองไปแล้ว 
          ในวันหนึ่งของการmorning brief ที่มีประจำทุกเช้า มีการอ่านจดหมายของแขกฝรั่งคนหนึ่งที่พักกับโรงแรมมานานกว่า 10 ปี เมื่อรู้ว่าโรงแรมจะปิดทำการในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เขาจึงเขียนจดหมายอำลาอาลัยว่า 
       “ ผมเสียใจที่รู้ข่าวว่าจะมีการปิดโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค ผมพักอยู่ที่นี่นานจนรู้สึกผูกพันว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของผม และพนักงานทุกคนก็เสมือนเป็นคนในครอบครัว หลังจากที่รู้ว่าเหล่าพนักงานถูกปลดออกและจะต้องตกงาน หวังว่าทุกคนคงจะได้งานใหม่ และถ้าเลือกได้ผมจะเลือกเปิดโรงแรมและเก็บพนักงานทุกคนไว้เหมือนเดิม” 
       ถึงจะมีการเสนอให้ฝรั่งคนนี้พักที่โรงแรมแห่งใหม่ แต่เขาก็ปฏิเสธและตัดสินใจว่าจะย้ายออกจากเมืองไทยไปอยู่ที่อื่น 
          หลังจากมีประกาศจะปิดโรงแรมอย่างเป็นทางการนั้น มีการแจ้งให้ลูกค้าที่เป็นเมมเบอร์ การ์ดมาใช้สิทธิทั้งห้องพักและห้องอาหาร ซึ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายเริ่มมีแขกทยอยมาใช้บริการที่พักของโรงแรมคึกคักเป็นพิเศษ จนในวันสุดท้ายมีประมาณเกือบ 100 คน ซึ่งส่วนมากเป็นคนไทยที่มาใช้สิทธิของบัตรเมมเบอร์ การ์ด แม้กระนั้นก็ยังทำให้บรรยากาศของโรงแรมขนาดใหญ่เงียบเหงาและวังเวงอย่างเศร้าสลด 
          แม้จะเป็นวันสุดท้ายของการทำงานของพนักงานที่เหลือ แต่ทุกคนก็ปฏิบัติงานตามหน้าที่อย่างแข็งขันจนถึงนาทีสุดท้าย 
       11.00 น.ลูกค้าที่เข้าพักเริ่มทยอยเช็คเอ้าท์ออกบริเวณหน้าฟร้อนท์ โดยมีจีเอ็มคนสุดท้ายชาวออสเตรเลียมร.ไมเคิล ซีเทค คอยทำหน้าที่ส่งแขกและมอบของขวัญให้กับแขกทุกคนเป็นที่ระลึกในวันสุดท้ายในการปิดบริการของโรงแรม ซึ่งแขกคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์คือสามีภรรยาชาวไทยที่มาพัก 
          หลังจากส่งแขกคนสุดท้ายออกจากโรงแรมแล้ว บริเวณล็อบบี้ขนาดใหญ่ที่เคยมีผู้คนเดินขวักไขว่ก็เงียบเหงาวังเวงจนน่าใจหาย พนักงานเริ่มหยิบมือถือมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก หลายคนเดินไปนั่งที่ลอบบี้ที่ไม่เคยอนุญาตให้พนักงานนั่งในระหว่างปฏิบัติหน้าที่มาก่อน 
          
          มุมหนึ่งที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกคือศาลาไทยที่ตั้งสง่างามอยู่ล็อบบี้อันถือเป็นสัญลักษณ์ของโรงแรม เพราะเป็นงานศิลปะที่ อ.ถวัลย์ ดัชนีได้ฝากไว้เมื่อตอนเปิดโรงแรม 
          
          
          
          เวลาเที่ยงตรงจีเอ็มและเหล่าพนักงานที่มีทั้งศิษย์เก่าที่เพิ่งถูกจ้างออกและพนักงานปัจจุบันรวมกว่า 400 คนรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกันที่ห้องอาหารปาร์ควิว หลายคนกล่าวว่าทำงานที่นี่มานานยังไม่เคยได้รับประทานอาหารที่ห้องนี้เลย นี่ถือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจริง ๆ 
          หลังมื้อเที่ยงผ่านไปท่ามกลางบรรยากาศที่หงอยเหงา พนักงานก็ไปรวมตัวที่ล็อบบี้อีกครั้ง พร้อมกับร่วมกันร้องเพลง “คำสัญญา” ของวงอินโดจีน โดยมีจีเอ็ม มร.ไมเคิล กล่าวปิดท้ายเพื่อขอบคุณและอำลา 
          
          “ผมขอขอบคุณพนักงานทุกคนที่อยู่ร่วมกันทำงานบริการให้กับลูกค้าด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขและเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราทุกคนจะได้ทำงานร่วมกัน ถึงแม้จะรู้ว่าเราต้องตกงานแต่ทุกคนก็ยังทำหน้าที่เพื่อให้บริการลูกค้าจนนาทีสุดท้าย โดยไม่มีใครผละจากงานเลยสักคน….” 
          หลังจากจีเอ็มกล่าวจบ พนักงานทุกคนก็โผเข้ามากอดเขาแล้วร้องไห้ด้วยความอาลัยและปลงตกกับโชคชะตาที่จะต้องเจอหลังจากที่โรงแรมปิดตัวลง ซึ่งแม้แต่จีเอ็มก็ต้องตกงานด้วยเช่นกัน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภูมิใจที่ทำงานโรงแรมที่มีเจ้าของเป็นคนไทย 
          ครั้นเมื่อไม่มีแขกเหลืออยู่และเหล่าพนักงานทุกคนก็เริ่มทยอยกันไปเก็บข้าวของแล้ว จากกำหนดการที่จะปิดประตูใหญ่ทางเข้าโรงแรมตอน 18.00 น. พอถึงเวลา 16.00 น. ประพันธ์ศักดิ์ แพทยานนท์ จีเอ็มคนแรกและมร.ไมเคิล ซีเทค จีเอ็มคนสุดท้ายจึงตัดสินใจปิดประตูกระจกทางเข้าบานใหญ่ที่ไม่เคยปิดเลยมาตั้งแต่เปิดทำการมาเมื่อ 22 ปีที่ผ่าน จากนั้นไฟแชนดาเลียขนาดใหญ่ที่ล็อบบี้ก็ถูกปิดลง พร้อมกับไฟดวงอื่น ๆ ทิ้งความมืดสลัวในบรรยากาศที่เศร้าสลด
       เป็นการปิดฉากสุดท้ายของโรงแรมอิมพีเรียลควีสน์ปาร์คอย่างถาวร
ที่มา: http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000123103
 
 
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...