ฆาตกรโหดสะท้านโลก เอช. เอช. โฮล์มส์ (H.H. Holmes) หมอปีศาจ 2

 

เหยื่อ 
 
ด้วยเหตุว่า หมอโฮล์มส์ทำลายซากศพที่เหยื่อเขาฆ่าจนสิ้นซาก อีกทั้งเหยื่อที่เขาฆ่าส่วนใหญ่มักอยู่ตัวคนเดี่ยวไม่มีญาติที่ไหน ทำให้ทางการไม่สามารถระบุว่ามีเหยื่อจำนวนทำไหร่ถูกข่มขืน ทรมาน ถูกฆ่า 
 
เชื่อกันว่าตัวเลขประมาณเหยื่อที่ถูกฆ่าน่าจะใกล้เคียงอยู่ราว 100-150 คน เฉพาะผู้หญิงไม่รวมถึงเด็ก ในจำนวนดังกล่าวมีผู้หญิงหน้าตาดีเป็นพิเศษประมาณ 50 คน  เกือบทั้งหมดเป็นโสด เข้ามาแสวงโชคหางานทำโดยมีจุดมุ่งหมายที่งานเอ็กซ์โป 
 
เมื่อหมอโฮล์มส์พบเหยื่อที่หมายปอง หมอโฮล์มส์จะเชิญมาดื่มไวน์พร้อมเลี้ยงอาหารค่ำ จากนั้นก็เสนอตำแหน่งในร้านพร้อมที่พักอาศัยในปราสาท 
 
หากเธอตอบตกลง นั้นคือเธอไม่วันกลับออกจากปราสาทอีกเลย 
 
ส่วนใหญ่หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของโฮล์มส์มักจะเป็นพนักงานพิมพ์ดีดหรือนักจดชวเลข ซึ่งมาสมัครตามใบประกาศ และก่อนเริ่มงานหรือระหว่างทดลองงาน หญิงสาวเหล่านี้มักตายด้วยการรมก๊าซพิษ หรือวางยาสลบ จากนั้นก็ลำเลียงไปยังห้องใต้ดินด้วยการผ่านทางประตูกล 
 
ในบางครั้งหมอโฮล์มส์ก็ใช้กุญแจต้นแบบไขไปยังห้องนอนหญิงสาว โปะยาสลบด้วยผ้าชุบคลอโรฟอร์ม และรากตัวเหยื่อมายังล้อเลื่อน นำตัวไปห้องลับ จากนั้นก็ทำการทำลองวิปริตที่ไม่มีใครเข้าใจว่ามันมีอะไรบ้าง 
 
เหมือนดั่งที่เขาทำกับสัตว์เล็กๆ สมัยเด็กๆม่ปาน 
 
เมื่อความสนุกหมดลง หมอโฮล์มส์จะลงมือฆ่าแบบเลือดเย็น เช่นให้กินยาพิษ ไม่ก็เชือดคอ นำศพไปเผา เศษเถ้าหรือเนื้อที่ยังเหลือถูกนำไปแช่ถังน้ำกรด แต่ถ้าบางรายที่เขาชอบพิเศษเขาจะฆ่าแล้วเหลือกระดูกไว้ นำมาต่อกันเป็นรูปโครงกระดูกมาไว้แสดงในตู้กระจก 
 
ท้ายสุดเมื่อเล่น ดูจนเบื่อ เขาก็ขายโรงเรียนแพทย์เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือสอนนักเรียน หรือเอาไปประดับที่ร้านขายยาเพื่อเพิ่มความขลัง 
 
ส่วนทรัพย์สินส่วนตัวจะถูกทำลายหมด แต่ถ้าเป็นของมีค่าหมอโฮล์มจะเปลี่ยนมันเป็นเงิน 
 
 
 
นอกเหนือมูลเหตุจูงใจที่หมอโฮล์มส์ฆ่าเหยื่อตอนต้นเรื่องแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่หมอโฮล์มส์ฆ่าเหยื่อคือ “ฆ่าเอาเงินประกัน” มีครั้งหนึ่งหมอโฮล์มส์เคยชวนพนักงานหญิงทำเงินประกันชีวิต ในวงเงิน 10,000 เหรียญสหรัฐ โดยระบุว่าหมอโฮล์มส์จะต้องได้รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวหากเธอตาย โดยหมอโฮล์มส์จะจ่ายค่าเสียเวลาให้เธอทันที 6,000 เหรียญ 
 
โชคดีหญิงดังกล่าวไม่เล่นด้วย ทำให้เธอรอดพ้นอุ้งมือปีศาจในที่สุด.... 
 
หลังจากหมอโฮล์มส์ถูกจับกุม หมอโฮล์มส์ได้เขียนเรื่องราวชีวิตของตนเอง สารภาพว่าเขาทำการฆาตกรรมอย่างน้อย 27 ราย และพยายามแต่ล้มเหลวอีก 6 ราย  โดยขายลิขสิทธิ์นี้ให้แก่วิลเลียม แรมดอล์ฟ เฮิร์สท์ เจ้าพ่อหนังสือพิมพ์ 
 
แต่กระนั้นไม่มีใครรู้ว่าคำสารภาพของหมอโฮล์มส์ทั้งหมดมีตอนไหนเป็นเรื่องจริง ตอนไหนเป็นนิยายแต่งเองหรือเปล่า? เพราะมีหลายตอนเหมือนกันที่ไม่ตรงกับหมอโฮล์มกล่าวไว้ 
 
จากคำสารภาพของหมอโฮล์มส์ อ้างว่าเหยื่อรายแรกที่เขาฆ่าคือนายแพทย์ โรเบิร์ต ลีค็อต แห่งเมืองนิวบัลติเมอร์ รัฐมิชิแกน เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเด็ก ซึ่งโฮล์มส์ฆ่าเขาเพื่อเอาเงินประกัน 40,000 เหรียญในปี 1886 
 
นอกจากนั้นหมอโฮล์มส์ยังกล่าวว่าเขาลงมือสังหารนายแพทย์ รัสเซล ผู้เช่ารายหนึ่งเหตุเพราะทะเลาะเรื่องค่าเช่า เขาทุบรัสเซสด้วยเก้าอี้แข็ง และทำลายศพแบบหมดจดแบบไม่มีหลักฐานเหลือด้วยการแช่น้ำกรด แล้วนำโครงกระดูกไปขายโรงเรียนแพทย์ ได้เงินราว 25-45 เหรียญ 
 
หมอโฮล์มส์สารภาพอีกว่าเขาฆ่าจูเลียสมิธ คอนเนอร์และลูกสาวของเธอ ต่อด้วยฆ่าคู่ตกปลาเพื่อชิงทรัพย์ แล้วฆ่านักค้าที่ดินเก็งกำไรรายหนึ่ง 
 
ซึ่งตำรวจเชื่อว่าการลงมือแต่ละครั้งหมอโฮล์มส์น่าจะมีผู้ร่วมคบคิดด้วย 
 
แต่การลงมือสังหารครั้งต่อไป หมอโฮล์มส์เริ่มฆ่าแบบมีเหตุผลมากขึ้น และวางแผนไม่บุ่มบ่ามเสี่ยงภัยเหมือนครั้งที่ผ่านมา 
 
ในหนังสือประวัติ หมอโฮล์มส์เล่าเป็นฉากๆ เลยว่าเขาฆ่าใครไปบ้าง เช่น 
 
- ฆ่าลิซซี่หญิงรับใช้ปราสาท 
 
- เมียน้อยของแพน ควินแลน ลูกน้องคนสนิทที่ทำหน้าที่ดูแลปราสาท ด้วยการล่อแล้วปิดล็อกห้องนิรภัยให้เธอขาดอากาศตายอย่างทรมาน 
 
- นางซาร่า คุก นักชวเลขและหลาน ฆ่าเพราะเธอมาเห็นเขาตอนทำลายศพเหยื่อ 
 
- ฆ่าเอมิลีน ซิแกรน์ หญิงงามที่เขาเคยหลงใหลปลื้ม 
 
- โรซีน แวน แจสแชนด์ นางบำเรอ ฆ่าด้วยพิษไซยาไนด์ และฝังเธอไว้ที่ห้องใต้ดิน 
 
- โรเบิร์ต ลาติเมอร์ ผู้ดูแลปราสาท ผู้พบความลับของหมอเรื่องต้มตุ๋นโกงเงินจากบริษัทประกันชีวิต และแบล็กเมล์หมอ แต่กลับโดนฆ่าปิดปาก โดยครั้งแรกคิดไว้ว่าจะกักขังในห้องลับเพื่ออดอาหารตาย แต่หมอโฮล์มส์ทนไม่ไหวเพราะต้องใช้ห้องลับนี้สังหารเหยื่อรายอื่นๆ อีก เลยฆ่าแบบวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล 
 
- ฆ่านางสาวแอนนา เบทส์ โดยการลอบวางยาพิษแทนยารักษาโรคจ่ายยาให้เธอและต่อมาก็ฆ่าน้องสาวของเธอด้วยวิธีการเดียวกัน 
 
ฯลฯ 
 
ต่อมาหลังจากที่หมอโฮล์มส์ติดตั้งเตาเผาศพในห้องใต้ดินสำเร็จ เขากระวนกระวายอยากทดลองใช้มันมาก เหยื่อรายแรกที่ถูกนำมาทดลองในการฆ่านี้ หมอโฮล์มส์บอกว่าเป็นนายวอร์เนอร์ จากบริษัทตัดกระจกวอร์เนอร์ 
 
จากนั้นหมอโฮล์มส์กับลูกมือคนหนึ่งก็ช่วยกันฆ่ารอดเจอร์สนายแบงก์ โดยการทรมานอดอาหารพร้อมกับรมก๊าซพิษให้เกิดอาการอาเจียนทรมาน เพื่อให้เขายอมเซ็นชื่อในเช็คธนาคารมูลค่า 70,000 เหรียญ 
 
เป็นเรื่องน่าแปลก หรืออาจเป็นเพราะเขาโกหกจนเป็นนิสัย หมอโฮล์มส์สารภาพว่าฆ่าคนไปมากมาย แต่มีเหยื่อสามคนที่ตำรวจพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้เสียชีวิต คือ นายวอร์เนอร์ และโรเบิร์ต แลตติเมอร์ ที่ปรากฏตัวแล้วบอกว่าเขายังอยู่สุขสบายดี ไม่ได้ตายตามที่หมอโฮล์มส์อ้าง ส่วนอีกราย ญาติพี่น้องต่างรู้ดีว่าแท้จริงแล้วตายเพราะอุบัติเหตุรถไฟ 
 
อาจเป็นไปได้ว่าหมอโฮล์มอาจสับสนเพราะเขาฆ่าคนไปมากมายเกินกว่าจะจดจำรายละเอียดได้ทั้งหมด หรือไม่ก็เขาเจตนาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือกับคำสารภาพของตนเอง 
 
อัยการเจ้าของคดีพูดถึงเรื่องนี้ว่า “คำสารภาพเป็นส่วนผสมระหว่างเรื่องจริงและเท็จ เขาอดไม่ได้ที่จะโกหก” 
ในเงื่อมมือปีศาจ 
 
 
               จากบันทึกของหมอโฮล์มส์ มีเหยื่อหลายคนถูกฆ่าจำนวนมาก บางรายจริงบางไม่จริงบ้าง จึงขอยกตัวอย่างรายที่คาดว่าเป็นจริงดังต่อไปนี้ 
 
 
 
มินนี และแนนนี วิลเลียมส์ 
 
 
                มินนี วิลเลียมส์ และน้องสาว ทั้งคู่หายสาบสูญจากโลกแทบไม่มีหลักฐานจะสาวถึง ตำรวจมารู้ความจริงจากปากคำหมอโฮล์มส์นี้เอง ที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้สองสาวอยู่ไหน 
 
โฮล์มส์เล่าวว่า รู้จัก มินนี วิลเลียมส์ดี ครั้งแรกเจอที่นิวยอร์ก ปี 1888 ตอนที่เขาใช้ชื่อปลอมว่าเฮ็ดเวิร์ด แฮทซ์ ต่อมาก็พบเธออีกครั้งที่บอสตันในขณะที่เขาใช้ชื่อปลอมว่าแฮรี กอร์ดอน 
 
ช่วงนี้เองที่เขาชักชวนเธอให้เป็นนักจดชวเลขประจำตัว 
 
อย่างไรก็ตาม กว่าที่ทั้งคู่จะทำงานร่วมกัน ก็วันที่ 1893 และเพียงไม่กี่สัปดาห์ถัดมาก็กลายเป็นนางบำเรออีกคน 
 
มินนีไม่ใช้คนสวย เป็นเป็นผู้หญิงหน้าตาเรียบๆ ลำตัวท่อนล่างสั้น เจ้าเนื้อ ผมเป็นลอนสีน้ำตาลอ่อนตีกรอบรอบหน้า โดยรวมๆ แล้วเธอสวยน้อยกว่านางบำเรอคนอื่นๆ ของหมอโฮล์มส์ด้วยซ้ำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่หมอโฮล์มส์สนใจเธอ 
 
สิ่งนั้นคือความเป็นทายาทในมรดก มูลค่ากว่า 40,000 เหรียญ(ยี่สิบสี่ล้านบาท) 
 
มินนีหลงเชื่อหมอโฮล์ม นั้นทำให้เธอแสดงเจตจำนงมอบมรดกเหล่านั้นให้แก่หมอโฮล์มส์ในที่สุด 
 
                ที่จริงหมอโฮล์มคิดกำจัดมินนีโดยทันทีแล้ว แต่มาติดปัญหาตรงที่มินนีมีน้องสาว ชื่อแนนนี ที่รู้ทันโลกมากกว่าพี่สาว เธอรู้ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงทั้งสองโดยตลอดจากจดหมายของมินนีพี่สาวของเธอ 
 
                หมอโฮล์มส์วิตกว่าถ้ามินนีตายเร็วหรือตายผิดปกติ แนนนีอาจโวยวายแจ้งตำรวจจนสร้างปัญหาแก่เขาได้ เพื่อแก้ปัญหานี้เขาจึงให้มินนีเขียนจดหมายถึงน้องสาว ชักชวนเธอมาเที่ยวงานเอ็กซ์โป ในชิคาโก ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในเวลานี้ 
 
                แนนนีหลงกลรับคำเชิญอย่างตื่นเต้น และเธอก็ได้พักในปราสาทของหมอโฮล์มส์ด้วยความยินดี 
 
                วันที่ 3 กรกฎาคม 1893 แนนนีไปเที่ยวงานเอ็กซ์โปอย่างสนุกสนาน 
 
                วันถัดมา หมอโฮล์มส์พาแนนนีไปเยี่ยมชมห้องนิรภัย 
 
                จากนั้นแนนนีหายสาบสูญ....... 
 
                ภายหลังตำรวจทำการตรวจสอบห้องนิรภัยพบว่า มีรอยเท้าที่คาดว่าเป็นของแนนนีประทับติดตามผนังด้านใน แสดงถึงความพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดของเธอก่อนที่จะขาดอากาศหายใจตาย 
 
                ไม่รู้หมอโฮล์มส์จะแก้ตัวเรื่องน้องสาวหายตัวแก่นินนีได้อย่างไร ต่อมาไม่นานหมอโฮล์มส์ก็ขับรถพามินนีไปยังบ้านหลังหนึ่งในอิลลินอยส์ วางยาพิษเธอ และฝังศพไว้ในห้องใต้ดิน 
 
                จากนั้นมินนีก็หายสาบสูญไปตามน้องสาวไปอีกคน.....ตลอดกาล 
 
 
 
                จูเลีย สมิธ คอนเนอร์ และเพิร์ล 
 
               
                จูเลีย สมิธ อายุ 18 ปี จากดาเวนพอร์ต ไอโอว่า 
 
                จูเลียเป็นคนสวย มีความสูงเกือบ 6 ฟุต รูปร่างอวบอั๋น มีชายหมายปองหลายคน เคยสมรสกับเน็ต ที. คอนเนอร์ พ่อค้าเพชรอัญมณีและนาฬิกา ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1880 เธอจึงใช้นามสุกลว่า คอนเนอร์ 
 
                ต่อมาปี ค.ศ. 1887 จูเลียได้กำเนิดลูกสาวชื่อเพิร์ล จากนั้นก็ย้ายตามสามีมาชิคาโก สามีเธอสมัครทำงานเป็นผู้จัดการร้านจิวเวอรี่ของหมอโฮล์มส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1890 
 
                เดือนพฤศจิกายน ปี 1890 ด้วยสัญญาจ้างงาน ทำให้เน็ตได้รับสิทธิ์พาครอบครัวมาพักที่ห้องพักชั้นสามของปราสาท 
 
                วันหนึ่งน้องสาววัยสิบแปดของเน็ด ชื่อเกอร์ทรูด จากเมืองมาสคาทีน ไอโอวา แวะมาเยี่ยมและขอพักอาศัยด้วยชั่วคราว หญิงสาวต้องตาต้องใจกับหมอโฮล์มส์อย่างจัง หมอโฮล์มส์ถึงขั้นบอกหลงรักและขอแต่งงาน เกอร์ทูดตกใจตั้งรับไม่ทันขอกลับบ้านเกิดทันที และเมื่อหมอโฮล์มส์เห็นท่าหญิงสาวไม่รับความปรารถนาของตน หมอโฮล์มส์เลยแอบวางยาพิษ และเกอร์ทรูดตายหลังหนีออกจากปราสาทในหนึ่งเดือนต่อมา 
 
                ต่อมาไม่นานหมอโฮล์มส์เปลี่ยนเป้าหมายเป็นจูเลีย พอมาถึงเดือนมีนาคม 1891 ทั้งสองกลายเป็นคู่รักกันอย่างเปิดเผย โฮล์มส์ให้เธอคุมการเงินของร้านขายยา 
 
                ส่วนเน็ดผู้เป็นสามีทนสภาพสวมเขาไม่ไหว เขามีปากเสียงรุนแรงกับภรรยา จูเลียยอมหย่ากับสามีเก่าตามที่หมอโฮล์มส์ขอร้อง 
 
                3 เดือนต่อมา เน็ดทำการหย่ากับภรรยา และลาออกจากร้านจิวเวอรี่ ย้ายไปชิคาโก ทิ้งจูเลียและลูกในปราสาท 
 
                หลังหย่า จูเลียเริ่มก้าวก่ายธุรกิจของหมอโฮล์มส์มากยิ่งขึ้น พอมาถึงฤดูใบไม้ร่วงปี 1891 หมอโฮล์มส์เริ่มเบื่อหน่ายกับจูเลียที่จุ้นจ้านและขี้หึง ชอบอาละวาดที่เธอไปเห็นเขานอนกับหญิงอื่น 
 
                ความอดทนมาถึงขีดสุดในเดือนพฤศจิกายน จูเลียประกาศว่าตั้งครรภ์กับหมอโฮล์มส์ บีบให้เขาจัดพิธีแต่งงานด้วย 
 
หมอโฮล์มส์ตอบตกลง 
 
                ในคืนคริสต์มาสอีฟ หมอโฮล์มส์จัดการฆ่าหนูน้อยเพิร์ล ก่อนที่จะพาจูเลียลงบันไดกลับไปยังห้องทรมานใต้ดิน เธอไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลย 
 
                เมื่อถูกใครถามว่าจูเลียหายไปไหน หมอโฮล์มส์ตอบว่าเธอหนีกลับไปอยู่กับสามีเก่า 
เดือนมกราคม ปี 1992 หมอโฮล์มส์จ้างคนงานประกอบโครงกระดูกมนุษย์เพื่อไปตั้งแสดง ชื่อนายชาร์ลส์ เอ็ม.แชมเพล หมอโฮล์มส์พาเขาเข้าไปในห้องบนชั้นสองที่นั้นชาร์ลส์พบซากศพผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ 
 
                ชาร์ลส์เล่าว่าซากนั้นเปลือยอย่าน่าขนลุกมาก เหมือนกระต่ายที่ถูกถลกหนังทิ้ง เนื้อบางส่วนหลุดหายไป หมอโฮล์มส์จ้างเขาด้วยเงิน 36 เหรียญ แลกกับการขัดกระดูกให้สะอาดและประกอบให้เป็นโครงร่างให้สวยงามพร้อมตั้งโชว์ 
 
                ชาร์ลส์รับงานนี้ พร้อมเบน พีทีเซล ลูกน้องคนสนิทของโฮล์มส์เป็นลูกมือ และงานเสร็จในสัปดาห์ต่อมา หมอโฮล์มส์รีบนำโครงกระดูกนี้ไปขายมหาวิทยาลัยในฟีลาเดลเฟียทันที ในราคา 200 เหรียญ 
 
                ต่อมาโครงกระดูกนี้ ถูกเปลี่ยนมือ โดยศัลยแพทย์ ดร.พอลิง นำไปประดับคลินิกของตนด้วยความชื่นชมว่า เป็นโครงกระดูกที่สูงที่สุดที่เขาเคยพบ “เธอสูงเกือบหกฟุตแนะ” 
 
 
 
                เอมีลีน ซิแกรนด์ 
 
                เอมีลีน ซิแกรนด์ อายุ 24 ปี อดีตเคยเป็นเลขานุการจดชวเลขให้นายแพทย์ท่านหนึ่งในสถาบันคีลีย์ ซึ่งรักษาผู้ติดสุราเรื้องรังด้วยสารประกอบของทองคำ 
 
                ที่จริงเอมีลีนไม่มีทางเจอหมอโฮล์มส์ด้วยซ้ำ ถ้าเธอไม่ไปพบผู้ช่วยของหมอโฮล์มที่ชื่อ เบน พิทีเซล 
 
                เบน พิทีเซล เป็นโรคติดสุราเรื้อรัง ช่วงนั้นเขามารักษาที่นี้ และพบเอมีลีน ทั้งทีที่พบเขาประทับใจมากมากถึงกลับมาเล่าให้หมอโฮล์มส์ฟัง เบนพยายามตามจีบเอมีลีนด้วยการโอ้อวดความร่ำรวยของตนในฐานะผู้ช่วยคนสนิทของหมอโฮล์มส์ 
 
                ส่วนหมอโฮล์มส์หลังจากได้ฟังเรื่องจากลูกน้องคนสนิทเขาเขียนจดหมายถึงเธอ แนะนำตัวเสร็จสรรพ พร้อมยื่นตำแหน่งงานเลขานุการส่วนตัวทันทีด้วยอัตราค่าจ้างที่สูงมากในขณะนั้นเป็นเงิน 18 เหรียญต่อสัปดาห์ มากกว่างานเดิมจนเอมีลีนตื่นเต้น 
 
                หมอโฮล์มส์เริ่มหลอกล่อหญิงสาวด้วยการให้ช่อดอกไม้สม่ำเสมอ พาเยี่ยมชมเมือง กินอาคารค่ำสุดหรู เดินช้อปปิ้งแบบไม่อั้น ฯลฯ 
 
                จากในกลางฤดูร้อน เอมีลีนก็ตกเป็นนางบำเรอของหมอโฮล์มส์ 
 
                ต้นฤดูใบไม้ร่วงหญิงสาวเขียนจดหมายถึงเพื่อนว่ากำลังจะแต่งงาน ส่วนหมอโฮล์มส์ต้องใช้ชื่อปลอมในการจดทะเบียนสมรส ชื่อ โรเบิร์ต อี.เฟลนส์ เพื่อป้องกันการจดทะเบียนสมรสซ้อนเพราะผิดกฎหมาย เขายังบอกเธอด้วยว่าเขาเป็นลูกชายลอร์ดในอังกฤษ ถ้าเขาแต่งงานกับเธอเขาจะพาเธอไปฮันนีมูนที่ยุโรป 
 
                เดือนตุลาคม ญาติของเธอมาเยี่ยมเอมีลีน และรู้สึกทะแม่งกับความเป็นอยู่และโครงสร้างของปราสาท ญาติของเอมีลีนพูดเตือนเอมีลีนให้ระวังหมอโฮล์มส์ แต่เธอไม่สนใจ 
 
                ทั้งสองวางแผนแต่งงานกันในวันที่ 7 ธันวาคม 1892 
 
                ก่อนถึงวันแต่งงานหมอโฮล์มส์ขอให้เอมีลีนจ่าหน้าซองเปล่าถึงญาติสนิทและเพื่อนของเธอ บอกว่าจะส่งการ์ดเชิญไปทางไปรษณีย์ 
 
                วันที่ 6 ธันวาคม หมอโฮล์มส์ขอให้เธอหยิบเอกสารสำคัญที่ห้องนิรภัย นั้นคือตู้เซฟขนาดใหญ่ที่คนเข้าออกได้ หลังเอมีลีนเดินเข้าไปหมอโฮล์มส์จัดการงับประตูเหล็กขังเอมีลีนไว้ด้านใน ปิดล็อกแน่นหนา เขายกเก้าอี้มานั่งหน้าประตูเซฟ เอาหูแนบฟังบานเหล็กฟังเสียเอมีลีนร้องคร่ำครวญจากด้านใน จนทำให้หมอโฮล์มส์เกิดอารมณ์วิปริตต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองต่อเนื่องหลายครั้งหลายชั่วโมง ก่อนที่เอมีลีนจะตายเพราะขาดออกซิเจน 
 
                วันรุ่งขึ้นหมอโฮล์มส์ร่วมกับแพน ควินแลน ผู้ดูแลปราสาทและลูกน้องอีกคน เปิดตู้เซฟ พวกเขายกหีบใบหนึ่งขึ้นรถและหายไปสองวัน 
 
                วันที่ 17 ธันวาคม ญาติและเพื่อนสนิทของเอมีลีนได้รับการ์ดแต่งงานไปรษณีย์ 
 
                วันต่อมาหมอโฮล์มส์ขายโครงกระดูกผู้หญิง 1 โครงให้แก่โรงเรียนแพทย์ลาซาล 
 
                ภายหลังหมอโฮล์มส์สารภาพว่าเขาฆ่าเอมีลีนเพราะเธอตีตนออกห่าง แต่ตำรวจพบว่าหมอโฮล์มส์ได้ซื้อประกันชีวิตให้แก่เอมีลีนในวงเงินที่สูงมาก โดยให้ตัวเขาเองเป็นผู้ได้รับผิดประโยชน์หากเธอตาย 
 
อ่านต่อตามลิ้งค์เลยครับ
http://news.clipmass.com/story/27080
28 ก.พ. 54 เวลา 10:31 5,348 1 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...