พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ถูกส่งตัวเข้าแดนแรกรับ  พร้อมขังรวมกับนักโทษคดีเดียวกัน ยืนยัน ไม่มีการขังเดี่ยว

          หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112/ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับประโยชน์/ จูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์/ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ/ ผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และข้อหาอื่น ๆ ก่อนโยงเข้าไปกับคดีเสี่ยโจ้ ปัตตานี จ่ายสินบนน้ำมันเถื่อน จนเป็นเหตุให้มีการสั่งย้ายผู้การตำรวจน้ำ จำนวน 3 ราย และออกหมาย 5 ผู้ร่วมขบวนการ รวมถึง 3 ผู้ต้องหานามสกุล อัครพงศ์ปรีชา ที่มีการแอบอ้างสถาบันรับจ้างทวงหนี้และบังคับลดหนี้ตามที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านั้น

            ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2557 พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ ผบช.ก. ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่ออีกครั้ง ด้วยท่าทางเคร่งเครียดอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด หลังถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำถึง 5 วัน และหลังจากนี้ ตำรวจจะส่งตัวผู้ต้องหาไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยที่ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์  จะต้องถูกทำประวัติเป็นผู้ต้องขังใหม่ มีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสุขภาพ และปฏิบัติตามขั้นตอนผู้ต้องขังใหม่ทุกประการ โดยในระยะแรกจะอยู่ที่แดนแรกรับ ซึ่งในกรณีของ  พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ จะถูกส่งตัวไปอยู่กับผู้ต้องขังในคดีเดียวกัน ที่มีการเรียกรับสินบน แอบอ้างสถาบัน รวมกับกลุ่มตระกูลอัครพงศ์ปรีชา ไม่มีการแยกคุมขังกลุ่มคนดังกล่าว และไม่แยกไปคุมขังในแดนอื่น เพราะยังเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ระว่างการพิจารณาคดี

            ส่วนการดำเนินคดีนั้น ตำรวจยืนยันว่าจะกระทำไปตามข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย ไม่มีการซ้อมผู้ต้องหา และจะมีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง ไม่ว่าผู้ต้องหาจะมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม

            ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า จากการสอบปากคำ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์  นั้น ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี อีกทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้จัดตั้งพนักงานสอบสวน เข้ามาสืบสวนของกลางและดูแลคดีเพิ่ม เพราะอาจมีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มอีก  

            อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้วรวมทั้งหมด 22 คน และสามารถจับกุมได้แล้ว 17 คน อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน 2 คน และอยู่ระหว่างติดตามจับกุม อีก 5 คน
 

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก