สัตว์ในตำนาน



สัตว์ในตำนาน




Dover Demon

 


นี่ มันเอเลี่ยนชัดๆ เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รองจากบอสตัน ในมลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977 รูปร่างคล้ายมนุษย์ต่างดาว สูงประมาณ 4 ฟิต ผิวขรุขระ หัวรูปร่างคล้ายแตงโม ตาเปล่งแสงสีส้ม ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกันในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก



 

ธันเดอร์เบิร์ด (Thunderbird) นกยักษ์ในตำนานของอินเดียนแดง

 


ธันเดอร์ เบิร์ด (Thunderbird) เป็นชื่อนกยักษ์ในตำนานของอินเดียนแดง ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกาเหนือ เชื่อกันว่า ธันเดอร์เบิร์ด มีความกว้างของปีกทั้งสองข้างยาวถึง 8 เมตร และแรงกระพือของปีกเวลาบินก่อให้เกิดทอร์นาโดและฟ้าร้อง ปรากฏการณ์ฟ้าแลบนั้น เชื่อว่าเกิดจากแสงสะท้อนของแสงอาทิตย์กระทบ
กับตา ของธันเดอร์เบิร์ด ธันเดอร์เบิร์ดเป็นนกที่ชาวอินเดียนแดงให้ความนับถือเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า โดยมักจะประดับอยู่ที่ยอดเสาอินเดียนแดง (Totem pole) สันนิษฐานว่าความเชื่อเรื่องธันเดอร์เบิร์ด อาจจะมาจากนกจำพวกแร้งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ คือ แร้งแคลิฟอร์เนีย (Gymnogyps californianus) ซึ่งในอดีตเคยมีอยู่มากมาย แต่สถานะในปัจจุบันเป็นสัตว์ที่อยู่ในขั้นใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตแล้ว ความเชื่อเรื่องธันเดอร์เบิร์ดได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าลือ เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในหลายที่ของสหรัฐอเมริกา เช่น ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ หรือที่รัฐเพนซิลวาเนีย โดยมีรายงานการพบเห็นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1840 จนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้านั้นมีการเล่าลือโดยชาวอินเดียนแดงมานับเป็น ร้อย ๆ ปี โดยลักษณะของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นธันเดอร์เบิร์ด เป็นนกที่มีขนาดประมาณเครื่องบินขนาดเล็กหนึ่งลำ
มีรูปร่างเหมือนนก อินทรีขนาดใหญ่ มีดวงตาสีดำขนาดใหญ่และมีจะงอยปากแข็งแรงมาก ขนทั้งตัวมีสีดำหรือสีเทาหรือสีน้ำตาล มีขาหนาและกรงเล็บใหญ่กว่าขนาดมือของมนุษย์เสียอีก โดยพยานผู้พบเห็นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 มักกล่าวตรงกันว่า เมื่อแรกเห็นพวกเขาเห็นเป็นเพียงเงาบินผาดผ่าน แต่เมื่อมองขึ้นไปแล้วเห็นเป็นสิ่งว่าเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก แต่เมื่อพิจารณาอย่างชัด ๆ ขึ้นไปแล้ว พบว่าเป็นนกคล้ายนกอินทรีหรืออีแร้งขนาดใหญ่ มีขนสีดำ บินได้สูงและสง่างามโดยไม่ได้กระพือปีก แต่เมื่อกระพือแล้วก็ทำให้สูงขึ้นไปอีก ยิ่งโดยเฉพาะในปี ค.ศ. 2001
มี ชายคนหนึ่งอ้างว่า ได้พบเห็นมันอย่างน้อย 20 นาที และเห็นรูปร่างของมันอย่างเต็มที่ มีความกว้างของปีกทั้งสองประมาณ 15 ฟุต และความยาวลำตัวถึง 5 ฟุต โดยเขากล่าวว่ามันเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา




 

Goatman

 


โกท แมนเป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแพะลึกลับที่โด่งดังมากในเขต เมือง Prince George รัฐแมรีแลนด์ การพบเห็นครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในปี 1957 ทาง ตอนบนของเมือง Marlboro และเมือง Forestville ท่อนล่างของร่างกายขาและเท้ามีกีบเหมือนแพะ ท่อนบนของร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะมีเขาแพะ ผิวหนังบนร่างกายปกคลุมไปด้วยขน สูงประมาณสองเมตร หนักกว่า 130 กิโลกรัม หลายคนเชื่อว่าโกท แมนน่าจะเป็นญาติห่างๆกับบิ๊กฟุต หรือมีความได้โกทแมน เกิดขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อพันธุกรรมของคนและแพะเข้า ด้วยกัน โดยศูนย์ค้นคว้าและวิจัย beltsville แห่งเมือง prince george อันเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานโกทแมน แต่อย่างไรก็ตาม ตามแบบฉบับสิ่งมีชีวิตลึกลับ มักจะไม่ค่อยให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่า เชื่อถือซึ่งแสดงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของมัน



 

Sigbin

 


Sigbin เป็นสิ่งมีชีวิต ฟิลิปปินส์กล่าวไว้ว่ามันจะออกมาเวลากลางคืนเพื่อดูดเลือดจากผู้ที่ตกเป็น เหยื่อ มันคล้ายแพะและมีหูที่ใหญ่และมีหางยาวที่สามารถใช้เป็นแส้ได้ และยังสามารถปล่อยกลิ่นเหม็นๆได้ มีสองขาเหมือนขาตั๊กแตน นักวิทยาศาสตร์พบสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะดูคล้ายๆ กัน แต่ก็ยังไม่อาจมีข้อสรุปถึงสัตว์ที่เชื่อมโยงเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันได้

 

คิสึเนะ

 


คิ สึเนะ (ญี่ปุ่น: ? Kitsune ?) ตามความเชื่อแล้วคิสึเนะ เป็นจิ้งจอกที่มีพลังเวท มีทั้งพวกที่จัดว่าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นข้ารับใช้ของเทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งการเพาะปลูก และพวกที่จัดว่าเป็นผีร้าย คิสึเนะมีความเชี่ยวชาญในมนต์มายา และวิชาแปลงกาย ซึ่งบ่อยครั้งที่มักจะแปลงกายเป็นมนุษย์ เชื่อกันว่าสุนัขจิ้งจอกที่อายุยืน และมีตบะแก่กล้ามากพอ จะสามารถกลายเป็นคิสึเนะได้ เมื่อคิสึเนะอยู่จนครบ 100 ปี จะมีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหาง และมีพลังแข็งแกร่งขึ้น และหากมีหางครบเก้าหางเมื่อไหร่ จะมีพลังมหาศาลและชาญฉลาดอย่างยิ่ง คิสึเนะมีสังคมคล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าและยืนสองขา บางครั้งก็เข้ามาปะปนอยู่กับ มนุษย์ธรรมดา คิสึเนะสามารถแปลงกายได้แนบเนียน จนมนุษย์ธรรมดาจับไม่ได้ คิสึเนะตนใดถูกมนุษย์จับได้ จะถูกลงโทษอย่างหนักจากสังคมคิสึเนะ การที่คิสึเนะจะสำเร็จ วิชาแปลงกาย สามารทำได้หลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้กะโหลกมนุษย์ช่วยในการแปลงกาย แต่คิสึเนะที่ไม่ระมัดระวังอาจจะเหลือหลักฐานบางอย่าง อย่างเช่น ลืมแปลงกายอวัยวะบางส่วนที่อยู่ใต้เสื้อผ้า

เมื่อคิสึเนะแปลงร่าง เป็นมนุษย์ มันก็มีความรู้สึกหรือความต้องการคล้ายมนุษย์เช่นกัน คิสึเนะชอบกินของอร่อยๆ โปรดปรานเต้าหู้ทอด ชอบการได้สัมผัสกาย รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์ เป็นหนึ่งในปิศาจที่มีเรื่องเล่าถึง สายสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้งกับมนุษย์ การที่คิสึเนะต้องแปลงกายมาปะปนกับมนุษย์ไม่มีเหตุผลที่แน่นอน บางครั้งเชื่อว่า มันมาเพื่อค้นหาความรัก มีเรื่องเล่าว่า มีคิสึเนะที่แปลงกายเป็นสตรีที่งดงามและแต่งงานอยู่กินกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถสืบทายาทได้ด้วย ทายาทคิสึเนะจะมีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ รวมไปถึงมีพลังเวทติดตัว และมีเสน่ห์ที่ประหลาด จนมีคำเล่าลือว่า องเมียวที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ อาเบะโนเซย์เมย์ (Abe no Seimei) เป็นทายาทของคิสึเนะ

มนต์มายาของคิสึเนะลึกล้ำมาก ถึงแม้ว่ามนุษย์จะรู้ว่าต้องมนต์ของคิสึเนะ แต่สัมผัสของมนต์มายาก็เหมือนจริง จนแทบแยกความจริงกับภาพมายาไม่ออก คิสึเนะที่มีตบะมากจะรู้จิตใจของมนุษย์ ทำให้สามารถสร้างภาพมายาที่มนุษย์คนนั้นต้องการเห็นได้ ทำให้แม้มนุษย์อยากปฏิเสธ ก็ยากที่จะทำได้



 

นางอสูรซิลลา (Scylla)

 


สำหรับ อสูรตัวนี้ หลายคนอาจจะคุ้นในชื่อของสคิวเลอร์ อิโอ หรือหนึ่งในขุนพลของเทพโพเซดอนในเซนต์เซย์ย่า เป็นผู้ครอบครองพลังแห่งสัตว์ร้ายทั้ง 6 ชนิด นั่นเอง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอสูรผู้เฝ้าทะเลเช่นกัน ซึ่งในตำนานกรีกบทหนึ่งกล่าวว่า นางซิลลานั้นเป็นผู้ที่คอยเฝ้าทะเลทางฝั่งช่องแคบเมสสิน่า มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในถ้ำของช่องแคบนั้น สำหรับรูปร่างของนางซิลลานั้น ร่างกายด้านบนจะเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม แต่ท่อนล่างจะมีลักษณะของสัตว์ร้าย 6 หัว 12 เท้า และมีสร้อยรูปหัวสุนัขที่เห่าอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้นนางซิลลาไมได้มีรูปร่างเป็นแบบนี้ (อีกแล้ว) แต่เดิมนั้นเธอเคยเป็นนางอัปสรที่งดงามตนหนึ่ง แต่ถูกสาปโดยแม่มดที่ริษยาในความงามของเธอ จนกระทั่งกลายเป็นอสูรร้ายไป และต้องมาคอยเฝ้าช่องแคบ คอยจับมนุษย์หรือสัตว์ที่ผ่านไปกินเป็นอาหารตามที่กล่าวไปนั่นเอง



 

ปลาอานนท์

 


ใน สมัยโบราณ มีความเชื่อกันว่า ใต้โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งหนุนโลกอยู่ชื่อว่า ปลาอานนท์ ปลาอานนท์นี้ตัวยาวถึง ๘,OOO,OOO วา (อ่านว่า ๘ ล้านวา) เมื่อใดก็ตามที่ปลาอานนท์เคลื่อนไหวพลิกตัว เมื่อนั้นโลกจะเกิดแผ่นดินไหว ในตำนานไฟล้างโลก กล่าวว่า เมื่อคนทั้งหลายกระทำแต่บาป ไม่รู้จักศีล ม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่ ลูกศิษย์คิดล้างครู ใจบาปหยาบช้า ผลของบาปจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตก แสงแดดแผดจ้า น้ำจะแห้งขอด สัตว์จะพากันล้มตาย ในเวลาต่อมา พระอาทิตย์จะขึ้นเป็น ๒ ดวง ดวงหนึ่งตกไป อีกดวงก็ขึ้นมาแทน ยิ่งแห้งแล้งหนักขึ้น ต่อมาพระอาทิตย์จะขึ้นเป็น ๓ ดวง ๔ ดวง ๕ ดวง ๖ ดวง และในที่สุด ก็จะมีพระอาทิตย์ถึง ๗ ดวง พญาปลาทั้งหลาย รวมทั้งปลาอานนท์ก็จะละลายเป็นน้ำมัน ติดไฟลุกไหม้ กลายเป็นไฟล้างโลก เรียกว่า ไฟบรรลัยกัลป์ ไฟนี้จะลุกไหม้ยายนานจนทุกอย่างสิ้นสูญแล้วไฟจึงจะดับ เหลือแต่ความมืดมนอนธกา



 

ชูปากาบรา

 


เป็น สิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น แพะ ด้วยการดูดเลือดเป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน ที่เปอร์โตริโก มีนักสำรวจท้องถิ่นได้สำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชูปากาบรา และพบถ้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของมัน และรอยเท้าของชูปากาบราก็มีลักษณะใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ

ที่รัฐเทกซัส มีเกษตรกรรายนึงอ้างว่าเขาสามารถยิงชูปากาบราได้และฝังมันไว้ในที่ดินที่ บ้านของเขาโดยเจ้าตัวที่เชื่อว่าเป็นชูปากาบรานั้นได้ฆ่าไก่ของเขาไปแล้วถึง 3 หน ซึ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างแปลกมาก คือ ตัวเป็นสีฟ้าปนสีเทาและไม่มีขนแต่จากการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์จากกะโหลก และตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ชนิดนี้แล้วนั้น พบว่า เป็นเพียงสุนัขไคโยตี้ที่เป็นขี้เรื้อนเท่านั้น

และจากการศึกษาซาก สัตว์ที่เชื่อว่าตายด้วยการดูดเลือดของชูปากาบราจนหมดตัวนั้นของแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญพบว่า แท้จริงแล้วเลือดในตัวสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้ามองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวเลย เป็นเพราะเลือดในตัวสัตว์นั้นได้หยุดไหลเมื่อหัวใจหยุดเต้น และเชื่อว่าสัตว์ที่โจมตีสัตว์เหล่านี้นั้น น่าจะเป็น สุนัขป่าหรือลิงป่า

อย่าง ไรก็ตาม จากภาพสเกตช์ของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ชูปากาบรามีรูปร่างหน้าตาหลากหลายต่างกัน แต่มีลักษณะที่ร่วมกันคือมีหน้าตาคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า เกรย์ (Grey) แต่มีขาหลังที่ใหญ่คล้ายจิงโจ้ ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 พยาบาล 2 คน ได้พาสุนัขไปเดินเล่นแถวริมทะเลสาบ ที่รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดาได้พบเห็นสัตว์ตัวหนึ่งที่มีลักษณะประหลาด คือ ร่างกายเต็มไปด้วยขน แต่หัวล้านเลี่ยน หน้าตาน่ากลัว ลำตัวยาว ขายาว มีหางคล้ายหนู ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า คือสัตว์อะไร มีผู้เชื่อว่าคือ ชูปากาบรา

 

เยติ

 


เย ติ หรือ มนุษย์หิมะ Yeti, Abominable Snowman เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง เยติปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงในนิทานและเพลงพื้นบ้านและเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคย พบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 300 ปี และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังศีรษะของเยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะ แห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มี ลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น บิ๊กฟุต หรือ ซาสควอทช์

นอก จากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น เธลม่า (Thelma), แปลว่า "ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสมกิ่งไม้และชอบร้องเพลงขณะที่เดินไป, ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์, มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ, เมียกา (Mirka) แปลว่า "คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์มันจะทำร้ายจนถึงแก่ ความตาย, คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" เป็นต้น ซึ่งเรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัครชาวอเมริกันที่ทำงานใน เนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง โดยเธอบอกว่าขณะกำลังนำจามรีไปดื่มน้ำที่ลำธาร เยติตัวหนึ่งก็โผล่มาทำร้ายเธอ แต่เธอกรีดร้องลั่น จนมันปล่อยเธอ และหันไปทำร้ายจามรีของเธอจนมันถึงแก่ความตายด้วยการบิดเขาและหักคอ

เรื่อง ราวเยติเป็นที่สนใจของชาวตะวันตก เมื่อชาวตะวันตกได้เข้ามาบุกเบิกและยึดครองดินแดนแถบนี้ ได้มีการตามล่าและค้นคว้าเกี่ยวกับเยติ ซึ่งก็ได้พบกับหลักฐานการมีอยู่ของเยติมากมาย ทั้ง รอยเท้า ขนและมูล และแม้กระทั่งประจักษ์พยานที่เคยได้พบเห็น ซึ่งโดยมากเป็นนักปีนเขา ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นรูปถ่าย โดยรูปถ่ายของรอยเท้าเยติรูปแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยถ่ายไว้ได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,029 เมตร




 

เฟนเรอ (Fenrir)

 


เป็น แนวความเชื่อของชนเผ่าสแกนดิเนเวียนโบราณ Fenrir หรือ Fenris เป็นอสูรร้ายขนาดมหึมาในร่างของสุนัขป่า เป็นลูกคนโตของโลกิ(Loki)และนางยักษ์ Angrboda มีพี่น้องอีก 2 หน่อคือ พญางูพิษJormungand กับยักษ์สาว Hella (....พี่น้องคนละสปีชี่ย์กันดีจัง) เหล่าเทพได้ทรงพยากรณ์ว่าเจ้าหมาป่านี่ สักวันจะก่อเกิดกลียุคและทำลายล้างโลก เหล่าเทพจึงได้จับ Fenrir ไปขังไว้ในคุก มีเพียงเทพแห่งสงคราม Tyr ที่กล้าเข้าไปให้อาหารและคอยดูแลFenrirเท่านั้น

เมื่อFenrirยังเป็น เพียงลูกหมา เหล่าเทพก็ไม่เห็นว่าเจ้าตูบนี่มันจะน่ากลัวน่าเกรงข ามตรงไหน แต่พอวันคืนผ่านไปมันเติบโตจนเต็มวัย ก็พากันตัดสินใจปราบเจ้าFenrirซะดีกว่า เพราะมันตัวโตเบ้อเร่อเท่อ หน้าตาก็เอาเรื่องชะมัด แต่ก็ไม่มีองค์ไหนกล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับหมาป่ายักษ์ โต้งๆ เหล่าเทพจึงออกอุบายเล่นเกมส์ท้า กับFenrir ว่าพวกหมาป่าน่ะ ร้อยทั้งร้อยจะอ่อนแอต่อโซ่และไม่สามารถทำลายเมื่อถูกตรวนได้หรอก แบบนี้มันหยันศักดิ์ศรีแห่งความเป็นหมาป่ากันชัดๆ Fenrirรับคำท้า ยอมปล่อยให้มาล่ามตรวนเขา แต่โชคร้ายคราวซวยของเหล่าเทพ Fenrirนั้นมีเรี่ยวแรงมหาศาลเหลือคณานัป แม้ว่าจะเอาโซ่ตรวนที่แข็งแรงที่สุดมาถักทอราวใยแมงมุมขึงล่ามเขาไว ้ Fenrirก็สามารถกระชากขาดได้หมด หลังจากนั้น เหล่าเทพก็มองหาทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ โซ่มนตรา จึงสั่งให้พวกคนแคระทำสิ่งที่แข็งแรงมากพอจะตรวนเจ้าหมาป่านั่น ได้ ผลที่ได้ออกมาคือ ริบบิ้นที่อ่อนนุ่มและเรียบบางชื่อGleipnir ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานอย่าง ไม่น่าเชื่อ ตรงข้ามกับลักษณะภายนอกที่เห็นกันราวฟ้ากับเหว ริบบิ้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาจากธาตุประหลาด 6 อย่าง : รอยเท้าแมว , รากภูเขา , เคราผู้หญิง , ลมหายใจปลา , เอ็นหมี , เสมหะนก

เหล่าเทพพยายามออก อุบายเล่นเกมส์กับ Fenrir อีกครั้ง พอ Fenrir เหล่มองความบางของโซ่ก็กล่าวว่าให้ทำลายโซ่บอบบางอย่างนี้มันไม่น่าภูมิใจ อะไรสักนิด แต่ในท้ายสุดเขาก็ตอบตกลง แต่ก็อดระแวงไม่ได้ว่า พวกเทพวางแผนเพื่อให้ความแข็งแกร่งและห้าวหาญของตนกลายเป็น ของตลก Fenrir จึงหันไปเรียกร้องให้เหล่าเทพประกันความบริสุทธ์ใจ โดยให้ใครสักองค์หนึ่งวางมือระหว่างคมเขี้ยวของตน ไม่มีเทพองค์ไหนกล้าพอรับคำท้า เพราะต่างก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีเพียงเทพTyrเท่านั้น ที่กล้าอาสารับคำท้า เหล่าเทพจึงได้ตรวนหมาป่ายักษ์ไว้ด้วย Gleipnir หลังจากนั้น ไม่ว่าFenrirพยายามฉุดกระชากรุนแรงปานใด เขาก็ไม่สามารถทำให้ริบบิ้นบางเบาเช่นนั้นขาดสะบั้นล งได้ พอพวกเทพปฏิเสธที่จะแก้ริบบิ้นให้ Fenrir ก็รู้ว่าตนนั้นถูกหลอกเสียแล้ว ด้วยความโกรธา Fenrir จึงได้งับมือของ Tyr เป็นการแก้แค้น พวกเทพต่างพากันปิติเป็นล้น พ้นที่ปราบเจ้าหมาป่ายักษ์ลงได้ และพาFenrirไปล่ามไว้ที่หินนาม Gioll ณ ใต้โลกที่ลึกลงไป 1 ไมล์ พวกเทพเอาดาบค้ำระหว่างปากของFenrirไว้ป้องกันไม่ให้กัดใครได้ จวบจนถึงวันแห่งแรคน่าร็อก (Ragnarok) Fenrir จะกระชากตรวนนั้นขาดและออกมาเข้าร่วมกับเผ่ายักษ์ในสงครามต่อต้านพระ เจ้า เขาจะตามหาเทพ Odin ผู้ทรงม้า 8 ขาและขย้ำสังหารเคี้ยวกลืนลงคอ Vidar ลูกชายของเทพ Odin จะแก้แค้นให้แก่พ่อของเขาโดยใช้มือเปล่ากระชากกรามขอ ง Fenrir ออกมาทั้งยวง



 

ฮังการีหางหนาม (Hungarian Horntail)

 


คาด ว่าดุร้ายที่สุดในบรรดามังกรทุกสายพันธุ์ พันธุ์ฮังการีหางหนาม มีเกล็ดสีดำ และรูปร่างคล้ายกิ้งก่า ตาสีเหลือง เขาสีบรอนซ์ และ ตลอดหางอันยาวเหยียดของมัน ก็มีหนามแหลมสีบรอนซ์เช่นเดียวกัน พันธุ์หางหนามพ่นไฟได้ไกลที่สุด (ไกลสุดถึง 15 ฟุต) ไข่สีเทาเหมือนสีเมนต์และเปลือกแข็งมากตัวอ่อนจะเจาะเปลือกไข่ออกมาโดยใช้ หางซึ่งมีหนามแหลมติดตัวมาตั้งแต่เกิด พันธุ์ฮังการีหางหนาม กินแพะ แกะ และถ้าเป็นไปได้ก็จะกินมนุษย์เป็นอาหาร


 

เวลส์สีเขียวธรรมดา (Common Welsh Green)

 


พันธุ์ เวลส์สีเขียวนั้นสีกลมกลืนกับหญ้าเขียวสดที่บ้านเกิดของพวกมันเป็นอย่างดี มักจะทำรังอยู่บนภูเขาสูง ซึ่งกำหนดไว้เป็นเขตอนุรักษ์ เพื่อให้มันอยู่อาศัย ถ้าไม่นับเหตุการณ์ที่อิลฟราคอมบ์ สายพันธุ์นี้ก็จัดอยู่ในประเภทที่สร้างปัญหาน้อยที่สุด มันชอบกินแกะเป็นอาหาร และจะหลีกเลี่ยงจากมนุษย์ ยกเว้นเมื่อถูกรบกวน พันธุ์เวลส์สีเขียวมีเสียงคำรามที่สูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนดนตรีอย่างน่าประหลาด และเป็นเสียงที่จดจำได้ง่าย มันจะพ่นไฟเป็นลำบาง ๆ ไข่เป็นสีน้ำตาลหม่น ๆ มีจุดสีเขียว



 

โรมาเนียน ลองฮอร์น (Romanian Longhorn)

 


หรือ โรมาเนียเขายาว มีเกล็ดสีเขียวดำเขาสีทองเป็นประกาย ซึ่งมันจะใช้เสียบเหยื่อย่างไฟของเขามันเมื่อเอาไปป่นเป็นผงแล้วมีค่ามาก ใช้เป็นเครื่องปรุงยาได้ ปัจจุบันนี้ดินแดนแหล่งกำเนิดของพันธุ์โรมาเนียเขายาวได้กลายเป็น เขตอนุรักษ์พันธุ์มังกรที่สำคัญที่สุดในโลก ซึ่งพ่อมดทุกสัญขาติ ได้ศึกษามังกรพันธุ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด พันธุ์เขายาวถูกจัดอยู่ในโครงการ เพาะพันธุ์เร่งด่วนด้วย เนื่องจากจำนวน ของมันลดต่ำลงในช่วงสองสามปีที่ ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นเพราะการซื้อขายเขาของมัน ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นสินค้าซื้อขายได้



 

เพรูเวียน ไวเปอร์ทูท (Peruvian Vipertooth)

 


หรือ เปรูเขี้ยวพิษ เป็นมังกรพันธุ์เล็กที่สุด และบินได้เร็วที่สุด ความยาวอยู่ราว ๆ สิบห้าฟุต เกล็ดเรียบสีทองแดง และมีสันสีดำ เขาสั้น เขี้ยวมี พิษร้ายแรง พันธุ์เขี้ยวพิษโปรดปรานแพะและวัวแต่ก็ชื่นชอบรสเนื้อมนุษย์ด้วย จนสมาพันธ์พ่อมดนานาชาติจำเป็นต้องส่งผู้ควบคุมไปลดปริมาณของพันธุ์เขี้ยว พิษเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านั้นปริมาณของมังกรนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ



 

นอร์เวย์หลังเป็นสัน (Norwegian Ridgeback)

 


นอร์เวย์ หลังเป็นสันมีความคล้ายคลึงกันมังกรพันธุ์ฮังการีหางหนามในหลาย ๆ ด้าน แต่แทนที่จะมีหนามแหลมที่หางมันจะมีสันสีดำสนิท ยื่นออกมาจากหลังแทน พันธุ์หลังเป็นสันจะดุร้ายกับพันธุ์เดียวกันมากเป็นพิเศษทุกวันนี้มันจัด เป็นหนึ่งในสายพันธุ์มังกรที่หายากขึ้นทุกที มันเคยโจมตีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่บนดินมาแล้ว แทบทุกชนิดและที่ต่างจากมังกรทั่วไปคือมันกินสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำด้วย รายงาน ที่ปราศจากหลักฐานระบุว่ามังกรพันธุ์นี้เคยโฉบเอาลูกปลาวาฬไปจากชายหาดแห่ง หนึ่งในนอร์เวย์เมื่อปี ค.ศ.1802 ไข่ของพันธุ์หลังเป็นสัน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ นักโทษแห่งอัสคาบันมีสีดำ และตัวอ่อนจะพัฒนาความสามารถในการพ่นไฟได้เร็วกว่าพันธุ์อื่น (ระหว่างหนึ่งถึงสาม เดือนเท่านั้น)



 

สวีเดนจมูกสั้น (Swedish Short-Snout)

 

 
 
 
เป็นมังกรสีฟ้าเหลือบเงินแสนสวย คนมักเอาหนังของมันมาทำถุงมือและโล่ เปลวไฟที่พ่นออกมาเป็นสีฟ้าใส ซึ่งเผาผลาญไม้และ กระดูก เป็นเถ้าถ่าน ได้ภายในไม่กี่วินาที พันธุ์จมูกสั้นฆ่ามนุษย์น้อยกว่ามังกรส่วนใหญ่ มันมักอาศัยอยู่ตามป่าและบริเวณภูเขาที่ไม่ทีคนอาศัยอยู่ จึงไม่มีวีรกรรมมากนัก



เครดิต :  shibooki7 http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=790348, http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=792653&postdays=0&postorder=asc&start=0 และ http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=862215&sid=2230280f997a6f710b7b653840e057c0



 
 
 
 
10 ธ.ค. 56 เวลา 18:46 9,435 3 300
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...