ตำนานเมืองและเรื่องลึกลับที่กลายเป็นเรื่องจริง (ตอนที่ 2)



ตำนานเมืองและเรื่องลึกลับที่กลายเป็นเรื่องจริง





บางครั้งเรื่องจริงก็เหลือเชื่อกว่านิยายเสีย อีกนะนี่ บ้านเรามีผีอาฆาต, ความเชื่ออะไรน่ากลัว และที่เมืองนอกก็มีเหมือนกันนะครับ แถมบางเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่ฮิตในอเมริกา แต่แล้วจู่ๆ เรื่องนี้กับกลายเป็นเรื่องจริงซะนี่


The Clown Statue / The Clown Doll

 

 


ชาวอเมริกัน บางคนกลัวตัวตลกครับ (จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก

โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้องอยู่นั้นก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง (บางที่ก็บอกพี่เลี้ยงเด็ก) พ่อแม่เด็ก ถามเด็กว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก(ตุ๊กตาตัวตลก)ในห้องของผมที ครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ

เมื่อพ่อแม่ ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้นนั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันทีและผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวก เขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัดไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen  King's It (1990)  หรือเรื่อง Killer Klowns(1988), Clownhouse(1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น

และมันก็ เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าคนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัว เป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง (และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี(John Wayne Gacy 1942 ~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบแต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด


 

The Living Severed Head

 

 


เป็น ความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!! และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตาพะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม

เรื่องเหล่านี้เริ่ม ขึ้นในช่วงที่กิโยติน หรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั่นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต  หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต (Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูด คำว่า “ไม่ได้” (couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่

ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำการทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ (Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน (แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกอีกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที

แพทย์ สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว

แม้สมัยนี้กิโยตินจะถูกยก เลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกคนหนึ่งศีรษะถูก ตัดออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า "หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”

 

Mummy Funhouse

 

 


ใน ระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านผีสิงนั้นทั้งสองได้เห็นมัมมี่สยองตัวหนึ่ง มันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังหรือกระดูกมนุษย์ มันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด ระหว่างที่ทั้งสองสำรวจนั้นเองก็พบว่ามันคือของจริง!!

มันเป็นจริงซะ งั้น!! คงจะเคยได้ยินมาบ้าง ที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้าง ภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด (เรื่อง The Six Million Dollar Man) ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง (Amusement Park in Long Beach) ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งลูกมือกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอมหากแต่มันเป็นของจริง!!

มัมมี่ตัวนั้นถูกส่ง ไปยังห้องชันสูตรของนครลอส แองเจลีส โดยมีนายแพทย์โธมัส โนกูชิ พนักงานชันสูตรทำการเอาขี้ผึ้งซึ่งหุ้มไว้หลายชั้นออกก่อน จึงได้พบว่าข้างในนั้นเป็นร่างแห้งๆ ของชายคนหนึ่งอายุอานาม 30 ปีเศษ ซึ่งเสียชีวิตมานานแล้วจากบาดแผลรอยกระสุนถูกยิง

จากการสอบถามพบว่า มัมมี่ตัวนี้คือ เอลเมอร์ แม๊กเคอร์ดี้ (Elmer McCurdy) อดีตวายร้ายชื่อกระฉ่อนแห่งโอ๊คคลาโฮม่า ที่เที่ยวออกอาละวาดปล้นรถไฟ และธนาคารอยู่แถบโอ๊คลาโฮม่าสมัยที่ยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยการถูกยิงตายในการดวลปืนหมู่เมื่อเดือนตุลาคม 1911

ทำไม ศพวายร้ายเร่ร่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา ถึงต้องมีการดองเก็บไว้ไม่ให้เน่า ใครเป็นคนทำและเพื่ออะไร คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากสันนิษฐานว่าสัปเหร่อคงมองเห็นช่องทางทำเงินให้กับเขา จึงเก็บมาดองแล้วตั้งไว้มุมห้องเก็บศพ ใครที่อยากเห็นวายร้ายตัวจริงๆ ก็ต้องจ่ายเงิน 1 นิคเกิ้ล หรือ 5 เซนต์ให้กับคนจัดงานคาร์นิวัลเร่ ซึ่งเขาขายต่อให้สวนสนุกอีกทอดหนึ่ง

การสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริง หรือนิยายก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มัมมี่ตัวนั้นถูกยกให้พิพิธภัณฑ์โอ๊คลาโฮม่าเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1977 และเขาก็ไม่มีโอกาสโชว์ตัวอีกเลย เมื่อเขากลับบ้านเกิดที่โอ๊คลาโฮม่าแล้วถูกฝังลงในสุสานบู๊ตฮิลล์ในที่สุด



 

The Body in the Bed

 

 


มี ชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องโรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหารกลางวันโรงแรมฟรี และส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้องและพยายามกำจัดกลิ่น

หลัง จากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้ง และขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกับการพนัน เลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่งแม่บ้าน มาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด

และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!

มัน เป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วย คงเคยได้ยินเรื่องผีช่องแอร์ใช่มั๊ย นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง แต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ และตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุ ได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา  ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล (Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมี กลิ่นหื่น จนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว

ที่ แคสซัสซิตี้ 14 กรกฎาคม 2003 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้ไปสอบสวน กรณีมีการพบศพชายนิรนามถูกฆ่าและยัดใต้ที่นอนในโรงแรมท้องถิ่น ซึ่งศพนั้นถูกยัดไว้ทั้งอาทิตย์แต่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั่งแขกที่เข้ามาพักในห้องทันไม่ไหวต่อกลิ่นจนกระทั้งเรียกแม่บ้านมาทำ ความสะอาดก็พบเรื่องน่ากลัว

วันที่ 15 มีนาคม 2010 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมนฟิสได้รับแจ้งว่ามีการพบศพที่ห้อง 222 ที่โรงแรม Budget lnn เป็นร่างกายของหญิงคนหนึ่งชื่อโซนี่ (Sony Millbrook) ที่พบภายในเตียงสปริง โดยฆาตกรได้ฆ่าเธอและยัดใส่เตียงสปริงเพื่ออำพรางคดี จากการสอบสวนพบว่าศพดังกล่าวอยู่ในห้องมานานโดยมีห้องเช่าที่มีศพในเตียง นั้นถึง 5 รายและทำความสะอาดหลายครั้ง โดยไม่เอะใจเลยว่าในเตียงสปริงมีศพอยู่

หรือจะเอาประเทศไทย ก็มีข่าวทำนองนี้มากมาย (ลองพิมพ์คำว่า ยัดศพใต้เตียง ที่กูเกิ้ลละกัน)


The Curiously Realistic Decoration



ใน วันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคน ฆ่าตัวตายของจริง!!

มันกลายเป็นจริงซะงั้น! วันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอริดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมงโดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายราย จนกระทั่งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า

ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ Mostafa Mahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย เพื่อนบ้านบอกว่าที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นและปล่อยศพทิ้งไว้ เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีน จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวันโดยลูกกระสุนที่ยิงที่ตา




The Toxic Woman



ผู้หญิง คนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรอง กลับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัสหรือดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อ มา....................

มันกลายเป็นจริงซะงั้น! เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ (Gloria  Ramirez) อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทาง ใต้ของริเวอร์ไซด์ ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่น หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูดตะกุกตะกัก โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ

คณะแพทย์ที่ รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดยาให้กับเธอ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่นของผลไม้ออกจากปากของเธอ

แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อ วิเคราะห์ นางพยาบาลทำการแนบกระบอกฉีดยา เลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยามันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้า ของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น อาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชัก จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับเพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด

ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยว กับเหตุการณ์นี้ พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมาน และตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาทีหลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ (แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดดม สามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ

ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้น และคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ในบรรดาพนักงานที่ ล้มป่วย เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และจากผลการตรวจเลือดผู้ป่วยทั้งหมดก็พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆเลย จึงสรุปปรากฏการณ์ที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ว่าเป็นอุปทานหมู่ ทำให้เรื่องราวของเธอยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้




The Headless Lover



หญิง ท้องคนหนึ่ง บอกสามีของเธอว่า ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายอีกคน ด้วยเหตุผลทั้งหมด สามีเลยตัดสินใจตัดหัวชู้รักแล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าหลายแบบ แต่หลักๆ แล้วมันก็แนวนี้แหละ

มันกลายเป็น จริงซะงั้น! จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt  Stephen  Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี 1993 เขากำลังยินข่าวดีเมื่อภรรยาเขาตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมันแล้ว (ตรูเป็นหมันแล้วมันท้องได้ไงฟ่ะะ) ไดแอนจำต้องยอมรับว่าเธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์

โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก

ธันวาคม ตอนเย็น ไดแอนที่ตั้งครรภ์แก่ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เธอโทรศัพท์ถึงชู้รักของเธอเกรกอรี่ และแล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาดไป ไดแอนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้น แต่เธอไม่ต้องคิดนานหรอก เพราะอีกชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า "ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ” สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขาแล้ว



Something Off About That Picture



มี ชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาที่ร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถามหญิงชราว่านี่ใครกัน “โอ!!” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย??”

มันเป็นจริงซะงั้น! Post-mortem photography หมายถึงภาพที่ระลึกหลังความตาย เป็นงานศิลปะมากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้เสมือนพวกเขามีชีวิต (ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก) ก่อนนำไปฝัง

การถ่ายภาพนี้นิยมในหมู่ชนชั้นกลางสมัยวิคตอเรียน ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาว หรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็ก รับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้วเด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ

นอก จากนี้ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นหบาทหลวงที่ตายแล้ว ก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิต อยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อ ใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น


 

 

Drugs Smuggled in Baby's Corpse

 

 


โดยเรื่องนี้เป็นตำนานเมืองเก่า ที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ปี 1970 โดยเรื่องเล่าว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานไป ท่องเที่ยวสนุกสนานที่ชายแดนเม็กซิโก โดยพวกเขานำทารกสองขวบไปด้วย หากแค่พวกเขาคาดสายตาทารกแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเองเด็กทารกก็หายไป พวกเขาได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ออกตามหา และ 15 นาทีต่อมาพวกเขาก็ได้พบเด็ก ผู้เป็นแม่วิ่ง ไปขอบคุณตำรวจ  แต่หลังจากนั้นวินาทีหลังจากนั้นความดีใจก็หายไปทันทีเมื่อพวกเขาพบว่าเด็ก ทารกที่ว่านั้นตายมานาน ตั้งแต่ 45 นาทีที่หายไปแล้ว ที่ท้องเด็กถูกผ่าออกและข้างในยัดด้วยโคเคน สาเหตุคือพวกโจรลักพาเด็ก ต้องการศพเด็กนั้นเพื่อซ่อนยาเสพย์ติดเพื่อหนีจุดตรวจไปสหรัฐนั่นเอง

มัน เป็นจริงซะงั้น! เรื่องการยัดยาเสพย์ติดเข้าไปในศพเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบก่อนเข้าสหรัฐ อเมริกามีมาช้านานแล้วครับ ดั่งข่าวหนึ่งในวอชิงตันโพสต์ ค.ศ.1985 ที่ย่อหน้าว่า เมื่อวันจันทร์ ในไมอามี่มีการลักลอบขนโคเคนเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยยัดในศพเด็กทารก ในเที่ยวบินจากโคลอมเบียไปยังไมอามี่ โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พบว่า ศพเด็กที่ตอนแรกนั้นมาแบบเด็กที่เหมือนมีชีวิตและคนแอบลักลอบทำท่าทำทางเป็นแม่ของเด็ก หากแต่พวกเขาพบพิรุธเสียก่อน




 

Buried Alive!

 

 
 
 
“ฝังทั้งเป็น” เรื่องนี้ผมอ่านแล้วน่ากลัวมาก เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งแต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั้งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร

เรื่อง คงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้าเมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมาช่วยเหลือเธอ

ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำ คืน จนกระทั่งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเปื่อย ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง และที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน ..........

มัน เป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี่คือตัวอย่าง ของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่า สยดสยอง

ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล (Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตาย เธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด (Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝา โลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกายที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้น ดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก)



 
 
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...