เทคโนโลยีของพระเจ้า

" โลกของเรามีสัตว์ในสปีชี่ส์ลิงและกบี่(Ape)อยู่ 193 สปีชี่ส์ 192 ใน 193 เป็นสัตว์ที่มีขนปกคลุมตัวรุงรัง ดูเหมือนมีอยู่สปีชี่ส์เดียวเท่านั้นที่ดูแตกต่างออกไป นั่นคือลิงเปลือยที่มีชื่อว่า โฮโม เซเปียนส์"

    - Desmond Moriis -


    "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของวันวานคือความหวังในวันนี้ และเป็นไปได้จริงในวันพรุ่งนี้"
 

เทคโนโลยีของพระเจ้า
นักคิดนักเขียนหลายคนเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำว่า นานมาแล้ว โลกเราเคยถูกเยี่ยมเยือนและพัฒนาโดยนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งจากดวงดาวอันไกล โพ้น พวกเขามาตั้งอาณานิคมอยู่บนโลกด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง ทำการพัฒนาสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และพัฒนามนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ นักท่องอวกาศกลุ่มนี้ปกครองโลกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีมนุษย์คอยเป้นพลเมืองอันจงรักและยกย่องพวกเขาให้เป็นพระเจ้า ครับ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ไม่ผิดนัก เพราะคำจำกัดความในแง่ศาสนาแล้ว มหิทธานุภาพของพระเจ้าซึ่งไม่มีสิ่งใดมาเทียมทานได้ก็คือ ความสามารถในการให้กำเนิดหรือสร้างชีวิตนั่นเอง (ไม่ใช่สร้างชีวิตด้วยการสืบพันธุ์นะครับ อันนั้นคุณหรือผมก็ทำได้ แต่กามเทพคงต้องทำงานหนักหน่อยสำหรับบางคู่น่ะนะ หึหึ..)

นักท่องอวกาศ กลุ่มนี้ถูกเรียกขานจากคนโบราณว่าพระเจ้า ซึ่งถ้าใครสนใจเรื่องทำนองนี้จะพบว่า หนังสือหลายๆเล่มเรียกนักท่องอวกาศกลุ่มนี้ต่างๆกันไป God from space บ้างล่ะ Ancient Astronauts บ้างล่ะ ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่าเป็นชื่อเรียกของสิ่งเดียวกัน แต่จะเป็นกลุ่มหรือคนเดียวกันนั้นไหมไม่รู้ด้วยนะครับ เนื่องจากคนโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ต่างก็มีอัตลักษณ์ทาง วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แม้บางส่วนจะคล้ายกันบ้างแต่ก็ยังต่างกันอยู่ ทำให้ชวนเชื่อเหลือเกินว่า พระเจ้าดังกล่าวไม่ได้มาเยือนโลกเพียงแค่กลุ่มเดียวเสียกระมัง

แล้วพวกเขามาทำอะไรกันบนโลก มาตากอากาศอย่างเดียวเรอะ?

คงจะไม่หรอกกระมังครับ เพราะหลักฐานที่เราพอจะหาได้ พระเจ้าจากอวกาศมาตั้งรกรากบนโลกของเราด้วยวัตถุประสงค์หลายประการอยู่ ชาวสุเมเรียนบอกว่าพระเจ้าที่พวกเขาเรียกขานกันว่า Anunnaki นั้น มาแสวงหาแหล่งทรัพยากรบนโลกของเราเพื่อส่งกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของพวกเขา อันเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 3600 ปี ส่วนชาวมายานั้นบอกว่า พระเจ้าเสด็จลงมายังโลกเพื่อแสวงหาอาณานิคมและสร้างอาณาจักรชั่วคราว ก่อนจะเสด็จกลับไปยังดาวที่เป็นแหล่งพำนัก ส่วนอียิปต์นั้นเล่า ไม่ได้กล่าวขานกันว่าพระเจ้าของพวกเขาลงมาทำอะไรกันบนโลกใบนี้ แต่ก็ระบุเป็นนัยๆถึงถิ่นฐานของพระเจ้าว่าอยู่อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า บริเวณที่เป็นกลุ่มดาว Orion นั่นเป็นบันทึกของชาติที่ยิ่งใหญ่ในอดีตครับ ลองมาดูชนเผ่าเล็กๆด้อยพัฒนาอ่างชาวโดกอนในแอฟริกา พวกเขารู้จักแฝดของดาวซิริอุสมากว่าพันปีทั้งที่ไม่มีกล้องโทรทัศน์ แต่วงการดาราศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งมาส่องพบเอาเมื่อเร็วๆนี้เอง มันหมายความว่าอย่างไรหรือครับ หรือสิ่งที่ชาวโดกอนสั่งสอนกันมาว่า นอมโมส มนุษย์มัจฉาพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆดาวซิริอุส และลงมาสั่งสอนวิชาความรู้ให้บรรพชนชาวโดกอนอยู่พักหนึ่งนั้นมันเป็นความ จริง?


พระเจ้าจากอวกาศ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ได้ให้อะไรกับโลกนี้มากหลาย ทั้งในเชิงสร้างสรรค์และทำลาย การสร้างกองทัพโคลนเหมือนใน Star Wars Episode II ตลอดจนการใช้อาวุธมหาประลัยประหัตประหารชิงอำนาจกัน ยังคงมีหลักฐานหลงเหลืออยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ชะรอยว่า นิสัยก้าวร้าวก่อสงครามของมนุษย์นั้น พระเจ้าจากอวกาศเป็นผู้ประทานให้เป็นมรดกสืบทอดมากระมังครับ... (เรื่องสงครามนิวเคลียร์สมัยโบราณนี้ จะอยู่ในบทของ"สงครามปิระมิด" กับ "Wars of Gds and Men" ที่ผมกำลังเรียบเรียงอยู่)


มรดก ที่บ่งถึงความรุ่งเรืองในยุคสมัยแห่งพระเจ้ากระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งก็มีบ้างที่รอการค้นพบ ที่ถูกทำลายไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็แยะ ผมเองก็เล่าเรื่องพวกนี้ไปเยอะแล้วเหมือนกันในเว็บไซต์แห่งนี้ ทั้งถาวรวัตถุและโบราณสถาน, เศษชิ้นส่วนที่เราเรียกกันว่า Artifacts, แผนที่โบราณอายุหลายพันปีที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีถ่ายภาพทางอากาศ, หินไอก้าในเปรู, คอมพิวเตอร์โบราณที่ใต้ก้นทะเลอีเจี้ยน นี่คือสิ่งที่จับต้องได้ครับ ยังไม่รวมถึงทฤษฎี-ความรู้-แนวคิด ของคนโบราณ(ซึ่งอ้างว่าพระเจ้าสอนฉันมานะ)เช่น เรื่องของดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ตลอดจนวิศวกรรมศาสตร์อันเหลือเชื่อ และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเรากำลังแกะรอยกัน เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งก้าวมาถึงขั้นที่พอจะเข้าใจขอบเขตของความรู้ แขนงได้ นั่นคือ Biotechnology ครับ

... ตำนานก็คือตำนาน แต่ในบางมุมมองนั้น ตำนานโบราณบางเรื่องชวนให้เราอดนำมาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่อย่าง Biotechnology ไม่ได้ โดยเฉพาะตำนานของชาติที่ "เข้าข่ายน่าสงสัย" บางชาติ บทบาทที่แทรกอภินิหารหลายบท มันคืออภินิหารของ Biotechnology ชัดๆ มาดูกันหน่อยไหมล่ะ?


ธ็อธ เทพแห่งความรู้ของอียิปต์โบราณ ได้ช่วยเหลือเทวีไอซิส ในการสกัดและผสมผสานส่วนหนึ่งของร่างกายนางและสวามีคือเทพโอสิริส เพื่อให้กำเนิดเทพเหยี่ยวโฮรัสขึ้นมา จากนั้นสงครามเพื่อล้างแค้นให้โอสิริสผู้เป็นบิดาจึงเกิดขึ้น (ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เซธผู้เป็นอนุชาของโอสิริสได้ปองร้ายโอสิริสจนถึงแก่ความตาย และปกครองอียิปต์แทนโอสิริส จนกระทั่งโฮรัสมาชิงอำนาจคืน สงครามระหว่างทั้งสองส่งผลให้ป่าอันเขียวชะอุ่มกินบริเวณกว้างขวาง กลายเป็นทะเลทรายซาฮาร่าในปัจจุบัน! ) นักเขียนหลายคนสังเกตว่า บทบรรยายการต่อสู้ของเซธกับโฮรัส กล่าวถึงสงครามนิวเคลียร์เอาไว้หลายจุด และ Zecharia Sitchin ก็เรียกสงครามครั้งนี้ในหนังสือของเขาว่าสงครามปิระมิดด้วยครับ


ยังหนีไม่พ้นเรื่องของอียิปต์โบราณ เซธปองร้ายโอสิริส และแยกชิ้นส่วนของพี่ชายกระจัดกระจายไปทั่วอียิปต์ เทวีไอซิสตามไปเก็บชิ้นส่วนดังกล่าวของสวามีมา พันด้วยผ้าแน่นหนา และใช้ศาสตร์ลับของนางทำให้โอสิริสกลายเป็นมัมมี่องค์แรกของอียิปต์ไป เหมือนกับย่อหน้าข้างบนไหมครับ Biotechnology มีบทบาทกับเทพโบราณเหล่านี้เอามากๆเลย แต่นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ในตำนานของอียิปต์เอง ยังมีเรื่องราวที่เป็นแนวคิดทางการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพอีกมาก เอาไปแค่หอมปากหอมคอก่อนละกันนะ


เควซซัลโคเทิล (Quetzalcoatl) แห่งอเมริกาใต้ เทพองค์นี้รับบทบาทเหมือนพระผู้สร้างในดินแดนอื่นๆ พระองค์สร้างมนุษย์จาก image ของตนเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาเทพโบราณของอินคานั้น รูปร่างของแต่ละองค์ล้วนเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์หรือไม่ก็พิศดารพันลึกไปเลย มีเพียงเควทซัลโคเทิลองค์เดียวก็สามารถจำแลงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ อะไรคือความลับในการ morphing แบบนี้ครับ? เทพโบราณของอินคาเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสปีชี่ส์กับมนุษย์โลกหรือเปล่า?


มาดูทางตะวันออกกลางบ้าง ตำนานเรื่องกำเนิดของจอมพลังอย่างแซมซันนั้นก็แฝงไปด้วยปริศนาชวนฉงน มารดาของแซมซันได้รับการมาเยือนจากทูตสวรรค์ของยะโฮวา ทูตสวรรค์ได้ทำนายเอาไว้ว่านางจะมีบุตรในไม่ช้า และเติบโตมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Nazarite อันหมายถึงผู้รับใช้หรือผู้อุทิศดวงจิตให้แก่พระเจ้านั่นเองครับ ทูตสวรรค์ให้คำแนะนำแก่นางมากมาย จนน่าแปลกใจว่า ทูตสวรรค์ดังกล่าวช่างทำตัวคล้ายแพทย์เหลือเกินแถมรู้เพศของทารกก่อนจะเกิด เสียด้วย (เป็นที่น่าดีใจว่า ความสามารถของทูตสวรรค์ในไบเบิลอันนี้ ปัจจุบันเราก็ทำได้เหมือนกัน)


ตำนานของอเมริกากลางและอินเดียนแดง ล้วน กล่าวถึงการกำเนิดของเทพเจ้าในร่างของสาวพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เกิดจากการร่วมเพศ การตั้งครรภ์ของหญิงพรหมจรรย์นามชิมัลมา หรือ หญิงม่ายโคอัตลิคูของทอลเท็ค บอกให้เราทราบเป็นนัยๆถึงการผสมเทียมและโคลนนิ่ง ในกรณีของโคอัตลิคูผลแทรกซ้อนทำให้ร่างกายและจิตใจของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่าง น่าตกใจที่สุด Biotechnology ทำให้นางมีอายุยืนขึ้นแต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของพลเมืองที่ต้องนำมาเซ่น สังเวยแก่นาง


สำหรับตำนานของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคืออารยธรรมสุเมเรียนนั้นเล่า มีเรื่องราวของการสร้างงมนุษย์คนแรกของโลก "อาดัม" (ครับ... เรื่องเดียวกับในไบเบิลนั่นแหละ) Zecharia Sitchin ผู้ศึกษาอักษรคิวนิฟอร์มจนแตกฉานสรุปเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้ในงานเขียน ของเขาว่า


"... เทพผู้สร้าง Enki ดำริที่จะสร้างมนุษย์จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยุ่แล้วบนโลก วัตถุดิบที่พวกเขาหามาทำการทดลองคือลิง ape เพศเมีย มนุษย์ที่พวกเขาสร้างนั้นเรียกกันว่า Lulu Amelu ('the mixed worker) โดยการนำเอายีนของพระเจ้าคือ Anunnaki มาผสมเข้ากับเซลของมนุษย์โลก จากนั้นก็ฝังเข้าไปในรังไข่ของ Anunnaki เพศหญิง หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จ มนุษย์โลกที่เป็น Homo Zapiens ในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉนี้..."
17 มี.ค. 53 เวลา 16:02 3,267 1 66
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...