14 อันดับแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมถึงยอดแย่ของ Pixar

14 อันดับแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมถึงยอดแย่ของ Pixar 14 อันดับแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมถึงยอดแย่ของ Pixar



 
 
 

1. The Incredibles
 
          นานแล้วที่ Pixar ไม่ได้ทำแอนิเมชั่นที่มีตัวเอกเป็นมนุษย์จนกระทั่งมาถึงเรื่องนี้ และมันก็ไม่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังเลยสักนิด โดย เรื่องนี้มีครบทุกรสชาติตั้งแต่ความตื่นเต้นของฉากแอ็คชั่นเข้มข้น ตลกขบขันไปกับมุกเกรียน ๆ ความรักผูกพันของครอบครัวที่น่าประทับใจ และการสอนให้เราเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง ทำให้ดูกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อเลยจริง ๆ มันจึงสมควรได้อันดับหนึ่งยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ ยังไงล่ะ
 


2. Ratatouille
 
          มันอาจดูเหมือนการ์ตูนพื้น ๆ ทั่วไป แต่ Ratatouille เป็นเรื่องที่แทรกข้อคิดเอาไว้ให้เราได้เรียนรู้มากกว่าที่คิด และมีพื้นหลักอยู่ที่การเลิกใช้อคติตัดสินคนอื่น โดยเฉพาะในฉากจบที่นักวิจารณ์อาหารผู้เคยเอาแต่ตัดสินคนอื่นมาตลอด ได้มารู้ว่าคนที่ทำอาหารอร่อยจนเขาต้องเอ่ยปากชมคือหนูตัวหนึ่ง แม้ตอนแรกจะช็อคจนพูดไม่ออก แต่สุดท้ายแล้วแม้คนที่มีอคติมากที่สุดก็ได้รู้ว่า เราตัดสินคนอื่นจากเปลือกนอกไม่ได้จริง ๆ อย่างที่ตัวละครนี้พูดเองว่า ไม่ใช่ทุกคนจะกลายเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้จากทุกที่
 

 
3. Up
 
          เรื่องมันออกจะดูแปลก ๆ สักหน่อยตอนดูตัวอย่างครั้งแรก เพราะแม้แต่ในการ์ตูน บ้านลอยได้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ในนิทานยุคเก่าเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี พอดูจริง ๆ แล้ว Up มีความหมายมากกว่าการเป็นการ์ตูนที่บอกเล่าความฝันเพียงอย่างเดียว มันเล่าถึงรักนิรันดร์ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมอบให้ภรรยาของเขาได้ รวมถึงการเสียสละสิ่งมีค่าเพื่อคนอื่นด้วย ทำให้มันเป็นการ์ตูนที่ซึ้งกินใจที่สุดเรื่องหนึ่ง จนกลายเป็นแอนิเมชั่นเรื่องที่ 2 ต่อจาก Beauty & the Beast ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงาน Academy Awards
 

 


4. WALL-E
 
          หนังเรื่องนี้แทบจะเรียกว่าเป็นหนังเงียบได้เลยด้วยซ้ำ เพราะกว่าครึ่งตอนแรก เราก็ไม่ได้ยินคำพูดใด ๆ นอกจากหุ่นยนต์ 2 ตัวเรียกชื่อกันไปมา แต่เสน่ห์ของ เรื่องนี้ก็อยู่ตรงที่การบอกเล่าเรื่องราวโดยไม่ใช้คำพูดนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดินเข้าไปเห็นของสะสมในรถเป็นตัวบอกว่า WALL-E มีชีวิตที่อ้างว้างเดียวดายแค่ไหน และความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับ EVE ยังทำให้เราอินไปกับมันได้ โดยไม่ต้องใช้ประโยคหวานเลี่ยนใด ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้น การแทรกประเด็นที่มนุษย์พึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปยังทำออกมาได้น่าประทับใจ มากเช่นกัน
 


5. Toy Story 3
 
          และแล้วภาค 3 ซึ่งเป็นภาคล่าสุดของ Toy Story ก็กลายมาเป็นภาคที่แฟน ๆ รักมากที่สุด เพราะมันทำให้เราได้เห็นจนได้ว่าสุดท้ายแล้วเมื่อแอนดี้โตขึ้น ชะตากรรมของเหล่าของเล่นจะเป็นอย่างไร ซึ่งฉากจบนั้นไม่ทำให้เราผิดหวังเลยสักนิด แม้จะต้องพกทิชชูซับน้ำตากันเป็นแถบ  ๆ ก็เถอะ เพราะมันทำให้เรารู้ว่าต่อให้แอนดี้โตเกินกว่าจะเล่นของเล่นแล้ว พวกมันก็ยังคงมีความหมาย และจะอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ
 

 

6. Monsters, Inc.
 
          แวบแรกที่เห็นสัตว์ประหลาดปุกปุยขนฟูสีฟ้ากับสัตว์ตัวเล็กตาเดียวสีเขียวปี๋ เราก็เข้าใจว่ามันจะเป็นเรื่องน่ารัก ๆ ที่เอาพล็อตความกลัวปีศาจใต้เตียงตอนเด็ก ๆ มาล้อเป็นเรื่องขำขันเท่านั้น แต่มันกลับมีความหมายมากกว่าที่คิดเยอะ โดยเฉพาะความสัมพันธ์น่าประทับใจที่ค่อย ๆ ก่อตัวโดยไม่ต้องใช้คำพูด และตอนจบที่ซาบซึ้ง
 


7. Finding Nemo
 
          เนื้อเรื่องที่ถูกถ่ายทอดผ่านนีโม น่าจะเหมือนครอบครัวทั่ว ๆ ไป ที่ทำให้เห็นว่าพ่อแม่รักลูกมากมายจนยอมทำทุกอย่างได้เพื่อพวกเขา แต่เพราะความรักนี่แหละ ทำให้พวกเขาปกป้องลูกมากเกินไป และไม่ไว้ใจให้ลูกได้ทำอะไรเองบ้างเลย สุดท้ายเมื่อนีโมได้พิสูจน์ตัวเอง จึงเหมือนเป็นการทลายกำแพงทั้ง 2 ฝั่งให้ทั้งคู้ได้เข้าใจกัน ว่าที่พ่อทำไปนั้นก็เพราะรัก และลูกก็แค่อยากได้ความไว้ใจจากพ่อบ้างเท่านั้นเอง มันจึงเป็นเรื่องราวที่สะท้อนความรักของครอบครัวได้น่าประทับใจมาก
 

 


8. Toy Story
 
          เรื่องราวมิตรภาพของบัซและวู้ดดี้เกิดขึ้นได้ แม้พวกเขาจะเคยไม่ชอบหน้ากันมาก่อน จากการที่บัซเข้ามาแย่งความสนใจไปจากแอนดี้ เด็กชายที่เคยมีวู้ดดี้เป็นตุ๊กตาตัวโปรดมาตลอด แต่ สุดท้ายด้วยสถานการณ์เป็นใจ ก็ทำให้ทั้งสองมีโอกาสได้เปิดใจเรียนรู้กันและกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนตายในที่สุด และเพราะการถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีจากจุดเริ่มต้นที่สวยงามนี่เอง จึงทำให้ Toy Story ครองใจแฟน ๆ จนมีภาคต่อตามออกมาเรื่อย ๆ และประสบความสำเร็จไปซะทุกภาค
 

 
9. Toy Story 2
 
          ยากที่จะหาหนังที่ภาคต่อดีไม่แพ้ภาคแรกได้ แต่ Toy Story 2 ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยตัวละครทุกตัวยังมีคาแรคเตอร์ตามเดิมไม่ผิดเพี้ยนไป แถมมันยังช่วยย้ำให้เห็นความรักระหว่างแอนดี้และวู้ดดี้ชัดขึ้นไปอีก เมื่อวู้ดดี้เลือกจะกลับไปอยู่กับแอนดี้ แม้รู้ดีว่าสักวันแอนดี้จะต้องโตขึ้นแล้วอาจทอดทิ้งเขาไปก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น มิตรภาพระหว่างบัซและวู้ดดี้ที่เขาออกติดตามพาวู้ดดี้กลับมาอย่างไม่ลดละยังน่าประทับใจมากอีกด้วย
 

 
10. A Bug's Life
 
          ตอนสร้างเรื่องนี้ ทีมงานของ Pixar ยังไม่ได้มีคนจำนวนมากอย่างทุกวันนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณภาพของมันจะด้อยกว่า ยากจะเอามาเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ที่ตามออกมาทีหลังได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมาก A Bug's Life ก็มีความสนุกสนานขำขันพอให้คุณหัวเราะได้บ้าง แต่ ขอเตือนว่าอย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นแอนิเมชั่นที่ลึกซึ้งจากเรื่องนี้เลย เพราะมันค่อนข้างจะขาดอารมณ์ความรู้สึกที่ควรมีไปมากทีเดียว
 


11. Monsters University
 
          พวกเขาทำภาคนี้ออกมาเพื่อให้เราได้รู้ว่าก่อนจะมาเป็น Monsters, Inc ที่ไมค์และซัลลีกลายเป็นเพื่อนสนิทกันนั้น พวกเขาเคยผ่านมหาลัยทำเรื่องแผลง ๆ เหมือนกับเรา ที่ถึงแม้จะดูแล้วก็สนุกสนานอยู่ แต่ มันกลับมีส่วนที่ไม่ควรมีอยู่ในหนังสำหรับเด็กสักนิดปนมาด้วย โดยทำให้เห็นว่าบางครั้งแม้เราจะพยายามสักเท่าไหร่ เราก็ไม่อาจไปถึงความฝันได้อยู่ดี จนคนเป็นพ่อเป็นแม่อดคิดไม่ได้ว่า ให้ลูก ๆ เห็นเรื่องที่โหดร้ายขนาดนี้ตั้งแต่เด็ก มันดีแน่แล้วหรือ?
 

 
12. Brave
 
          ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ทำภาพแอนิเมชั่นออกมาได้สวยงามจริง ๆ และนั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มันได้รางวัล Best Animated Feature Oscar มาครอง แต่น่าเสียดายตรงที่ ประเด็นหลักที่เรื่องต้องการจะสื่อตามชื่อ Brave ให้เห็นว่าผู้หญิงก็กล้าหาญดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเจ้าชายขี้แพ้มาปกป้อง กลับถูกกลบด้วยประเด็นแม่ลูกแทนซะอย่างนั้น ที่ถึงแม้จะดูแล้วอบอุ่นหัวใจดี แต่นางเอกคงมีโอกาสได้ฉายความเป็นหญิงแกร่งมากกว่านี้ หากไม่ต้องมาคอยดูแลแม่ของเธออยู่
 

 
13. Cars
 
          เรื่องนี้นับว่าเป็นแอนิเมชั่นน่าผิดหวังเรื่องแรกของ Pixar เลยก็ว่าได้ และที่กระแสตอบรับของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็ไม่น่าแปลกใจสักนิดเลยด้วย โดย เป็นเรื่องที่เข้าข่ายสูตรสำเร็จจริง ๆ แบบที่ตัวเอกเคยหยิ่งยโสมาก่อน แล้วเกิดสำนึกกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ พร้อมการดำเนินเรื่องเอื่อย ๆ ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแต่มันออกจะธรรมดาเกินไปหากเทียบกับเรื่องอื่น ๆ เท่านั้นเอง
 

 
14. Cars 2
 
          ภาคแรกว่าไม่ผ่านแล้ว ภาค ต่อกลับแย่ยิ่งกว่า เพราะแทนที่จะยึดข้อคิดของเรื่องเช่นเดียวกับภาคแรกที่สอนให้เราได้รู้ว่า ความเร็วไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป บางครั้งการใช้ชีวิตให้ช้าลงสนใจสิ่งรอบข้างบ้าง ก็อาจช่วยให้ชีวิตมีความสุขในมุมที่ไม่คาดคิดมาก่อนได้เหมือนกัน แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยการแทรกโฆษณาขายของเข้ามาเกินจำเป็น พ่วงด้วยฉากที่เหมือนจะตื่นเต้นแต่ก็ยังไม่เข้าถึงอารมณ์ได้เต็มที่แทรกมา เป็นระยะ มันจึงเป็นหนังที่ดูแล้วไม่ได้รู้สึกอินสักเท่าไหร่ แถมยังเป็นเรื่องเดียวของ Pixar ที่ไม่ได้เข้าชิง Best Animated Feature Academy Award อีกต่างหาก
 
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Disny Pixar
#pixar #animation
CMjojo
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
26 มิ.ย. 56 เวลา 10:30 7,147 1 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...