สื่อนอกตีข่าวฉาว “ปู่เณรคำ“ นั่งเจ็ทส่วนตัว-พศ.สั่งลุย จี้สอบเงินพันล้าน

(19 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สื่อหนังสือพิมพ์ในประเทศอังกฤษ ลงข่าวพระนั่งเครื่องบินส่วนตัว บินรับกิจนิมนต์ต่างประเทศ โดยมีคนไทยในอังกฤษเห็นสื่อนอกตีพิมพ์ จึงนำมาโพสต์ ในเฟซบุ๊ก นอกจากนี้ยังทราบว่า มีสื่อในยุโรปก็ประโคมข่าวนี้เช่นกัน

ขณะที่ความคืบหน้าของกรณีดังกล่าว ปรากฏว่า ที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา บริเวณชุมชนทุ่งนาดี ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ มีกลุ่มชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่เณรคำ และมักจะไปทำ บุญที่วัดป่าขันติธรรมอยู่เสมอ พากันจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับภาพที่ไม่เหมาะสมของหลวงปู่เณรคำ และวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

โดย นายบุญมี แก้วสาย อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1329/27 ถ.ราชการรถไฟ 1 ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า เมื่อได้เห็นภาพจากอินเตอร์เน็ตและสื่อมวลชน ก็เกิดความไม่สบายใจ เพราะพวกตนเป็น ลูกศิษย์หลวงปู่มานานหลายปี ไม่คิดว่าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ เพราะแม้ว่าเครื่องบินเจ็ต หรือเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้เดินทางจะเป็นสิ่งที่ลูกศิษย์จัดถวาย แต่ความจริงพระสงฆ์ก็ไม่น่าจะมีกิจเร่งด่วนถึงขนาดนั้น

"ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่ทำบุญกับวัดเป็นประจำ จึงอยากให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบว่าเงินของวัดที่ได้จากการทอดกฐินหลายครั้งเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท รวมทั้งทองคำหลายร้อยกิโลกรัมที่พุทธศาสนิกชนถวายให้วัด ตอนนี้อยู่ที่ใด มีการเบิกเงินใช้จ่ายอย่างไรหรือไม่ เพราะจริงๆ แล้วทั้งเงินและทองคำจำนวนดังกล่าวได้จากการบริจาคเพื่อใช้ก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตามโครงการของวัดป่าขันติธรรม แต่เท่าที่เห็นไม่พบว่าการสร้างวัดหรือการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองจะมีความคืบหน้าแต่อย่างใด" นายบุญมีกล่าว

ด้าน นางรัชดา โคตรวงษ์ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1329/28 ถ.ราชการรถไฟ 1 ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การก่อสร้างวัดป่าขันติธรรมน่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งกว่านี้ เพราะเงินที่รับบริจาคจากทั้งในประเทศและต่างประเทศน่าจะมีจำนวนหลายร้อยหลายพันล้านบาท รวมทั้งทองคำรูปพรรณที่มีคนนำมาถวายอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกตนซึ่งเป็นลูกศิษย์ชาวศรีสะเกษคลางแคลงใจสงสัยว่าเงินทั้งหมดไปอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงไม่นำเอามาสร้างวัด จึงขอเรียกร้องให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด

ขณะที่ นางแดง จันทร์คุปต์ อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1329/29 ถ.ราชการรถไฟ 1 ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า พวกตนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำพากันเสื่อมศรัทธาหมดแล้ว ตั้งแต่เห็นภาพคนหน้าเหมือนหลวงปู่นอนกับผู้หญิง และนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวโก้หรู พวกตนไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่นำเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบ 20 บาท 30 บาท ไปถวายเพื่อที่จะนำไปสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามความต้องการของญาติโยม รวมทั้งอยากให้ตรวจสอบบ้านของหลวงปู่ ที่บ้านทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ที่หรูหราเป็นคฤหาสน์ ว่าเอาเงินใช้ก่อสร้างมาจากไหนด้วย

วันเดียวกัน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีภาพพระสงฆ์รูปหนึ่งที่คล้ายกับหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก แห่งวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ นอนกับผู้หญิง ว่า มอบหมายให้นายวิรอด ไชยพรรณา ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ รวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งประสานกับเจ้าคณะปกครองให้ตรวจสอบ ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าภาพ ดังกล่าวคือหลวงปู่รูปที่กำลังตกเป็นข่าว ต้องนำภาพที่ถูกกล่าวหามาเปรียบเทียบ รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาดูว่าใช่หรือไม่ ตอนนี้มีเพียงกระแสข่าวว่าเป็นภาพตัดต่อ แต่บางกลุ่มก็บอกว่าเป็นภาพจริง ซึ่งหากเป็นภาพจริงก็ถือว่ามีความผิดถึงขั้นต้องสึก เพราะทำผิดพระธรรมวินัย ทั้งนี้ ต้องดำเนินการอย่างละเอียดอ่อน และปล่อยให้เจ้าคณะปกครองดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง

นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พักสงฆ์ ยังไม่ได้รับการอนุญาต และไม่มีฐานะเป็นวัด หรือเป็นนิติบุคคล แต่กลับมีเรื่องพุทธพาณิชย์ หรือเรื่องเงินบริจาคที่ได้มาจำนวนมาก ตามหลักการพระทุกรูปต้องมีสังกัด ต้องมีใบสุทธิหรือบัตรประจำตัวพระ ต้องมีชื่อสังกัดวัดใดวัดหนึ่ง อาจไม่ใช่วัด ป่าขันติธรรม แต่อาจกำลังอยู่ระหว่างขออนุญาตจัดตั้งวัดป่าขันติธรรม ดังนั้น หลักฐานความเป็นมารวมถึงที่มาของรายได้จะต้องตรวจสอบได้ การเป็นพระเวลารับบริจาคหรือถวายปัจจัยขณะอยู่สมณเพศ ต้องมีหลักฐานชัดเจน ด้วยผู้ถวายอาจจะถวายให้แก่ตัวบุคคลหรือทางวัด ดังนั้นจะหลบเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว อย่างกรณีหลวงปู่เณรคำ สามารถตรวจสอบได้ ตอนนี้แจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ศรีสะเกษ ประสานกับเจ้าคณะผู้ปกครองตรวจสอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพ สถานะการเงิน เพราะหากท่านไม่มี จะต้องชี้แจงว่าเพราะเหตุใด

ด้าน สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะใหญ่ หนกลาง กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับพระนั่งเครื่องบินเจ็ตและสะสมรถหรูว่า ต้องศึกษาว่าเป็นเครื่องบินของพระหรือโยมจริงหรือไม่จริง ต้องตรวจสอบให้ดี แต่ถ้าดูเกินฐานะความเป็นพระก็ดูไม่ดี ซึ่งเรื่องการสำรวมหรือสังวร มีอยู่ในพระวินัยอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันสังคมเจริญในเรื่องวัตถุมากขึ้นจึงไหลเข้ายังวัด อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ความเป็นพระต้องอยู่ในความพอดี ดังนั้น พระเมื่อเห็นว่า ของที่ถวายเกินความพอดีของพระ เช่น รถหรู สามารถปฏิเสธได้ สำหรับประชาชนมองว่าทุกวันนี้ วัดหลายแห่งกลายเป็นพุทธพาณิชย์นั้น จะต้องดูในหลายองค์ประกอบ บางวัดทำเพื่อนำปัจจัย มาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งมหาเถรสมาคม คงไม่ระเบียบอะไร เนื่องจากพระวินัยได้กำหนดให้พระ หรือวัดอยู่ในความพอดี พอเพียงอยู่แล้ว หากวัดใดทำเกินความพอดี ก็ควรที่ต้องปรับปรุงให้ประชาชนเห็น

"จึงขอฝากเตือนพระสงฆ์ และวัดทั่วประเทศ ให้ยึดพระธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง ดำรงตนสำรวมอยู่ในสมณสารูป ส่วนจะมีการนำเรื่องนี้หารือในที่ประชุมมหาเถรฯ หรือไม่นั้น ต้องดูว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะเสนอปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อหาแนวทางแก้ไข ในการสร้างศรัทธาให้ประชาชน ต่อไป" สมเด็จพระพุทธชินวงศ์กล่าว

ขณะที่ พระครูสุจิณวรธรรม เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต เปิดเผยถึงภาพบุคคลคล้ายหลวงปู่เณรคำนอนอยู่กับสีกา ว่า ยังไม่เห็นภาพดังกล่าวว่าพระที่อยู่ในรูปเป็นผู้ใด ซึ่งในทางปฏิบัติ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ต้องแต่งตั้งพระอธิกรณ์ขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่าความจริงเป็นอย่างไร โดยจะเรียกพระที่ต้องสงสัยว่าอยู่ในรูปมาตรวจสอบว่า ยอมรับหรือไม่ หากไม่ยอมรับ ก็ต้องนำเอาพยานหลักฐานมาชี้แจง เนื่องจากภาพต่างๆ อาจตัดต่อเพื่อกลั่นแกล้งกันได้ จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับพระที่ถูกกล่าวหาด้วย

เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษกล่าวว่า หากว่าพระไปถูกต้องเนื้อตัวผู้หญิงจริง ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องขาดจากความเป็นพระ เพราะว่าไม่ใช่การเสพเมถุน จะต้องดูว่าการถูกเนื้อต้องตัวเป็นไปด้วยความกำหนัดหรือไม่ หากเป็นเพราะความกำหนัดก็จะต้องผิดพระวินัยอย่างชัดเจนคืออาบัติ สังฆาฑิเสส มีโทษคือต้องแสดงและอยู่ปริวาสกรรม โดยจะต้องยอมรับผิดในข้อใดข้อหนึ่งใน 13 ข้อ ซึ่งพระที่อยู่ปริวาสกรรมไม่ใช่ว่าจะต้องอาบัติทุกองค์ อาจจะมีเหตุเกิดจากบอกกล่าวสอนยาก หรือว่าสร้างที่พักภายในวัดใหญ่โตเกินเหตุ เป็นต้น

"อย่างไรก็ตามกรณีภาพดังกล่าวข้างต้น จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพระอธิกรณ์ที่รับแต่งตั้งเสียก่อน ซึ่งการที่ผู้หญิงจะถูกเนื้อต้องตัวพระได้นั้น จะมีในกรณีที่พระสงฆ์อาพาธและพยาบาลหรือแพทย์ที่เป็น ผู้หญิงมาถูกเนื้อต้องตัว เพื่อถวายการรักษาพยาบาลพระสงฆ์ เพราะไม่ใช่เกิดจากความกำหนัด" พระครูสุจิณวรธรรมระบุ

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก ข่าวสดออนไลน์

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...