มือปืนนอร์เวย์ 77 ศพ ช็อคศาลวันที่ 5 "จ่อยิงศีรษะ"ทีละคน ไม่สนใจคำอ้อนวอน

นายอันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก มือปืนชาวนอร์เวย์ที่ก่อเหตุสังหาร 77 ศพให้การในวันที่ 5 ของการพิจารณาคดีที่ศาลในกรุงออสโลว่า ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาเป็นคนที่"นิสัยดีมาก"

 

 

 

นายอันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก เล่าถึงนาทีชีวิตขณะที่เหยื่อกำลังอ้อนวอนร้องขอชีวิต ระหว่างการกราดยิงบนเกาะอูโทยา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 66 ราย

 

ระหว่างการให้การต่อศาลกรุงออสโลวานนี้ (20 เม.ย.) เขาอธิบายถึงผู้คนที่วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานเพื่อเอาตัวรอด และบางรายมีอาการก้าวขาไม่ออกขึ้นอย่างกระทันหัน ขณะที่เขากำลังเหนี่ยงไกปืนและยิงเข้าที่ศีรษะของเหยื่อทีละราย ก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าวว่า ปกติแล้วคนเองเป็นคนจิตใจดี แต่จำเป็นต้องยับยั้งอารมณ์เช่นนั้นไว้ เพื่อให้การก่อเหตุดำเนินต่อไป

 

นายเบรวิก วัย 33 ปี กล่าวว่า ในวันก่อเหตุ เขาได้แต่งกายคล้ายตำรวจ และแจ้งต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่าตนได้รับมอบหมายให้เดินทางมายังเกาะอูโทยา เพื่อช่วยคุ้มกันหลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่กรุงออสโล

 

เขากล่าวว่า ก่อนที่จะสังหารเหยื่อรายแรก เขามีเสียงดังก้องขึ้นในหัววนเวียนไปมาที่บอกกับเขาว่า"อย่าทำ" แต่ในชั่วขณะที่เขากำลังลังเลนั้นเอง เขาได้เหนี่ยวไกปืนและยิงเข้าที่ศีรษะของเหยื่อสองราย และมุ่งหน้าต่อไปยังห้องอาหาร ซึ่งผู้คนกำลังหลบซ่อนตัวจำนวนมาก หลายรายมีอาการที่เรียกว่าก้าวขาไม่ออก และต้องคลานกระเสือกกระสนอยู่กับพื้น ในระหว่างทีกำลังบรรจุกระสุนปืนใหม่ เหยื่อได้ร้องขอชีวิต เขาจึงยิงเข้าที่ศีรษะจนเสียชีวิต และว่าหลายรายแกล้งทำเป็นตาย แต่เขาทราบดีว่าไม่ได้เป็นอะไร ดังนั้นจึงโดนยิงเสียชีวิตเช่นกัน

 

หลังจากนั้นเขาจึงเดินตระเวนไปทั่วเกาะ และใช้คำพูดล่อลวงให้เหยื่อตายใจว่าเขาเป็นตำรวจ และมาช่วยพวกเขา และเมื่อเหยื่อออกมาจากที่ซ่อน เขาจึงยิงคนเหล่านั้นเสีย โดยเล็งไปที่ศีรษะ ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ วินาทีนั้น ห้องพิจารณาคดีตกอยู่ในสภาพเงียบงัน ท่ามกลางเสียงสะอื้นจากผู้รอดชีวิตและญาติของเหยื่อ

 

 

 

 

นายเบรวิกยังเผยว่า เขาได้เริ่มโปรแกรม"การกำจัดความมีจิตใจเมตตากรุณา"อย่างรอบคอบ ในปี 2006 เพื่อเตรียมการก่อเหตุสังหารหมู่ ขณะที่ยังคงยอมรับว่าก่อเหตุสังหารจริง แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบทางคดีอาญา และเน้นว่าที่ทำไปก็เพราะต้องการปกป้องนอร์เวย์จากภาวะ"พหุวัฒนธรรม" และว่าเหยื่อของเขาได้ทรยศประเทศ โดยการให้การโอบอุ้มผู้อพยพต่างชาติ

 

เขากล่าวว่า ในตอนแรกเขาเชื่อว่าการก่อเหตุคาร์บอมบ์ที่อาคารรัฐสภา จะเป็นการโจมตีครั้งสำคัญที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าการกราดยิงบนเกาะอูโทยา กลายเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดแทน เนื่องจากเหตุคาร์บอมบ์ ไม่ได้ทำให้อาคารรัฐสภาถล่มอย่างที่เขาตั้งใจไว้ และเขาพุ่งเป้าที่จะโจมตีเป้าหมายที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลเท่านั้น และไม่ปรารถนาที่จะทำร้ายพลเรือน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเลย

 

เขายังเผยว่า ได้เรียนรู้วิธีการก่อเหตุระเบิดและกราดยิงในอินเตอร์เน็ต โดยการศึกษาจากกลุ่มอัล-เคด้า, การก่อเหตุระเบิดที่อาคารที่ทำการรัฐโอกลาโฮมาโดยนายทิโมธี แมคเวห์ เมื่อปี 1995 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 168 ราย และการวางระเบิดที่อาคารเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์เมื่อปี 1993 นอกจากนั้นเขายังได้อ่านข้อแนะนำในการทำระเบิดถึง 600 ข้ออีกด้วย

 

โดยการศึกษาวิธีของอัล-เคด้านั้น นายเบรวิกกล่าวว่า เขาได้ศึกษาทุกยุทธวิธีของกลุ่ม ทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว โดยกล่าวยกย่องว่า อัล-เคด้าเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และว่ากลุ่มสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นแรงบันดาลใจแก่กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ แม้จะมีจุดประสงค์ในการกระทำต่างกันไปก็ตาม

 

ด้านกลุ่มทนายความของญาติผู้สูญเสีย ได้สอบถามนายเบรวิกว่า เหตุใดเขาจึงไม่แสดงอารามณ์ร่วมใดๆต่อเหยื่อของเขาแม้แต่น้อย เขาตอบว่า เขาสามารถถอดเกราะของด้านจิตใจออก แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เนื่องจากเขาอาจจะไม่ดำรงชีวิตได้ต่อไป นอกจากนั้นเขายังเปรียบเทียบตนเองกับกลุ่มนักรบ"บันไซ"ของญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และว่าชายชาวนอร์เวย์ตอนนี้ แสดงด้านที่มีความเป็นเพศหญิงมากขึ้น ทำอาหาร และแสดงอารมณ์มากเกินไป

 

ขณะที่วานนี้ นายเบรวิก ให้การต่อศาลแขวงออสโล ด้วยการเล่ารายละเอียดการระเบิดรถยนต์หน้าอาคารที่ทำการรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมปีก่อน มีผู้เสียชีวิต 8 คน เขากล่าวว่า ต้องการสังหารทุกคนในอาคารดังกล่าว และคนในรัฐบาลนอร์เวย์ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังต้องการสังหารคนทั้ง 569 คน บนเกาะอูโทยาที่เขานั่งเรือข้ามไปหลังก่อเหตุระเบิดรถยนต์แล้ว

 

ทนายความของเขากล่าวหลังจากนายเบรวิกจบคำการให้การเมื่อวานนี้ว่า การให้การในวันนี้อาจเป็นวันที่ทำใจรับฟังยากที่สุด เพราะนายเบรวิกจะเล่ารายละเอียดการสังหารเหยื่อทีละราย รวมทั้งหมด 69 คน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่ไปเข้าค่ายบนเกาะดังกล่าว ด้านผู้พิพากษากล่าวขณะเริ่มการไต่สวนเมื่อวานนี้ว่า ศาลอนุญาตให้ผู้รอดชีวิตและญาติผู้เสียชีวิตออกจากห้องพิจารณาคดีได้หากไม่สามารถทนฟังคำให้การของนายเบรวิกได้

 

 

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...