ทหารเด็ก (Child soldiers) - นักฆ่ารุ่นเยาว์ +++



หากจะกล่าวถึงหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพ และมีขีดความสามารถสูงจนเป็นที่น่าเกรงขามไปทั่วโลก เราก็มักจะนึกถึงหน่วยรบชั้นยอดของกองทัพสหรัฐฯ เช่น หน่วยเนวี ซีล (US Navy Seal) หน่วยเดลต้า ฟอร์ซ (Delta Force) หรือหน่วย เอส เอ เอส ( S A S ) ของกองทัพอังกฤษ ตลอดจนหน่วยรบพิเศษของกองทัพไทย เป็นต้น แต่หากจะกล่าวว่าหน่วยรบของประเทศใดที่มีความโหด***มติดอันดับโลก หลายคนที่อาจจะพูดถึงหน่วยรบพิเศษ “สเปท์สนาซ” (Spetsnaz) ของกองทัพรัสเซีย หน่วยโคปาสซุส (Kapasus) ของกองทัพอินโดนีเซีย หรือหน่วยรบต่างๆ ที่มีประวัติการรบมาอย่างโชกโชน 

แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า นักรบที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีความ***มโหดที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่งกลับกลายเป็น “ทหารเด็ก” ซึ่งเป็นเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 7 -18 ปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกนับแสนคน 

ทั้งนี้เพราะ “ทหารเด็ก” หรือ “นักฆ่ารุ่นเยาว์” เหล่านี้ เป็นนักฆ่าที่สามารถสังหารผู้คนได้เพียงเพราะต้องการฆ่า หรือเพียงเพราะได้รับคำสั่งให้ฆ่า เป็นการฆ่าด้วยจิตใต้สำนึก ไม่ใช่การฆ่าด้วยอุดมการณ์ เป็นการฆ่าที่ปราศจากความยั้งคิดใดๆ ทั้งสิ้น อันเนื่องมาจากความด้อยประสบการณ์ ความไร้เดียงสา และการขาดความรู้ที่เพียงพอ “ทหารเด็ก” บางคนเริ่มสังหารผู้คนตั้งแต่ยังไม่สามารถจำอายุของตนได้เลย 



สงครามที่เหล่านักรบรุ่นเยาว์เข้าไปมีส่วนด้วย มักเป็นสงครามที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และเป็นสงครามกลางเมืองที่มีรูปแบบของการรบแบบกองโจรเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่สงครามตามแบบแผนที่มีแนวรบแน่นอน ตายตัวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา 

เด็กๆ เหล่านี้เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยในครัวสนาม เป็นยามรักษาการณ์ เป็นหน่วยสอดแนม เป็นสายลับในการรวบรวมข่าวสาร แล้วได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มที่คอยก่อการจลาจล ด้วยการขว้างปาก้อนหิน เผาอาคารสถานที่ ลักลอบส่งอาวุธให้กับกลุ่มทหารของตน จนถึงขั้นสุดท้ายของการพัฒนาคือ เข้าสวมเครื่องแบบ จับอาวุธสงคราม มีการฝึกฝนการใช้อาวุธประจำกายและยุทโธปกรณ์ต่างๆ



มีกรณีศึกษาหลายกรณีที่พบว่า “ทหารเด็ก” เหล่านี้เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูหรือเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย พวกเขาจะถูกขับเคลื่อนด้วยอำนาจมืดบางอย่าง เช่น ความเกลียดที่มีอยู่อย่างไร้เหตุผล ความกลัวที่มีอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด ความคึกคะนองที่มีอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะอำนาจมืดที่ถูกผสมผสานกับความไร้เดียงสาของเด็ก จนกลายเป็นความโหด***มที่ผิดมนุษย์นี้เอง ที่ทำให้นักรบรุ่นเยาว์บางคนพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น



นักรบรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ได้เปิดเผยถึงความทรงจำอันเจ็บปวดของเขาในการมีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองของประเทศรวันดา ระหว่างชนเผ่าฮูตูและชนเผ่าทุตซี่ว่า 

“... การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในประเทศรวันดาเริ่มต้นขึ้นในปี 1994 ขณะนั้นผมยังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลาย มีการกวาดต้อนเด็กๆ เข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ พวกกบฎบุกมาที่หมู่บ้านของผมในกรุงคิกาลี (Kigali) เมืองหลวงของรวันดา พวกเราไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่โบสถ์ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้านประมาณ 500 เมตร แต่ก็ถูกพวกกบฏกวาดต้อนไปโดยพวกเขาบอกเราว่า จะฝึกให้เป็นทหารเพื่อปลดปล่อยเมืองหลวงจากฝ่ายรัฐบาล ... จากนั้นผมก็ถูกนำไปฝึกทำการรบ และฝึกการใช้อาวุธอยู่ประมาณสามสัปดาห์ ก่อนที่จะออกสู่แนวหน้าเพื่อทำการรบกับฝ่ายรัฐบาล ... ผมไม่เคยคิดเลยว่า ผมจะต้องจับอาวุธเข่นฆ่าผู้คน ผมไม่ต้องการจะทำเช่นนั้นเลย ... จนกระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 1994 ผมถูกส่งออกไปลาดตระเวณเพื่อเตรียมการเข้าตีฝ่ายรัฐบาล โชคร้ายที่เหยียบกับระเบิดที่ถูกฝังเอาไว้ ... ขาซ้ายของผมขาดกระเด็น ... จำได้ว่าทั่วร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ผมถูกนำส่งโรงพยาบาลสนามที่เมือง “บยุมบา” เพื่อรับการรักษาเป็นเวลา 2 เดือน แม้ว่าบาดแผลยังไม่หายดี แต่ผมก็ถูกส่งไปยังค่ายทหารที่เมือง “บูตารา” ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 100 กิโลเมตรเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการรบอีกครั้ง ... ”



ส่วนอดีตทหารเด็กอีกคนหนึ่งที่กลับมาใช้ชีวิตตามปกติในโรงเรียนมัธยม เล่าถึงประสบการณ์ของเขาให้ฟังว่า 

“... พวกเราถูกฝึกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่จะถูกส่งออกทำการรบ ผมได้รับคำสั่งให้ตัดมือผู้ใหญ่ทุกคนที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน เพราะหัวหน้าของเราไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่เหล่านั้นใช้มือจับปากกาลงคะแนนให้ฝ่ายตรงข้าม ... เราจึงตัดมือพวกผู้ใหญ่ทุกคนที่ผ่านมาด้วยดาบ มีด หรือของมีคมทุกชนิด บางคนตัดขาดบ้าง ไม่ขาดบ้าง ... บางคนเลือดออกจนเสียชีวิตต่อหน้าพวกเรา บางคนอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร แต่เราก็ยังคงตัดมือผู้คนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ผมจำไม่ได้ว่าเราตัดมือคนไปเป็นจำนวนเท่าใด แต่ก็เป็นจำนวนมากพอสมควรเพราะมันเป็นปฏิบัติการที่ใช้เวลานานนับเดือน ... อย่าถามว่ามันโหด***มเพียงใด ... เวลานั้นมันไม่ใช่ตัวผม ... แต่เป็นปีศาจร้ายที่สิงอยู่ในร่างของผม มันบอกผมว่า จงทำลายล้างศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใดมากกว่านี้ มันเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย ...”



นักรบรุ่นเยาว์นายหนึ่งที่บรรยายให้ฟังว่า 

“... พวกเขาสั่งให้พวกเราที่เป็นทหารเด็กใช้ดาบพื้นเมืองที่เรียกว่า พันกาส (Pangas) ตัดริมฝีปากและใบหูของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นการทำลายขวัญประชาชนที่ต่อต้านกลุ่มของเขา พวกเราวุ่นวายอยู่หลายวันในการปฏิบัติการดังกล่าว ... เราก้มหน้าก้มตาตัดริมฝีปากและหูของใครก็ได้ที่หัวหน้าของเราสั่งให้ทำ จนลืมไปว่า หลายคนที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเหล่านี้ เป็นญาติที่อยู่ข้างบ้านของเรานั่นเอง ...”



อย่างไรก็ตามการควบคุมอัตราการขยายตัวของนักรบรุ่นเยาว์ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาก็ทำได้อย่างยากลำบาก ทั้งนี้เพราะทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏในประเทศเหล่านี้พยายามที่จะปกปิดจำนวนตัวเลขที่แท้จริงของจำนวนทหารเด็กที่ประจำการอยู่ในกองทัพของตน ตลอดจนพยายามปิดบังอายุที่แท้จริงของเยาวชนเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการประณามจากสังคมโลก



นอกจากการใช้เด็กผู้ชายเป็นนักฆ่ารุ่นเยาว์ในกองทัพแล้ว เด็กผู้หญิงจำนวนมากก็ถูกกวาดต้อนหรือเกณฑ์เข้าเป็นนักรบรุ่นเยาว์ด้วยเช่นกัน แต่ที่ทารุณยิ่งกว่าเด็กผู้ชายก็คือ นักรบหญิงรุ่นเยาว์เหล่านี้นอกจากจะต้องทำการรบ และทำงานหนักเหมือนผู้ชายทั่วไปแล้ว พวกเธอยังถูกบังคับให้ทำหน้าที่ให้บริการทางเพศแก่เหล่าทหารชายอีกด้วย 

ตัวอย่างเช่นในเอธิโอเปีย มีเด็กผู้หญิงอยู่ในกองกำลังติดอาวุธเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 25 พวกเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเหล่าทหารชาย ซึ่งกลายเป็นตราบาปไปตลอดจนชีวิต ซ้ำร้ายเมื่อสงครามสงบลง เด็กผู้หญิงเหล่านี้ไม่สามารถกลับไปยังภูมิลำเนาของเธอได้ เนื่องจากครอบครัวไม่ให้การยอมรับกับอดีตอันเจ็บปวดที่ผ่านมาได้ สุดท้ายนักรบหญิงรุ่นเยาว์จำนวนมากต้องหันไปใช้ชีวิตในการเป็นโสเภณีในที่สุด

ในขณะที่นักรบหญิงรุ่นเยาว์ต้องถูกสงครามประทับตราบาปไปตลอดชีวิตของพวกเธอ เหล่านักรบชายรุ่นเยาว์ก็มีอนาคตที่ไม่แตกต่างกันนัก เมื่อสงครามหรือความขัดแย้งยุติลง เด็กผู้ชายจำนวนมากต้องกลายเป็นโจร เนื่องจากไม่ได้รับการศึกษา มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว รุนแรง ตลอดจนไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ 

ในทางตรงกันข้ามสังคมเองก็ดูเหมือนจะอึดอัดใจในการยอมรับการกลับมาสู่สังคมของเหล่าทหารเด็กที่มีพฤติกรรมอันอำมหิต โหด***ม ทำให้ปัญหาทหารเด็กกลายเป็นปัญหาที่อยู่ในสภาพ “งูกินหาง” หรือเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกไปโดยปริยาย



นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ทหารเด็กไม่เพียงแต่จะถูกฝึกและล้างสมองให้กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นที่ไร้เหตุผลแล้ว นักรบเหล่านี้ยังถูกมอมเมาด้วยยาเสพติดนานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเสพติดประเภทแอมเฟทตามีน ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กๆ อยู่ในอาการประสาทหลอน ขาดความยับยั้งชั่งใจ และปราศจากความหวาดกลัวต่ออันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งผลกระทบข้อนี้ทำให้เยาวชนส่วนใหญ่ตกเป็นทาสยาเสพติดจนยากที่จะเยียวยารักษาได้ แม้สงครามจะยุติลงแล้วก็ตาม และกลายเป็นปัญหาของสังคมต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 



“ ... ผมถูกกองกำลังรีนาโม (RENAMO) จับตัวไป และต้องฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พวกเขาสอนผมให้ถอดประกอบปืน ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกวันได้ยินแต่คำว่า ฆ่า ... ฆ่า แล้วก็ ฆ่า เป็นเวลานานกว่า 4 เดือน... ผมยิงเป้านิ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก จนยิงได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ... แล้ววันแห่งการทดสอบก็มาถึง ... มีชายคนหนึ่งถูกจับมายืนอยู่ที่สนามยิงปืนแทนเป้ากระดาษ ... พวกเขาบอกให้ผมฆ่า ... ผมเพียงเหนี่ยวไกปืนและสังหารชายคนนั้นโดยไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ... มีเสียงตะโกนว่า ผมเป็นนักรบที่สมบูรณ์แล้ว ... ผมจำได้ว่า มันเป็นความภาคภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ผมคือ “นักฆ่ารุ่นเยาว์” แล้ว ..























Thank : นิตยสาร Military บทความโดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

30 พ.ย. 54 เวลา 13:58 12,077 13 190
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...