6วิธีสังเกตว่าเขาเป็นคนที่"ใช่"สำหรับเราหรือเปล่า/ดร.แพง ชินพงศ์

       มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงไม่อาจใช้ชีวิตโดยลำพังได้ เพราะเหตุนี้คนเราจึงต้องมีครอบครัว มีพ่อแม่ พี่น้อง มีญาติ มีเพื่อนฝูง มีแฟน มีสามีภริยาและมีลูก
       
       แม้คนเราจะไม่สามารถเลือกเกิดเองได้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวแบบไหน แต่สิ่งที่คนทำได้คือการใช้ชีวิตกับคนแวดล้อมรอบข้างให้เป็นสุขที่สุด และไม่ใช่สุขแต่เฉพาะเราเท่านั้นแต่ต้องสุขทั้งเขาด้วย ยิ่งเมื่อเราอยากจะใช้ชีวิตกับใครสักคนหนึ่งที่เป็นคนพิเศษซึ่งไม่ใช่พ่อแม่ พี่น้องเรา แต่เป็นแฟนหรือคนรัก เราควรจะพิจารณาแล้วพิจารณาอีกว่าเขาคนนั้นคือคนที่ใช่ที่เราอยากจะใช้ชีวิต อยู่ด้วยไปตลอดหรือไม่ เพราะหากพิจารณาไม่ดีหรือผิดพลาดไปแล้ว คนพิเศษก็อาจกลายเป็นคนที่ไม่พึงปรารถนาก็ได้ ดังนั้นเพื่อความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและมีความสุขแล้ว เราควรให้ความสำคัญกับการใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ทั้งใจเขาและใจเราว่า เราเป็นคนที่ใช่หรือไม่ใช่สำหรับกันและกันหรือไม่
       
       6 วิธีสังเกตตัวเองที่จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่"ใช่"สำหรับเรา
       
       1. ใจมันฟ้องว่า "แปลกๆ"
       
       แม้ในชีวิตเราต้องพบปะกับผู้คนมากมาย แต่เคยหรือไม่ที่เมื่อเราพบกับใครคนหนึ่งแล้วเกิดความรู้สึกพิลึกที่หาคำตอบ ให้ตัวเองไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นตัวดึงดูดให้เราอยากรู้จัก อยากใกล้ชิด รู้สึกสนใจอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาทุกเรื่อง ซึ่งคน ๆ นั้นอาจไม่ใช่คนที่มีรูปร่างหน้าตาที่ถูกสเปกเราเลยก็ได้ และความรู้สึกนี้อาจเกิดกับคนที่เราเพิ่งพบเจอ หรืออาจเกิดกับคนที่เรารู้จักมานานแล้วก็ได้ เพราะบางคนเป็นเพื่อนเฮไหนเฮนั่นกันมาตั้งนานแต่จู่ ๆ ก็เกิดอาการแวบแปลก ๆ ขึ้น
       
       แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังในการอยากรู้จักใกล้ชิดเขาคนนั้นก็คือ ต้องรักษามารยาทและให้เกียรติเขาคนนั้นด้วยโดยไม่ก้าวล้ำความเป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวาย ไม่ก้าวก่าย แต่ควรเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนที่มีมิตรจิตมิตรใจที่ดีต่อกัน เมื่อรู้จักวางใจกันแล้วก็จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้เอง อีกประการหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือเขาคนนั้นมีคนพิเศษของเขา แล้วหรือยัง หากเขามีแล้วเราควรจะต้องยับยั้งชั่งใจของเราเพราะเราอาจไปสร้างปัญหาหรือไป ทำลายความสัมพันธ์ของเขากับคนของเขาก็ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
       
       2. เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันได้
       
       การจะจริงจังกับใครสักคนไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะมีแค่เราสองคนไป ตลอดชีวิต เพราะต่างคนต่างมีที่มาของแต่ละคน มีครอบครัว มีญาติ มีเพื่อน ที่เราต่างต้องเข้าไปมีสัมพันธ์ด้วย ดังนั้นควรแนะนำให้คนที่เรารู้สึกดีด้วยได้รู้จักกับผู้อื่นที่เราคบหาบ้าง เช่น พาไปรู้จักพ่อแม่ พาไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงของเรา หรือควรพาเขาไปร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น พาไปเล่นกีฬา พาไปบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อจะได้รู้ว่าเราจะสามารถคบกันอย่างราบรื่นได้หรือไม่ เพราะบางครั้งการใช้ชีวิตที่ต่างกันก็ทำให้ความสัมพันธ์สะดุดลงได้ เช่น บางคนชอบเที่ยวกลางคืน แต่บางคนเกลียดแสงสีและชอบอยู่แต่บ้าน บางคนทำตัวไม่น่ารักกับพ่อแม่หรือเพื่อนฝูงของเรา บางคนไม่ชอบเล่นกีฬา และไม่อยากให้เราไปเล่นกีฬา บางคนชอบช้อปปิ้งเกลียดการทำบุญ แต่อีกคนชอบทำบุญแต่เกลียดการช้อปปิ้ง
       
       หากการใช้ชีวิตของเราไม่เหมือนกันและไม่สามารถปรับเข้าหากันได้ ให้รู้ไว้เถอะว่านั่นยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเราหรอก
       
       3. อยากมีเป้าหมายชีวิตร่วมกัน
       
       เมื่อแน่ใจว่าเรารักเขาอย่างจริงจังแล้วเราก็ต้องอยากมีเป้าหมายใน อนาคต "ร่วมกัน" คำว่า "ร่วมกัน" คือ เราและเขามีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน เพราะถ้าแม้แต่ความคิดยังไปด้วยกันไม่ได้แล้วอย่าหวังว่าความสัมพันธ์จะ ดำเนินต่อไปได้ บางคนวางเป้าหมายว่าอยากแต่งงานแล้วมีลูก แต่คนรักของเราอยากอยู่ด้วยกันไปไม่ต้องแต่งงาน และไม่อยากมีลูก บางคนเป็นลูกคนเดียวต้องอยู่ร่วมบ้านกับพ่อแม่ที่ชราเพื่อคอยดูแล แต่คนรักบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดเราต้องแยกไปอยู่ด้วยกันสองคน บางคนอยากทำธุรกิจแต่คนรักบอกว่าไม่ต้องลงทุนทำอะไรทั้งนั้น ดังนี้เมื่อเป้าหมายมันไม่ใช่ทางเดียวกันก็ต้องมานั่งคุยกันก่อนว่าเราจะ ปรับเป้าหมายของเราให้ตรงกันอย่างไรดี
       
       สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เมื่อคบกันไปสักระยะและเกิดความรู้สึกว่าคน นี้คือคนที่เราอยากจะมีชีวิตร่วมกันก็ต้องรีบคุยกันถึงเป้าหมายชีวิต เพราะปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้นที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการทะเลาะเบาะแว้งด้วย ความคิดและความต้องการไม่ตรงกันนั่นเอง ดังนั้น เป้าหมายชีวิตจะบ่งบอกว่า เขาคนนั้นคือคนที่ใช่สำหรับเราหรือไม่
       
       4. ยอมรับในข้อบกพร่องของเขาได้
       
       หากถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ว่าคนนั้นคือคนที่ใช่ ของเรา ก็ต้องบอกว่า "จำเป็น" เพราะโดยธรรมชาติของคนส่วนใหญ่ที่เมื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครมักแสดง แต่ด้านดีของตัวเองออกมา แต่พอรู้จักคุ้นเคยกันแล้วนั่นแหละเราถึงจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริง
       
       แต่ทั้งนี้เวลาของแต่ละคู่ก็ไม่เท่ากันอยู่ที่ว่าเราและเขาจะเปิดตัว เองมากน้อยแค่ไหน บางคนคบเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็พอรู้จักนิสัยกันมาบ้าง บางคนไม่เคยรู้จักกันมาเลยแต่เขาก็จริงใจแสดงตัวตนเขาออกมาแบบไม่ปิดบัง
       
       สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมของครอบครัวหรือ เพื่อนฝูงของเขา ก็พอจะทำให้เรารู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของเขาได้บ้างว่าเป็นอย่างไร บางคนชอบทำดีแต่กับคนอื่นแต่ไม่ดีกับพ่อแม่ บางคนขี้บ่น เรื่องเยอะ เอาแต่ใจ ไม่อดทน เห็นแก่ตัว ปากเสีย เค็ม โลภ ขี้หึง ชอบเอาชนะ ฯลฯ และเมื่อเรารู้ถึงข้อบกพร่องของเขาแล้วเราก็ต้องประเมินดูว่าเรารับได้หรือ รับไม่ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าคิดทบทวนดูแล้วว่านี่เป็นข้อบกพร่องที่เรารับไม่ได้เลย ก็ควรถอยออกมาจะดีกว่า เพราะถ้าฝืนคบทั้งที่เรารู้สึกไม่ดีก็จะสร้างความอึดอัดและเป็นปัญหาในความ สัมพันธ์ต่อไประยะยาว
       
       แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครสักคนในโลกนี้ที่ดีพร้อม ทุกคนมีความไม่ดีในตัวเอง อยู่ที่ว่าเรารับได้หรือไม่แค่นั้นเอง และพิจารณาให้ดีว่าความไม่ดีเท่าขี้ผงจะชนะความดีที่เขามีมากมายได้ไหม ถ้าไม่ได้เขาก็ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเรา
       
       5. เผชิญทุกข์ร่วมกันได้โดยไม่หวาดหวั่น
       
       ว่ากันว่าสิ่งที่จะพิสูจน์รักแท้ได้ดีที่สุดคือ "ความทุกข์" และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนเราเวลาสุขอะไรก็ดีไปหมดไปไหนไปนั่นได้ทุกที่ แต่เวลาทุกข์ที่ต้องร่วมกันแม้น้อยนิดก็ทนอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว       
       
       อย่าลืมว่าชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์วนเวียนกันไปอย่างนี้ตลอด ชีวิต แต่เมื่อคนรักของเราทุกข์แล้วเราสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้หรือเปล่า เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจ เป็นความช่วยเหลือ พร้อมต่อสู้กับปัญหาไปด้วยกันได้ไม๊ หากเราร่วมทุกข์กับเขาไม่ได้หรือเขาทอดทิ้งเราบ่อย ๆ ยามเรามีปัญหา ก็ให้รู้ไว้เถอะว่าเรายังไม่ควรจะมีใครในชีวิตหรือเขาไม่ใช่คนที่ใช่ของเรา แน่นอน
       
       6. ให้อภัยได้แม้เขาทำให้เราเสียใจ
       
       ความรักมาพร้อมกับการให้อภัยเสมอเพราะคนเราย่อมทำสิ่งที่ผิดพลาดกัน ได้ โดยเฉพาะการทำให้คนรักเสียใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอด บางคนเห็นว่าเป็นคนใกล้ชิดเวลามีปัญหาอะไรมาก็มักเอามาอาละวาดกับคนรัก บางคนถูกทำให้ช้ำใจด้วยการนอกใจ ด้วยการทำร้าย ด้วยการโกหก ด้วยการหลอกลวง แต่ถ้าเรารักใครแล้วเราต้องพร้อมอภัยให้เขาได้ แต่เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ แต่เราก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตนเองด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากเขาทำร้ายเรามากเกินไปแล้ว จงให้อภัยเขาแล้วออกมาจากความสัมพันธ์ตรงนั้นเสีย และให้คิดว่าคนเรารักกันในฐานะอื่นได้ แม้เป็นคู่รักไม่ได้แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้
       
       การจะพบคนที่"ใช่"เมื่อไร อย่างไร แบบไหน ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเราได้มีโอกาสรู้จักใครสักคนที่รู้สึกพิเศษ อย่ารีบร้อน อย่าเร่งรัด ให้ใช้เวลาในการพิสูจน์ใจเขาและใจเราอย่างเต็มที่เสียก่อนเพราะชีวิตคู่ไม่ ใช่เรื่องง่าย เราต้องมั่นใจอย่างดีที่สุดว่าคน ๆ นั้นคือคนที่ใช่สำหรับเราและเราคือคนที่ ใช่สำหรับเขา รับรองว่าเราจะสามารถดำเนินชีวิตไปด้วยกันได้อย่างมีความสุขและราบรื่นแน่ นอน และโปรดจำไว้เถิดว่า "ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตนฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีมื่อมีการประพฤติชอบ ความรักนั้นทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ”( 1 Corinthians 13:4-7)
โดย ดร.แพง ชินพงศ์

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...