10 ภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงเกินความจำเป็น

อุตสาหกรรมภาพยนตร์เริ่มขยายตัวในปี 2007 แต่กระนั้นมันก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายฝ่ายหวั่นวิตก เมื่อความรุนแรงเริ่มเป็นส่วนประกอบของภาพยนตร์ ที่เกินความจำเป็น ฉากฆ่าไร้เหตุผล บางเรื่องก็มีความรุนแรงบ้าบอคอแตกไร้ สาระ และนี้คือ 10 ภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงที่เกินความจำเป็น

 

10. High Tension (2003)

   

High Tension (2003) มีชื่อไทยว่า “สับ สับ สับ” กำกับโดย Alexandre Aja เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญของฝรั่งเศส ที่มีความรุนแรงสูง โดยเนืเอหาเกี่ยวกับ มารี นักศึกษาสาววัย 20 ปี เดินทางมาพักผ่อนกับอเล็กซ์ เพื่อนสนิทของเธอ หลังเสร็จสิ้นช่วงของการสอบ ยังบ้านพักที่ฟาร์มของครอบครัวในชนบทอันห่างไกล และที่นั่นมารี, อเล็กซ์ และสมาชิกในครอบครัวของเธอ ได้เผชิญหน้ากับฆาตกรต่อเนื่อง ในคราบของคนส่งของออกอาละวาด ที่หมายคร่าชีวิตพวกคนเหล่านั้นไปอย่างเลือดเย็น ก่อนที่เรื่องจะ หักมุมคือมารีตัวเอกเป็นฆาตกรตัวจริงนั่นเอง โดยแรงจูงใจของเธอคือความปรารถนาของเธอที่จะอยู่กับอเล็กคนเดียวและเธอได้ สร้างอีกหนึ่งบุคลิก(ฆาตกรโรคจิต) อีกตนขึ้นมา ซึ่งเนื้อหาภาพยนตร์เต็มไปด้วยฉากฆาตกรรม และความุรนแรงที่ไร้สาระ เช่น ฉากตัดมือแม่ของมารีตอนคุยโทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนที่จะเฉือนลำคอและตัดหัว ในอเมริกาได้มีการตัดหลายฉากออกไป และนักวิจารณ์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ในเชิงลบ และมีส่วนคล้ายนิยาย “Dean Koontz” ที่เป็นของหญิงสาวเดินทางไปที่บ้านในชนบทของเพื่อน และเป็นพยานในการสังหารหมู่ที่โหดร้าย ที่สมาชิกครอบครัวถูกฆ่าตายเกือบหมด  

 

9. A Clockwork Orange(1971)

  

A Clockwork Orange เป็นภาพยนตร์ไซไฟ ที่ออกฉายในปี 1971 กำกับโดย สแตนลีย์ คูบริก สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ แอนโทนี เบอร์เกสส์ ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1962 เป็นเรื่องของสังคมในโลกอนาคต ที่เต็มไปด้วยแก๊งอันธพาล โดยนำเสนอผ่านบทของ อเล็กซ์ เด็กหนุ่มเลือดร้อน หัวหน้าแก๊งอันธพาลที่สวมเสื้อสีขาว หมวกสีดำ เป็นเอกลักษณ์ นิยมความรุนแรง ชอบทำลายข้าวของชาวบ้าน (อเล็กซ์ รับบทโดย มัลคอล์ม แมคโดเวลล์ นักแสดงชาวอังกฤษ)เมื่อภาพยนตร์ออกฉายใหม่ๆ ถูกต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความรุนแรง เรื่องเพศ และการส่งเสริมความเลวร้ายต่อสังคม เพราะมีฉากข่มขืน ฉากทรมานฆ่าคนที่เกินความจำเป็น เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาโดยถูกจัดเรตของภาพยนตร์เป็น เรตเอ็กซ์ เนื่องจากความรุนแรง ภายหลังจึงปรับเป็น เรตอาร์ ในปี 1973 หลังจาก คูบริก ตัดฉากความยาว 30 วินาทีออกแต่ในเวลาต่อมา กลับได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ไซไฟ ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 4 สาขา(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)

http://www.youtube.com/watch?v=v90KPJ6n4Ew

 

8.Battle Royale(2000)

 

Battle Royale หรือ เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น ที่สร้างมากจากหนังสือการ์ตูนในเรื่องเดียวกัน (Battle Royale) ผลงานของ Koushun Takami เป็นงานการกำกับโดย Kinji Fukasaku ออกฉายในวันที่ 16 ธันวาคม ปี 2000 ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งหลายฝ่ายตายลงความเห็นเป็นภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงเกิน ความจำเป็น และพล็อตไม่เหมาะกับเยาวชน โดยเนื้อหาเกี่ยวกับโลกคู่ขนานแห่งหนึ่ง ที่ถึงยุคตกต่ำสุดขีด มีการก่ออาชญากรรมเกลื่อนเมือง รัฐบาลมีนโยบายให้มีโปรแกรม BR. เกิดขึ้น โดยเลือกสุ่มจากกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ให้มาเข่นฆ่ากันเองบนเกาะร้างโดดเดี่ยว เพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉากนักวิจารณ์ออก ความเห็นว่าเป็นหนังส่งเสริมความรุนแรงแก่วัยรุ่น จิกกัดประเด็นญี่ปุ่น

http://www.youtube.com/watch?v=Y-T7yPJVvXw

 

 

7. Hostel

  

Hostel หรือนรกมาชำแหละ เป็นภาพยนตร์กำกับโดยเอลี่ ร็อธ ฉายในปี 2005 และภาคสองออกในปี 2007  แพกซ์ตัน, จอช และ ออลิ  สามหนุ่มนักเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป วันหนึ่งพวกเขาได้ยินว่ามีโรงแรมแห่งหนึ่งในสโลวาเกีย ซึ่งเต็มไปด้วยสาวยุโรปสวยๆ ที่สนใจแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้น ทั้งสามจึงรีบนั่งรถไฟไปเยือนจุดหมายแสนวิเศษนั้นทันที ทว่าหลังจากไปถึงสถานที่เป้าหมายไม่นานเท่าไร พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าโรงแรมนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล พวกเขาเพิ่งเดินเข้าไป สู่ความลึกลับบางอย่าง ที่หม่นมืด และน่าสยดสยอง เพราะที่นั้นมีธุรกิจฆ่าคนที่ชอบชำแหละคนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตอยู่!!

 เชื่อหรือไม่ว่าจากคำบอกเล่าของผู้กำกับ ที่แรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องนี้มาจาก โฆษณาในเว็บไซด์ แห่งหนึ่งในไทย ที่อ้างว่ามีบริการ สุดพิสดารในการ ล่ามนุษย์ สำหรับลูกค้าโรคจิต ...ส่วนการถ่ายทำไม่ได้อยู่สโลวาเกีย หากแต่เป็นสาธารณรัฐเช็กเนื่องจากผู้กำกับต้องการลดค่าใช้จ่ายในการ่ายทำ แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นห้องทรมานเป็นหลักก็ตาม แม้หนังดังกล่าวมีความรุนแรงมากเกินเหตุ ไม่ว่าฉากทรมาน หั่นศพ เลือดสาด ขยะแขยง ทรมานทางเพศ จนคะแนนติดลบ และทางสโลวาเกียไม่ชอบเพราะทำให้ประเทศของเขาเสื่อมเสีย แต่กระนั้นมันกลับทำเงินรายได้อย่างมหาศาล ทุนแค่ 4,800,000 ดอลลาร์ แต่ได้กำไรเละถึง 80,578,934 ดอลลาร์

 
              6. I Spit on Your Grave

 

I Spit on Your Grave หรือแค้นนี้ต้องฆ่า หนังระทึกขวัญสั่นประสาทสุดโหด ที่เคยเป็นหนังเล็กๆ ฉายเมื่อปี 1978 และรีแม็คใหม่ในปี 2010  โดยได้รับแรงบันดาลเรื่องจริงเกี่ยวกับผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในนิวยอร์ก

โดยภาพยนตร์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสาวสวยนักเขียนนิยายคนหนึ่งที่มาจากใน เมือง หมายจะมาท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ และได้เข้าพักที่กระท่อมเช่าพักแห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่เขียนหนังสือของเธอ แต่แล้วฝันร้ายก็แต่แล้วเธอก็ถูกก๊วนชายถ่อยในแถบนั้น 5คน(ต้นฉบับเดิมเป็น 4) โดยหนึ่งในนั้นเป็นนายอำเภอ(บอสเจ้าถิ่น) บุกมากระทำชำเรา แถมพอย่ำยีเสร็จก็กะจะฆ่าปิดปากเธอด้วย ยังดีนะที่เธอรอดมาได้อย่างหวุดหวิด และหลังจากปล่อยให้พวกนั้นตายใจอยู่สักระยะ เธอก็กลับมาปฏิบัติการเอาคืนอันสุดบรรเจิด เพราะเธอกลับมาเพื่อที่จะแก้ แค้นพวกมัน !! โดยวางกับดักเพื่อที่จะจัดการกับพวกคนร้ายทีละคนๆ และจับพวกมันทรมานอย่างแสนเจ็บปวดให้สาสมกับที่เธอโดนพวกมันกระทำไว้……

ต้นฉบับและรีแม็คนั้น นั้นมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร เช่น จำนวนชายถ้วยเพิ่มอีก 1 คนจากคนเก่า ลดลดความแรงใน เช่น ฉากข่มขืนลงเบียร์ขวดข่มขืน แต่ในส่วนของการปฏิบัติการเอาคืนนั้นโหดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดอัณฑะ แทง ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนได้ยอม รับว่าภาพยนตร์มีความรุนแรง และภาพยนตร์ดังกล่าวถึงแบนหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และเยอรมัน โดยอ้างว่า เนื้อหารุนแรงต่อผู้หญิง แม้เนื้อหาจะเน้นอุทธรณ์ในสังคมก็ตาม

 

 

5.The Wild Bunch

   

The Wild Bunch หรือคนเดนคน เป็นภาพยนตร์แนวคาวบอยที่แซม เพ็คคินพาห์ออกในปี 1969  เป็น เรื่องราวการละเลงเลือดของเหล่าคนนอกกฎหมาย ซึ่งถือว่าฉีดแนวกับหนังคาวบอยโดยสิ่นเชิง เพราะว่าหนังคาวบอยทั่วๆ ไปนั้นมักจะมีตัวเอกเป็นนายอำเภอหรือมีจิตใจดีงามรักความยุติธรรม หากแต่ตัวหนังดังกล่าวเน้นความป่าเถื่อน สัญชาตญาณในการทำลายล้างของมนุษย์ออกมาเพื่อความอยู่รอด คือมีทั้งความเลว ความโลภ กักขฬะ นอกจากนี้ยังมีภาพภาพการต่อสู้ การตาย ที่เน้นให้เห็นถึงกระสุนที่เจาะทะลุเนื้อหนัง เลือดพุ่งกระฉูด ในภาพสโลว์โมชั่น อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบปัจจุบันถือว่าความรุนแรงน้อยกว่ามาก

The Wild Bunch เป็นภาพยนตร์ไม่กี่อันดับในรายการ ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ เคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออลการ์ และได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อีกทั้งในปี 1999 ภาพยนตร์ดังกล่าวได้ถูกเลือกสำหรับการเก็บรักษาในหอสมุดแห่งชาติอเมริกา ต่อมาก็ได้ถูกจัดอันดับภาพยนตร์อเมริกันที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 80และ ภาพยนตร์ที่มีความตื่นเต้นมากที่สุด อันดับ 69

 

 

4. Kill Bill

 

Kill Billเป็นผลงานลำดับที่ 4 ของผู้กำกับและนักเขียนบทคนดัง เควนติน ทาแรนติโน (โดยเขาสร้างเรื่องนี้ จากแรงบันดาลใจที่เขามีต่อหนังกำลังภายใน, หนังยากูซ่า, หนังซามูไร และหนังคาวบอยตะวันตก โดยมีภาพยนตร์เรื่อง เป็นต้นแบบ The Bride Wore Black (1968) ที่บอกเล่าถึงเจ้าสาวที่ตามไล่ฆ่ากับกลุ่มคนที่ฆ่าเจ้าบ่าวตาย มี 2 ภาค ซึ่งในภาคแรกนับว่าเป็นภาคที่มีความรุนแรงและน่ากลัวที่สุด

มีเนื้อหากล่าวถึง เดอะไบรด์ อดีตนักฆ่าที่ล้างมือมาเป็นเจ้าสาวที่กำลังเข้าพิธีแต่งงานในโบสถ์แถว เอล พาโซ่ แต่บิล อดีตเพื่อนร่วมงานและกิ๊กเก่า พร้อมพวกสมาชิกทั้ง 3 ได้บุกเข้ามาและเข้าทำร้ายเธอ และฆ่าเจ้าบ่าวและคนในงานตายเรียบ จากนั้นเธอได้บอกกับบิลว่ากำลังตั้งท้องลูกของเขา แต่บิลก็ยิงเข้าศีรษะเธออย่างอำมหิต 5 ปีต่อมา เธอเริ่มออกตามล่าคนที่ทำร้ายเธอในโบสถ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักฆ่าที่ล้างมือจากวงการและอาศัยอยู่เงียบๆ โดยไม่มีใครพบเห็น อย่างไรก็ตามเธอก็จะตามล่าและชำระแค้นให้ได้ โดยฉากที่เป็นไฮไลต์ที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ เดอะไบรด์ ตามล่าโอเรน โดยเดอะไบรด์ สวมชุดขับมอเตอร์ไซค์สีเหลืองแถบสีดำ (ชุดคล้ายๆ บรู๊ซ ลี) เข้ามาในร้านอาหารในโอกินาว่า และเธอต้องเจอโอเรนกับสมาชิกแก็งค์ 88 นับร้อย จนเกิดต่อสู้กัน ด้วยการใช้ดาบฟัน ซึ่งฉากเต็มไปด้วยเลือดและความรุนแรงสูง จนดูเหมือนเกินความจำเป็น

 

3. Cannibal Holocaust

 

http://www.filmsayong.com/movies-review/5-c/52-cannibal-holocaust-1980.html

มีชื่อไทยว่า เปรตเดินดินกินเนื้อคน ออกฉายในปี 1980 ผลงานกำกับของเดโอดาโต โดยภาพยนตร์ถ่ายทดในอเมซอนโดยติดต่อเผ่าพื้นเมืองเอาไว้เพื่อให้สมจริง ก่อนที่จะประสบผลสำเร็จอย่างน่าจดจำเพราะภาพมีแต่ความรุนแรงและติดตา

Cannibal Holocaust เล่าถึงนักทำหนังสารคดีชาวสหรัฐ 4 คนที่หายตัวไปอย่างลึกลับในการ เดินทางไปถ่ายทำสารคดี เกี่ยวกับเผ่ามนุษย์กิน คนในป่าดงดิบแถบอเมริกาใต้ ดังนั้นสถานีโทรทัศน์ที่ส่งตัวพวกเขาไปจึงส่ง ดร.มอนโร และคณะเดินทางไปค้นหาตัวพวกเขา โดย ดร.มอนโรก็ได้พบกับความจริงและสาเหตุ ของการหายตัวไปอย่างลึกลับของนักทำหนัง ทั้ง 4 จากฟิล์มภาพยนตร์ที่พวกเขาเหลือทิ้งไว้ หนังถ่ายทอดความรุนแรงทั้งจากคนป่าและจากคนเมือง โดยเราจะเห็นฉากสยองที่ประเคนเข้ามา ทั้งการทำแท้งของคนป่าโดยใช้สากจนหญิงที่ตั้งท้องตายไปทั้งแม่และลูก การใช้หินคมปาดคอ ผ่า ท้องควักเครื่องใน และการจับหญิงสาวมาเสียบด้วยไม้แหลมทางก้นทะลุออกปาก(จะๆ) ตลอดจน การทรมานสัตว์ เช่น การจับลิงมาสับหัวเป็น ๆ การชำแหละตะพาบน้ำ(อ็อก) และฉากจบชวนช็อค

หนังเล่าเรื่องโดยแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นการตามหาคณะทำหนังโดย ดร.มอนโร และช่วง สองเป็นภาพจากฟิล์มหนังที่คณะทำหนังได้ถ่ายทำไว้ผ่านกล้องแฮนด์เฮนด์ 16 มม .แบบการถ่ายทำ สารคดีซึ่งช่วงหลังนี่เองที่ทำให้ชื่อเสียงของหนังเรื่องนี้ ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกพร้อมกับคำว่า การ ฆ่าผ่านจอของจริง และตามมาด้วยการถูกแบนในประเทศต่างๆ จนเดโอดาโตต้องถูกตั้งข้อหาฆ่า คนตาย ! หลังจากรอดพ้นข้อกล่าวหาฆ่าคนตายแต่ต้องโดนข้อหาทารุณสัตว์ จนเดโอดาโตต้องกลาย เป็นผู้กำกับอื้อฉาวและตกงานไปหลายปีก่อนที่ Cannibal Holocaust จะถูกนำกลับมาประเมินคุณค่าใหม่(?) และได้อนุญาตให้เข้าฉาย ในอิตาลี พร้อมกับถูกซื้อไปฉายตามประเทศต่างๆ จนคอหนังสยองขวัญแบบสุดๆจะต้องแสวงหา มาดูให้ได้ แต่กระนั้นมันถูกทำเป็นลิขสิทธิ์และจำหน่ายเพียงไม่กี่ประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศ ไทยต้องขอขอบคุณบริษัทที่นำมาจำหน่ายทั้งแบบวีซีดีและดีวีดีโดยไม่มีการตัด ทอน(โอ้)

 

2. 300

  

300 เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2006 ที่ดัดแปลงจากนิยายกราฟฟิคโดยแฟรงค์ มิลเลอร์ โดยเนื้อหานวนิยายเอามาจากประวัติศาสตร์ความโหดร้ายแห่งสงครามเธอร์โมไพเล ซึ่งกษัตริย์เลโอนิดาส์ และกองทัพสปาร์ตัน 300 นายพลีชีพในการต่อสู้กับเซอร์เซสและกองทัพมหึมาแห่ง เปอร์เซีย ซึ่งเสียสละของพวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวกรีกทั้งมวลในการร่วมกัน ต่อสู้กับกองกำลังข้าศึกชาวเปอร์เซีย

แม้ภาพยนตร์ 300 จะประสบผลสำเร็จสร้างรายได้มหาศาลและขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟยาวนานก็ตาม แต่นักประวัติศาสตร์และนักวิจารณ์บางไม่ค่อยชอบมากนัก โดยเนื้อหาของภาพยนตร์มีความรุนแรงเกินความจำเป็น และเนื้อหาไม่ได้มีคุณค่าต่อประวัติศาสตร์เท่าใดนักเพราะดัดแปลงจากการ์ตูน อีกที(พูดง่ายๆ ดูเอามัน) ไม่ว่าจะเป็นฉากการต่อสู้ที่มีการตัดหัว หอกปักร่างกาย นอกจากนี้ยังสอดแทรกประเด็นเชื้อชาติ ประเด็นลัทธิการปกครอง ฯลฯ

 

 

 

 

 

1.The Passion of the Christ

  

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/passionofthechrist/passion.html

The Passion of the Christ  เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลา 12 ชั่วโมงสุดท้าย แห่งชีวิตของ เยซู แห่งนาซาเร็ธ กำกับโดย เมล กิบสัน ออกฉายในปี 2004 โดยเนื้อหาภาพยนตร์ดัดแปลงและประมวลขึ้น จากหลายเหตุการณ์ของเรื่อง The Passion ซึ่งเรียบเรียงมาจากพระคัมภีร์สี่เล่มของ มัทธิว, มาร์ค, ลูกา และ ยอห์นโดยถ่ายกันในประเทศอิตาลีตลอดทั้งเรื่อง

 จุดเริ่มต้นภาพยนตร์เริ่มต้นที่ที่ สวนมะกอกซึ่งเป็นสถานที่ๆ พระเยซูคริสต์ใช้เวลาสวดภาวนา หลังจากเสร็จสิ้นอาหารค่ำมื้อสุดท้ายไปแล้ว   ก่อนที่จะถูกจับกุม และนำกลับเข้าไปในเขตเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งพวกหัวหน้าของพวกฟาริสีทั้งหลายเผชิญหน้ากับพระองค์ และกล่าวหาพระองค์ว่าเป็นพวกดูหมิ่นศาสนา และผลจากการสอบสวน พระองค์ถูกตัดสินด้วยโทษประหารชีวิต พระเยซูคริสต์ได้ถูกส่งตัวให้กับทหารโรมัน และถูกโบยตีทรมาน ถูกสั่งให้แบกไม้กางเขน ไปตามถนนในกรุงเยรูซาเล็ม และแบกขึ้นภูเขากัลโกธา และบนยอดเขากัลโกธานั้นเอง พระองค์ได้ถูกตรึงไว้กับไม้กางเขน และเผชิญกับการทดสอบครั้งสุดท้าย ก่อนสิ้นพระชนม์

แม้ว่าภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงสูงในเรื่องศาสนาก็ ตาม(แน่นอนว่าบางประเทศถูกเซ็นเซอร์ เช่น มาเลเซีย อิสราเอล) และนักวิจารณ์บางคนบอกว่า เป็นภาพยนตร์รุนแรงเกินความจำเป็นที่ผมเคยเห็นมา แต่ภาพยนตร์ก็ประสบผลสำเร็จสูงเพราะทุนแค่ 30,000,000 ดอลลาร์ แต่ได้รายได้ถึง 611,899,420 จากการฉายทั่วโลก

 

 เครดิต:CAMMY

อ้างอิงจากบทความ

Top 10 Ridiculously Violent Movies

http://www.time.com/time/specials/packages/completelist/0,29569,2015869,00.html

(เพิ่มเติมจากวิกิพีเดียไทย-อังกฤษ)

29 มิ.ย. 54 เวลา 14:09 21,685 29 390
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...