กระแส ”หนังไทย” แรงตั้งแต่ต้นปี ตัวแปรดันธุรกิจทะลุ 4 พันล้าน

เป็นที่ยอมรับกันว่า ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ กระแส “หนังไทย” ค่อนข้างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน มีหนังไทยทำเงินหลัก 100 ล้านบาท รวมถึงหนังคุณภาพที่มีการ พูดถึงและบอกต่อเกิดขึ้นเป็นจำนวนที่มากขึ้นในทุก ๆ ปี

สำหรับปีนี้คาดกันว่าจะมีหนังไทยเข้าฉายในโรงมากกว่า 50 เรื่อง จากจำนวนหนังที่เข้าฉายทั้งหมดกว่า 230 เรื่อง

และ เชื่อว่ารายได้หนังไทยปีนี้จะดีต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่วนหนึ่งเพราะเห็นปรากฏการณ์หนังไทยหลายเรื่อง ที่เข้าฉายไปแล้วต่างกวาดรายได้เข้ากระเป๋ากันเป็นว่าเล่นตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นสุดเขตสเลดเป็ด, สาระแนเห็นผี, เท่งโหน่ง จีวรบิน, เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก ฯลฯ หรือแม้แต่ ซัคซี๊ด ห่วยขั้นเทพ ที่กวาดรายได้ไปแล้วกว่า 70 ล้านบาท (ยังไม่ออกโรง)

หรือล่าสุดหนังใหญ่แห่งปี “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภาค 3 ที่เพิ่งเข้าฉายได้เพียงแค่สัปดาห์เดียวก็ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทไปแล้ว

“วิชา พูลวรลักษณ์” ประธานกรรมการ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจหนังในช่วง 2-3 เดือนแรกของปีนี้มี “หนังไทย” เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยหนังไทยแทบทุกเรื่องที่เข้าฉายล้วนเป็นหนังฟอร์มดี และทำรายได้ในระดับที่ดีมาก นับตั้งแต่ “สุดเขตฯ” ที่ทำรายได้ถึง 120 ล้านบาท สาระแนเห็นผี 50-60 ล้านบาท รวม 2 เรื่องก็เกือบ 200 ล้าน (บาท) แล้ว


และนี่คือตัวเลขเฉพาะตลาดกรุงเทพฯไม่รวมต่างจังหวัด

พร้อมชี้ว่า โดยภาพรวมใน 3 เดือนแรกปีนี้ “หนังไทย” เอาไปกินหมด

นี่ยังไม่รวมหนังใหญ่แห่งปีอย่าง “นเรศวรฯ” ภาค 3 ที่เพิ่งเข้าฉายเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งวงการคาดกันว่าน่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท (เฉพาะกรุงเทพฯ) นอกจากนี้ยังมีภาค 4 ที่จะเข้าฉายในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้อีก จึงค่อนข้างมั่นใจว่าปีนี้หนังไทยน่าจะมีสัดส่วนรายได้โดยรวมถึง 50% ของตลาด

“เราไม่ค่อยได้เห็นหนัง 200 ล้านมาพักหนึ่ง แต่ด้วยจำนวนโรงหนังที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศในขณะนี้ ถ้ากระแสของหนังดีมีโอกาสทำรายได้ถึง 200 ล้านได้ภายในเวลาเพียงแค่สัก 2 สัปดาห์ครึ่งเท่านั้น อย่างนเรศวรฯที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านได้ในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว”

“วิชา” ยังบอกด้วยว่า ภาพรวมของธุรกิจหนังในปีนี้มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ในสัดส่วนที่สูงมาก นอกจากหนังไทยที่มีหน้าหนังที่ทำรายได้เพิ่มมากขึ้นแล้ว หนังต่างประเทศปีนี้ก็มีหนังฟอร์มใหญ่เข้ามามากเช่นกัน อาทิ ทรานส์ฟอร์เมอร์, แฮร์รี่ พอตเตอร์,ไพเรทส์ ออฟ เดอะ คาริบเบียน, มิสชั่น อิมพอสซิเบิล ฯลฯ

และเชื่อว่าหนังฮอลีวูดเหล่านี้จะโกยรายได้เรื่องละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

จึงมั่นใจว่าตลาดหนังในปีนี้จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท

ผู้คร่ำหวอดในวงการหนังรายหนึ่ง วิเคราะห์ว่า ปีที่ผ่านมามีหนังไทยที่ทำรายได้เกินหลัก 100 ล้านบาทเพียงเรื่องเดียว คือ กวน มึน โฮ (131 ล้านบาท) ลดจากปีก่อนที่มี 2 เรื่อง คือ ห้าแพร่ง (113.5 ล้านบาท) และรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (145.4 ล้านบาท) แต่ถือว่าหนังไทยอยู่ในกระแสที่มาอย่างต่อเนื่อง

เพราะแม้จะทำรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่ผู้ประกอบการหนังไทยส่วนใหญ่ก็อยู่ได้และมีกำไร

และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ประกอบการหนังไทยทุกค่ายต่างมีแผนจะลงทุนเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหมงคลฟิล์มของเสี่ยเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ที่มีแผนลงทุนสร้างหนังต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง บางปีวางแผนผลิตถึง 15 เรื่อง หรือค่ายไฟว์สตาร์ฯประมาณ 7-8 เรื่อง/ปี ขณะที่จีทีเอช 5-6 เรื่อง/ปี เอ็ม เทอร์ตี้ ไนน์ 5-6 เรื่อง/ปี ฯลฯ

นี่ยังไม่รวมรายใหม่ ๆ ที่เข้ามาชิมลางในตลาดนี้เพิ่มขึ้น

นั่นหมายความว่า ตลาด “หนังไทย” เป็นตลาดที่มีอนาคต เพียงแต่ต้องจับทิศทางตลาดและกลุ่มผู้บริโภคให้ถูก

ขณะที่ “รชต ธีระบุตร” ผู้บริหารใหญ่ บริษัทภาพยนตร์โคลัมเบีย ไทรสตาร์ บัวนา วิสต้า (ประเทศไทย) หรือซีทีบีวี ประเมินว่า ภาพรวมในปีนี้จะมีหนังเข้าฉายราว 230-240 เรื่อง หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20 เรื่อง จากปีที่ผ่านมา ที่เข้าฉาย 214 เรื่อง คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมราว 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ หนังไทยน่าจะมีโอกาสสร้างรายได้ในสัดส่วนถึง 50% จากปีที่ผ่านมาที่มีส่วนแบ่งการตลาดราว 37%

ซึ่งหนังไทยกวาดรายได้กันตั้งแต่ต้นปี ที่สำคัญยังมีหนังไทยฟอร์มใหญ่อย่าง “นเรศวรฯ” เข้ามาเป็นหนังสร้างรายได้อีกถึง 2 ภาคในปีนี้

นับเป็นปรากฏการณ์ที่ดีของ “หนังไทย” และธุรกิจหนังโดยรวมที่ก้าวสู่ “ยุคทอง” อีกครั้ง !

 

 

 

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...