10 การปฏิบัติตามความเชื่อในสมัยก่อนที่น่าตกใจและเขย่าขวัญ

 

ในสมัยก่อนวิทยาการทางการแพทย์หรือการความเข้าใจการตั้งครรภ์ของมนุษย์นั้นไม่ดีนัก สมัยก่อนมีเทคนิคมากมายในการตรวจสอบครรภ์หญิงตั้งครรภ์หลายคนในการเตรียมความพร้อมในการคลอดบุตร

ในยุคกลางเป็นช่วงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากในการพัฒนาในการศุกาการตั้งครรภ์ หนึ่งในนั้นคือ “กระต่ายทดลอง” เป็นการทดสอบการตั้งครรภ์ที่พัฒนาในปี 1927 โดย Bernhard Zondek และ Selmar Aschheim ที่ทำการศึกษาฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิกโกนาโดโทรฟิน (human chorionic gonadotropin: HCG) ฮอร์โมนที่จะพบในปัสสาวะของสตรี เมื่อเกิดการปฏิสนธิ หรือมีการตั้งครรภ์เกิด-7ho ซึ่งสมัยก่อนเชื่อว่าเอซซีจีนี้มาจากการผลิตโดยต่อมใต้สมอง แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 มีการค้นพบว่าเอซซีจีผลิตโดยนก การค้นพบนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาการทดสอบการตั้งครรภ์สมัยใหม่ในเวลาต่อมา

การทดสอบกระต่ายนี้ค่อนข้างจะน่ากลัวสำหรับคนรักสัตว์เสียหน่อย โดยเริ่มต้นคือการฉัดปัสสาวะของกระต่ายตัวเมียตั้งครรภ์ไปที่กระต่ายที่เป็นหนูทดลอง แล้วสองสามวันถัดไป ก็มีการตรวจสอบรังไข่กระต่ายในแต่ละวันซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในการตอบสนองต่อฮอร์โมนที่หลังเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ การทำการทดลองดังกล่าวประสบผลสำเร็จและมีการพัฒนาการตรวจสอบครรภ์ที่ถูกต้องในเวลาต่อมา นอกจากนั้นการใช้กระต่ายทดลองนี้แพร่หลายจาก 1930 ไปถึง 1950 กระต่ายทั้งหมดที่ใช้ในการทดลองต้องถูกดำเนินการผ่าตัดและถูกฆ่าตายเพื่อตรวจสอบรังไข่ ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องฆ่ากระต่ายก็ได้ แต่มันไม่คุ้มค่ากับปัญหาที่ตามมาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้คำว่า “กระต่ายทดลอง” ถูกบันทึกครั้งแรกใน 1949 เป็นวิลีที่พบในภาษาอังกฤษพอๆ กับคำว่า “กบทดลอง” ทุกวันนี้ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทำให้สัตว์ทดลองได้รับการปฏิบัติจาริยธรรมมากขึ้น

 

7. Mrs Winslow's Soothing Syrup

  

ในช่วงศตจวรรษที่ 19 และ 20 ประชากรของโลกเริ่มที่จะมีการขยายอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยาเป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสารเสพติดใหม่ที่มีผลกระทบต่อสมองของมนุษย์ทำให้เกิดการเสพติด ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายควบคุม ทำให้บริษัทเห็นประโยชน์อันนี้เลยเปิดตลาดเปิดตัวผลิตภัณฑ์อันตราย เช่นสมัยก่อนมีหลายคนเชื่อว่าเฮโรอีนเป็นยาและมีหลายบริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเฮโรอีนส่งผลทำให้มีประชาชนติดสารชนิดนี้เป็นแถวๆ และอีกหนึ่งตัวอย่างคือ น้ำเชื่อมมิสวินสโลว์ซึ่งวางตลาดครั้งแรกในBangor ,รัฐเมนสหรัฐอเมริกาในปี 1849

น้ำเชื่อมมิสวินสโลว์เป็นผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อมสมุนไพรที่คิดค้นโดยบุตรชายของนางวินสโลว์(Mrs. Charlotte N. Winslow)สูตรประกอบด้วยมอร์ฟีนซัลเฟต(65 มิลลิกรัมต่อออนซ์ของเหลว), ฝิ่นผง, โซเดียมคาร์บอเนต สุรา และแอนโมเนียน้ำ(ยาเสพติดชัดๆ) โดยกล่าวอ้างว่า “เป็นยาที่ได้ทั้งคนและสัตว์” เหมาะสำหรับเด็กทารก ทำให้เด็กที่ไม่อยู่กับที่เงียบและช่วยให้นอนหลับง่ายได้(ก็มันเป็นยาเสพติดนี้น่า) ต่อมาสินค้านี้แพร่หลายไปทั่วสหรัฐ ทั้งหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ลงแต่คำสรรเสริญเยินยอผลิตภัณฑ์นี้ ถึงขั้นลงหนังสือสูตร ปฏิทิน และบัตรการค้ามากมาย แต่ต่อมาในปี 1911 ก็มีการเปิดเผยว่าเป็นการต้มตุ๋นและถูกเรียกว่า “ยาฆ่าทารก” เนื่องจากส่วนผสมของตัวยาทำให้ชะลออัตราการเต้นของหัวใจของเด็กทารกซึ่งเป็นอันตราย แต่กระนั้นสินค้านี้ก็ไม่ได้ถูกถอดออกจากตลาดในประเทศอังกฤษ ซึ่งกว่าจะถอดออกก็ปาถึงปี 1930 โน้น

 

6. Big Nose George

  

Anthropodermic bibliopegy หมายถึงการทำปกหนังสือจากผิวหนังของมนุษย์ แม้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับปัจจุบัน แต่สำหรับสมัยก่อนในศตวรรษที่ 17 นั้นเป็นที่นิยมกันมากในอเมริกัน ไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่นำผิวหนังของผู้ตายมาทำปกหนังสือ อาจเป็นเพราะความคงทันและเพื่อเป้นมรดก โดยหนังสือส่วนใหญ่ที่ทำมักเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์ที่ปกทำจากผิวหนังของฆาตกร ในห้องสมุดของมหาลัยฮาร์วาร์ มหาลัย มีตัวอย่างมากมายที่หนังสือหลายเล่มที่ปกทำมาจากผิวหนังมนุษย์ ส่วนใหญ่ผิวหนังที่ทำหนังสือนั้นมักเป็นผิวหนังของนักโทษหรือทาส นอกเหนือจากนี้คำศัพท์ดังกล่าวยังรวมไปถึงการถลกหนังนำหนังมาทำเครื่องใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า หรือเครื่องหนัง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกนาซีมักใช้ผิวหนังจากศพของนักโทษในการล่าล้างเผ่าพันธุ์มาทำเป็นหนังสือ หรือเครื่องใช้ต่างๆ

หนึ่งตัวอย่างดังกล่าวก็เช่นกรณีของ Big Nose George หรือจอห์นจมูกใหญ่ เป็นคนร้ายในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในอเมริกาตะวันตก ที่เขาและพวกทำการฆาตกรรมสองเจ้าหน้าที่ในมลรัฐไวโอวิง ในปี 1878 และพยายามปล้นรถไฟ และหลบหนีจากคุก ก่อนจะตายในวันที่ 22 มีนาคม 1881 หลังจากที่เขาตายมีการศึกษาทางการแพทย์ว่าสมองของเขามีปัญญาอะไรหรือเปล่า ทำไมเขาถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ จากนั้นก็มีการแยกชิ้นส่วนร่างกายเกิดขึ้น โดยกะโหลกศีรษะของเขากลายเป็นที่ใส่ปากกาและที่จับประตู ใบหน้าถูกทำเป็นหน้ากาก ผิวหนังต่างๆ รวมไปถึงหัวนมถูกถลกมาเป็นรองเท้าคู่และกระเป๋าทางการแพทย์ รองเท้าถูกเก็บไว้โดยจอห์น(John Eugene Osborne)ที่เอาไว้สวมใส่ตอนได้รับเลือกตั้งครั้งแรกในรัฐไวโอมิง ส่วนชิ้นส่วนร่างกายที่เหลือถูกแช่น้ำเกลือในถังวิสกี้ก่อนที่จะถูกไปฝัง ทุกวันนี้รองเท้าที่ทำจากหนังและกะโหลกของจอห์นจมูกใหญ่ยังคงนำแสดงใน Rawlins County Museum

 


          5. Lobotomy

  

เนื้อหามาจาก http://mbos.multiply.com/journal/item/146/Lobotomy

ก่อนที่จะถึงยุคศตวรรษที่ 20 การแพทย์โบราณแถบยุโรปและอเมริกาสมัยก่อนนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและความหวาดเสียว โดยเฉพาะการรักษาผู้ป่วยที่มีความพิการด้านจิตใจ(ปัญญาอ่อน) ก็มีหลายวิธีการรักษาหลายอย่างที่ประหลาด และหนึ่งในนั้นคือการรักษา “โลโบโทมี่”

                โลโบโทมี่(มีรากศัพท์มาจาก ภาษากรีก แปลว่า เฉือน/ ตัดส่วนสีขาว)เป็นการรักษาอาการผิดปรกติทางสมอง ที่ได้รับความนิยมในช่วงปี 1930-1940โดยที่แพทย์มีความเชื่อว่า การทำลายการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนหน้า (frontal lobes) กับส่วนที่เหลือของสมอง สามารถช่วยรักษาอาการป่วยทางสมองเช่น ก้าวร้าว ฉุนเฉียว ซึมเศร้า อาละวาด ทำลายข้าวของ ฆ่าตัวตาย ฯลฯ ได้ สมองที่ว่าประกอบด้วยส่วนที่เรียกว่า gray matter ประกอบด้วยเซลสมอง เส้นเลือด เส้นประสาท และเนื้อขาวที่ประกอบด้วยแกนเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาไปส่วนต่างๆของสมอง

การรักษาโลโบโทมี่ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1935 ด้วยการเจาะกะโหลกและใส่แอลกอฮอลเข้าไปทำลายส่วนที่ต้องการ แต่เนื่องจากแอลกอฮอล์ที่เป็นของเหลวควบคุมได้ยาก รวมถึงการต้องเจาะกะโหลกซึ่งทำได้ลำบาก

ต่อมา ด็อกเตอร์ เวอร์เตอร์ ฟรีแมน แพทย์ชาวอเมริกันได้คิดวิธีใหม่ ที่จะเข้าถึงสมองส่วนหน้าได้ง่ายและรวดเร็วกว่าทางเบ้าตา โดนการสอดแท่งเหล็กแหลม ลักษณะคล้ายที่เจาะน้ำแข็ง เข้าไประหว่างลูกตาและคิ้ว(เป้าตา!!) และใช้ค้อนกระเทาะผ่านชั้นกระดูกบางๆ เพื่อเข้าถึงสมอง ทำการบิดแท่งเหล็กเพื่อตัดเส้นประสาท หลังจากนั้นทำเหมือนเดิมกับอีกข้าง กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 15 นาทีหรือน้อยกว่านั้น เนื่องจากไม่ต้องมีการเจาะกะโหลก ไม่ต้องมีห้องผ่าตัด และไม่ต้องอาศัยศัลยแพทย์ วิธีนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้ด็อกเตอร์เวอร์เตอร์เดินทางไปทั่วสหรัฐฯ เพื่อรักษาคนไข้ประมาณ 3,500 คนใน 23 รัฐรวมถึงการโชว์การใช้ ในช่วงปี 1940 และ 50 มีคนในสหรัฐถูกรักษาด้วยวิธีนี้ 40,000 คน ในสหราชอาณาจักร 17,000 คน แต่ปัจจุบันไม่นิยมรักษาโดยวิธีนี้กันแล้ว เพราะมียารักษาโรคจิตเภทและยากล่อมประสาทหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพถูกคิดค้นขึ้นมาใช้แทน(และการรักษาโลโบโทมี่นั้นผิดกฎหมาย)

http://www.youtube.com/watch?v=_0aNILW6ILk&feature=related

 

4. Drapetomania

  

ลัทธิเชื้อชาติในเชิงวิทยาศาสตร์(scientific racism) เป็นวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการตรวจสอบความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติของมนุษย์  ความจริงจุดมุ่งหมายของมันก็คือเพื่อเหยียดสีผิวดีๆ นั่นแหละ โดยมันถูกพบบ่อยที่สุดในช่วงลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่(1880-1914)ในช่วงเวลานั้นนักวิทยาศาสตร์บางคนพยายามพัฒนาทฤษฏีเพื่อประเมินความเหมาะสมของจักรวรรดิชาวยุโรปผิวขาว นอกจากนี้วิทยาศาสตร์สาขานี้ยังมีบทบาทในช่วงสงครามโลก(ทั้งก่อนและหลัง) มีส่วนอย่างยิ่งในการล้างเผ่าพันธุ์ ก่อนที่ปลายศตวรรษที่ 20 ลัทธิเชื้อชาติในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ถูกวิจารณ์ว่ามันล้าสมัยและสนับสนุนในการทำให้โลกแบ่งแยกเชื้อชาติ

หนึ่งตัวอย่างของการเหยียดเชื้อชาติคือ Drapetomania(มาจากภาษากรีกคือ “ทาสพยายามหลบหนี และ “บ้า”) เป็นทฤษฏีอาการทางจิตที่อธิบายโดยแพทย์อเมริกา แซมูมเอล เอ. คาร์ตไรท์(Samuel A. Cartwright) ในปี ค.ศ. 1851 ที่บอกว่ามันเป็นอาการป่วยทางจิตที่เกิดขึ้นกับทาสผิวดำที่พยายามหลบหนีและพยายามหนีจากการถูกจับกุม ส่วนมากเกิดกับพวกทาสที่ใช้แรงงานเกษตรและชาวสวน และโรคนี้ถือว่าเป็นหนึ่งของลัทธิชนชาติทางวิทยาศาสตร์ โดยเขาส่งมอบผลการวิจัยของเขาให้แก่สมาคมแพทย์แห่งรัฐหลุยเซียนา รายงานถูกตีพิมพ์ซ้ำอย่างแพร่หลายในอาณานิคมอเมริกัน โดยเขาอธิบายสาเหตุโรคนี้ว่า “เกิดจากนายทาสตีสนิทพวกทาสมากเกินไป และทำให้พวกทาสมีความคิดว่าพวกเขามีฐานะเท่าเทียมกับนายจ้าง” นอกจากนี้เขายังมีวิธีแก้ปัญหาไว้ในผลการวิจัยคือคือต้องลงโทษพวกเขา(ทาส)ให้อยู่สภาพจำนน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหนี

 

 

3. Divine Right of Kings

 

http://th.wikipedia.org

“เทวสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์” เป็นหลักความเชื่อทางการเมืองและการศาสนาของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่กล่าวว่าพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ภายใต้อำนาจใดในโลกเพราะทรงเป็นผู้ที่ได้รับอำนาจโดยตรงตามพระประสงค์จากพระเจ้า ฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงไม่อยู่ภายใต้อำนาจของประชาชน, ขุนนาง หรือสถาบันใดใดทั้งสิ้นในราชอาณาจักรที่รวมทั้งสถาบันศาสนาด้วย หลักความเชื่ออันนี้เป็นนัยยะว่าความพยายามในการโค่นราชบัลลังก์หรือความพยายามในการจำกัดสิทธิของพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและเป็นการขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้าโดยตรง และอาจจะถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นการนอกรีต

รากของหลักความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่ยุคกลางที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงมอบอำนาจทางโลกให้แก่พระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับที่ทรงมอบอำนาจทางธรรมให้แก่สถาบันศาสนาโดยมีประมุขเป็นพระสันตะปาปา ผู้ประพันธ์ทฤษฎีนี้คือฌอง โบแดง ผู้เขียนจากการตีความหมายของกฎหมายโรมัน เมื่อการขยายตัวของรัฐอิสระต่างๆ และการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์มีอิทธิพลมากขึ้น ทฤษฎี “เทวสิทธิ์” ก็กลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสนับสนุนในการให้เหตุผลในเอกสิทธิ์ในการปกครองของพระมหากษัตริย์ทั้งในด้านการเมืองและทางด้านศาสนา

ทฤษฎี “เทวสิทธิ์” ที่สนับสนุนโดยสถาบันโรมันคาทอลิกมามีบทบาทสำคัญระหว่างรัชสมัยการปกครองของสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (ค.ศ. 1603–1625) และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส (ค.ศ. 1643–1715) ทฤษฎี “เทวสิทธิ์” มาเริ่มลดความสำคัญลงในระหว่างสมัยการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1688 ถึงปี ค.ศ. 1689 นอกจากนั้นการปฏิวัติในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อในปรัชญานี้หมดความหมายลงไปมากยิ่งขึ้น และเมื่อมาถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีนี้ก็ถูกละทิ้งโดยสิ้นเชิง

 


         2. Mimizuka

  

                ในสมัยที่ญี่ปุ่นเกิดสงครามกลางเมือง(ยุคเซ็นโกคุ)ได้เป็นกลียุคอย่างแท้จริง การเมืองและความขัดแย้งทางการทหารอยู่สภาวะย่ำแย่สุดขีด และมีประเพณีทำเนียบสงครามมากมาย หนึ่งในนั้นคือการตัดหัวศัตรูขึ้นเงินรางวัล นักรบจะทำการฆ่าและตัวหัวศัตรูในสนามรบ โดยนำมาขึ้นเงินรางวัล โดยค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับศักดินาเจ้าของหัวนั้นว่ามีค่าเท่าไหร่....

                ในปี 1585 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิได้เป็นโชกุนของญี่ปุ่นที่ได้รวบรวมเป็นปึกแผ่น ปี 1592-1598 ญี่ปุ่นได้รุกรานเกาหลี มีเป้าหมายที่จะยึดครองเกาหลี หนู่เจิ้น (ปัจจุบันคือส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของจีน) จีนหมิง และอินเดีย แต่สุดท้ายความคาดหวังในสงครามของฮิเดโยชินี้ก็ล้มเหลว  เมื่อเขาพบว่าสงครามประเทศเพื่อนบ้านนี้มันไม่ง่ายเสียเลย

                แม้ว่าญี่ปุ่นจะไม่ประสบผลสำเร็จในการรุกรานเกาหลี แต่กระนั้นทหารญี่ปุ่นก็ได้ฆ่าทหารเกาหลีและพลเมืองเกาหลีไปมากมาย  และเป็นธรรมเนียมนักรบญี่ปุ่นมักนำหัวของศัตรูที่ตนฆ่าในสนามรบกลับไปเพื่อแลกเงินรางวัลหรือค่าตอบแทนด้วย แต่เนื่องจากจำนวนพลเมืองและทหารเกาหลีที่ถูกฆ่ามีมากมายเกินไปทำให้ไม่มีพื้นที่เก็บในเรือตอนกลับบ้าน ทำให้มีการกำหนดให้นำหูหรือจมูกมาแทนหัว(แช่ในน้ำเกลือ) มีการประมาณว่าคนที่ถูกนักรบญี่ปุ่นฆ่าตายในสงครามครั้งนี้อาจสูงถึงหนึ่งล้านคน และในช่วงเวลานี้เองก็มีการสร้างอนุสาวรีย์มิมิซูก้า(แปลว่าสุสานหู)ในเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่ฝังหูและจมูกของศัตรูที่นักรบญี่ปุ่นฆ่าในสงครามเกาหลีแล้วนำกลับประเทศจำนวนอย่างน้อย 38,000 คน และเป็นอนุสาวรีย์ที่ไม่ทราบเหตุผลแน่นอนว่าสร้างขึ้นอะไร แต่เป็นเรื่องปกติที่มีความเชื่อว่าศัตรูที่แพ้มักจะถูกฝังในแท่งบูชาศาสนา นอกจากนั้นยังคาดว่าน่าจะเป็นเครื่องหมายคำเตือนว่าใครที่คิดต่อต้านญี่ปุ่นจะเป็นเช่นนี้ โดยสถานที่แห่งนี้

                อนุสาวรีย์มิมิซูก้าไม่เป็นมีแค่ในโตเกียวเท่านั้น มันยังพบในบางที่ในประเทศ เช่นสุสานจมูกโอกายามา แม้ว่าสุสานนี้มีความเก่าแก่ แต่กระนั้นมันไม่เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเท่าใดนัก สถานที่แห่งนี้แทบไม่มีการกล่าวถึงในตำราเรียนญี่ปุ่น แต่ส่วนใหญ่ชาวเกาหลีรู้จักมันดีในฐานะสัญลักษณ์แห่งความโหดร้าย และตอนนี้ทางเกาหลีพยายามทำทุกอย่างเพื่อลบภาพความโหดร้ายนี้รวมไปถึงไม่ให้คนญี่ปุ่นได้รู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่ ยกตัวอย่างเช่น มีการมีการถอดแผ่นจารึกออกในปี 1960 ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ทราบความเป็นมาของสถานที่นี้ นอกจากนี้คู่มือท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก็ไม่ได้กล่าวถึงสถานที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย

       

1. Female Hysteria

 

ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่าฮิสทีเรีย(Hysteria) ว่ามันคืออะไร?  ฮิสทีเรีย เป็นชื่อเรียก ของอาการทางประสาทชนิดหนึ่ง คือโรคทางจิตเวชในกลุ่ม Somatoform Disorders ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายโรคทางกาย เช่น อาการปวดตามร่างกาย โดยในการตรวจโรคทางกายไม่พบความผิดปกติ คนส่วนมากคิดว่าฮิสทีเรียนั่นเกิดขึ้นกับผู้หญิงทำให้คนมักเข้าใจผิดว่าฮิสทีเรียเป็นโรคขาดผู้ชายไม่ได้ มีความต้องการทางเพศสูง และแสดงออกอย่างเปิดเผย และฮัสทีเรียจะไม่เกิดในผู้ชายเด็ดขาด เนื่องจากผู้ชายไม่มีมดลูก  ฮิปโปเครติสและการแพทย์ในสมัยกรีกโบราณเชื่อว่า ฮิสทีเรียเกิดจากการที่มดลูกมีอาการฝ่อเนื่องจากขาดการมีเพศสัมพันธ์ มดลูกจึงเคลื่อนตัวไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย  เชื่อว่าเมื่อมดลูกเคลื่อนไปที่คอหอย ก็จะทำให้สตรีมีความรู้สึกรักใคร่ หรือเมื่อเคลื่อนไปที่ม้ามก็ทำให้เกิดอารมณ์โกรธขึ้งหุนหัน เป็นต้น

ทางการแพทย์นั้นวินิจฉัยฮิสทีเรียมานับร้อยปี โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ความผิดปกตินี้มีการหารือกันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ในยุควิคตอเรียน(1837-1901) เพราะสมัยนั้นโรคนี้พบบ่อยมาก ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่เป็นโรคเหล่านี้มีความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะเป็นอาการนอนไม่หลับ ปวดช่องท้อง กล้ามเนื้อกระตุก หายใจถี่  ส่วนการศึกษาหาสาเหตุอาการเหล่านั้นยังไม่พบ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ทำให้หลายคนเชื่อว่าฮิสทีเรียคือโรคขาดผู้ชายไม่ได้ และเกิดจากมดลูก ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการรักษาแปลกๆ มากมาย

หนึ่งในการรักษาอิสทีเรียคือการใช้ไวเบรเตอร์ (vibrator) หรือภาษาบ้านเราเรียกว่าแท่งหรรษาแบบสั่น(??) เป็นอุปกรณ์ที่มีจุดประสงค์เพื่อสั่นกระตุ้นร่างกายและผิวหนัง กระตุ้นระบบเส้นประสาทเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายและความพึ่งพอใจ โดยส่วนมากไวเบรเตอร์มักออกแบบมาเพื่อใส่เข้าไปช่องคลอดหญิงเพื่อเร้าอารมณ์บรรลุจุ

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...