10 สัตว์โลกที่น่าเหลือเชื่อว่ามันจะมีจริงบนโลกใบนี้ (ภาค 2)

อันดับ 10 Olm

 

 

http://wowboom.blogspot.com/2010/03/olm.html หรือซาลาแมนเดอร์ถ้ำ หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Proteus anguinus เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม จนวิวัฒนาการไปอย่างสุดโต่ง และพวกมันยังปรากฎในผลงานเขียนในหนังสือเรื่อง On the Origin of Species ของ ชาลส์ ดาวิน สัตว์ชนิดนี้พบได้เพียงบริเวณทาง ตอนใต้ของยุโรป ในถ้ำ Dinaric karst อันมืดมิดเท่านั้น มีลำตัวยาว 20 - 30 เซ็นติเมตร มีลักษณะเป็นกลม มีเหงือกภายนอก 1 คู่ ใช้สำหรับหายใจอาศัยอยู่ในน้ำตลอดชีวิต มีขาสั้น โดยเท้าหน้ามี 3 นิ้ว ขาหลังมี 2 นิ้ว เนื่องจากพวกมันอาศัยอยู่ในถ้ำอันมืดมิด ทำให้ดวงตาแทบไม่มีการพัฒนา จนแทบจะเป็นอวัยวะไร้ประโยชน์สำหรับพวกมัน จึงทำให้ดวงตาของมันมีผิวหนังมาปกคลุม ใช้ประสาทสัมผัส ทางการได้ยิน และการดมกลิ่น ในการล่าเหยื่อ และพวกมันสามารถอดอาหารได้นานถึง 10 ปี นับเป็น สัตว์แปลก อีก 1 สายพันธุ์บนโลกนี้

อันดับ 9 Glass frog

 

 

กบแก้ว หรือ กราส ฟรอก เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งหน้า ก็กบธรรมดานั้นแหละแต่พึ่งค้นพบเมื่อไม่นานนี้เอง มันเป็นกบมีขนาดเล็กเพียง 3-7.5 เซนติเมตร แต่มันพิเศษกว่ากบตัวอื่นๆ หน่อยตรงที่มันมีผิวหนังโปร่งแสง และมองเห็นอวัยวะภายในได้ บางใสจนกระทั่งมองเห็นเส้นเลือด เห็นหัวใจ และตับไตใส้พุงทีเดียว แม้ผิวมันจะเป็นสีเขียวมะนาวก็ตาม กบชนิดพบได้แถวป่าอเมริกาใต้เอกวาเดอร์,ชายแดนโคลอมเบีย-ปานามาส่วนใหญ่จะอาศัยบนต้นไม้ หากแต่จะลงมาที่แม่น้ำลำธารในช่วงฤดูผสมพันธุ์ วิธีการวางไข่จะแตกต่างกันระหว่างชนิด กบชนิดนี้จะวางบนใบไม้หรือพุ่มไม้เหนือน้ำ กบตัวผู้จะดูไข่ระยะหนึ่ง หลังจากฟังลูกอ๊อดจะตกน้ำพร้อมที่จะเติบโตเป็นพบใสตัวต่อไป

อันดับ 8 Archaeidae

 

 

Archaeidae หรือ แมงมุมนกกระทุ้ง จัดอยู่ในตระกูลแมงมุม สาเหตุที่ชื่อนั้นว่ามันมีปากเรียวยาวและคอที่ยาวดในการจับแมลงในระยะไกลจากตัวมันได้อย่างง่ายดาย(เหมือนในภาพ) พบในแอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และมันไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

อันดับ 7 Yeti Crab

 

 

http://wowboom.blogspot.com/2009/02/yeti-crab.html ปูเยติ หรือ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า " Kiwa hirsuta " เป็นปูประหลาดที่พบในทะเลลึก จะของมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างไปทางใต้ของเกาะอีสเตอร์ 1500 กิโลเมตร ในน่านน้ำของประเทศชิลี บริเวณช่องใต้ทะเลที่มีพิษอยู่จำนวนมาก ปูชนิดนี้มีจุดเด่นคือมันมีขนสีขาวจำนวนมากปกคลุมบริเวณ ก้าม และขาของปู ซึ่งทำให้มันเหมือนกับตัวเยติ ( Yeti ) แห่งยอดเขาหิมาลัย ซึ่งสาเหตุที่มันมีขนมากขนาดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงของนักวิทยาศาสตร์ บ้างก็ว่า บนเส้นขนนี้เป็นกับดักแบตเทอร์เลีย ที่ปูเยติใช้หาอาหาร แต่มีบางคนแย้งว่าเชื้อเหล่านั้นมีหน้าที่เป็นตัวกรองแร่ธาตุที่มีพิษ ที่พ่นออกมาจากช่องใต้ทะเล

อันดับ 6 Hatchet fish

 

 

ปลาแฮทเช่ฟิช หากมองด้านขางเราจะเห็นว่ามันเป็นปลาธรรมดาทั่วๆ ไป แต่หากมองจากด้านหน้าละก็สยองขวัญมากๆ เพราะมันหน้าเหมือนคนไม่มีผิด ปลาน้ำลึกนี้พบได้ในหมาสมุทรทั้งหมดยกเว้นพื้นที่ที่หนาวจัด มันชอบน้ำทะเลเขตร้อนจำพวกมหาสมุทรอินเดียมากกว่า มันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในความมืดที่มืดมิดมาโดนตลอด แต่มันสามารถเรืองแสงได้ และสามารถล่อเหยื่อให้เข้ามาใกล้ได้ แม้มันจะดูน่ากลัว แต่มันมีขนาดเล็กไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น(ประมาณ 2.8 Cm)

อันดับ 5 Vampire squid form hell

 

 

http://www.animallovely.com/?p=332 หมึกแวมไพร์มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vampyroteuthis infernalis เรียกเล่นๆว่า vampire squid form hell หมึกแวมไพร์จะมีผิวนุ่มนิ่มสีดำ เหลือบน้ำตาลของมัน หนวดทั้งแปดที่ยึดกันด้วยพังผืดมองดูคล้ายร่ม ด้านในของร่มมีสีดำสนิทและมีหนามแหลมๆเรียงตัวตามแนวของหนวด บวกกับดวงตากลมโตบางทีแดงก่ำ บางทีสีน้ำเงิน ด้วยรูปร่างลักษณะเช่นนี้มันจึงถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า ถ้าเป็นหนังคงตั้งชื่อไทยว่า หมึกปีศาจ เนื่องจากมันใช้ชีวิตผ่านกาลเวลามาหลายล้านปีโดยที่สภาพหน้าตาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยสันนิษฐานว่ามันมีอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายของยุค tertiary จากลักษณะรูปร่างของมันที่พ้องกับฟอสซิลของหมึกบางชนิดในยุคนั้นและก่อนหน้านั้น การใช้ชีวิต การเคลื่อนที่ การใช้สารเรืองแสง ระยะการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ที่ตัวเมียสามารถเก็บน้ำเชื้อตัวผู้ไว้ได้เป็นปีและไข่ก็สร้างเก็บในรังไข่ไว้ได้นานเช่นกันและตัวเมียมักตายไม่นานนักหลังวางไข่ ส่วนใหญ่มันกินแต่กุ้งเล็กๆและแพลงตอนซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามันอยากได้อาหารมากกว่านี้มันต้องลอยตัวขึ้นไปสูงกว่านี้ แต่มันชอบที่มืดๆมากกว่า รู้สึกปลอดภัยและคุ้นชินกว่าแสงสว่างด้านบน อาหารที่กินแค่เศษซากเนื้อเล็กๆหรือแพลงตอนที่ลอยมาก็อิ่มแล้ว

อันดับ 4 Mata Mata

 

 

เต่าก้อนหินยักษ์ เต่าน้ำจืด มีถิ่นอาศัยบริเวณทวีปอเมริกาใต้ เมื่อโตเต็มวัยกระดองจะยาว 50 เซนติเมตร และน้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม มีลักษณะแปลก ส่วนหัวแบนแผ่เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ จมูกเล็กเรียวเป็นหลอดค่อนข้างยาว กระดองขรุขระคล้ายก้อนหิน มีสีและรูปร่างคล้ายใบไม้แห้งและก้อนหิน ใช้ในการพรางตัวล่าเหยื่อเต่าชนิดนี้มีนิสัยรักสงบ ปัจจุบันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่มีราคาแพงและหา

อันดับ 3 Axolotl

 

 

http://wowboom.blogspot.com/2009/02/mexican-axolotl.html จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นว่า " ACK-suh-LAH-tuhl " หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ซาราแมนเดอร์ ( salamander ) ตามรูปที่เห็นนี้ จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน อยู่ในช่วงตัวอ่อน ซึ่งลักษณะเด่นของช่วงตัวอ่อนคือ ครีบระยางรอบคอ ที่ทำหน้าที่เป็นเหงือภายนอก สำหรับดูดออกซิเจนในน้ำของปลา แห่งที่พบคือแหล่งน้ำที่ชื่อว่า Xochimilco ใกล้กับเมือง เม็กซิโกซิตี้ มันอาศัยอยู่ในน้ำตลอดชีวิต ขนาดโตเต็มที่สามารถมีความยาวถึง 30 เซ็นติเมตร แต่ทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 15 เซ็นติเมตร และมีสีดำ และจุดสีน้ำตาล พวกมันกิน พวกหอย หนอน ตัวอ่อนแมลง ลูกปลาซึ่งใ นสมัยก่อน,yoถือว่าเป็นผู้ล่าอันดับต้นๆของห่วงโซ่อาหารในแหล่งน้ำทีเดียว แต่ปัจจุบันพวกมันถูกลุกลานจากปลาใหญ่ที่คนนำมาปล่อย หรือเพาะเลี้ยง และนกนักล่าจำพวกนกกระสา ( Heron )เนื่องจากพวกมันเป็นที่นิยมทั้งในเม็กซิโกเอง และเป็นที่ต้องการของตลาดซื้อขายสัตว์น้ำทำให้มันถูกล่า และเป็นที่น่ากังวลว่าพวกมันอาจจะสูญพันธ์จากแหล่งน้ำในธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง

อันดับ 2 Leafy Sea-dragon

 

 

http://wowboom.blogspot.com/2009/11/leafy-sea-dragon.html มังกรทะเลใบไม้ชื่อนั้นมาจาก รูปร่างที่คล้ายมังกร และทั่วทั้งลำตัวมีสิ่งที่ยื่นออกมาคล้ายใบไม้ปกคลุมเต็มไปหมดส่วนที่ยื่นออกมานี้ไม่มีส่วนในการช่วยในการว่ายน้ำเลย ทั้งหมดมีประโยชน์เพียงเพื่อการพลางตัวเท่านั้น เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งเมื่อโตเต็มที่ จะมีความยาวประมาณ 20 - 24 เซ็นติเมตร ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับ ม้าน้ำ(Seahorse) แต่ไม่ใช่ม้าน้ำ ที่พบได้เพียงแหล่งเดียวในโลกที่ บริเวณทางตอนใต้ และทางตะวันตก ของประเทศออสเตรเลียพวกมันไม่ชอบว่ายน้ำ แต่จะใช้การเคลื่อนที่โดยการ ไหลไปตามกระแสน้ำ ยิ่งทำให้พวกมันเหมือนใบไม้ที่ลอยไปในทะเลยิ่งขึ้น พวกมันกินพวกแพลงตอน(Plankton) และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เนื่องจากปากที่มีลักษณะเล็ก ยาวและพฤติกรรมเหมือนม้าน้ำ คือตัวผู้จะเป็นตัวที่อุ้มท้องเหมือนม้าน้ำ แต่มันไม่ใช่ม้าน้ำ จึงไม่มีกระเป๋าหน้าท้องไว้ฟักใข่ แต่ตัวเมียจะวางไข่ติดไว้ที่หางของตัวผู้แทน

อันดับ 1 Coelacanth

 

 

ปลาซีลาแคนธ์หรือซีลาคานท์หรือซีลาขันธ์ ถือเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดและถือว่าเป็นการฉีกหน้านักวิทยาศาสตร์เต็มๆ เพราะตอนแรกนั้นนักวิทยาศาสตร์กล่าวไว้ว่ามันสูญพันธุ์ตั้งแต่เมื่อ สิ้นยุค Cretaceous เมื่อ 65 ล้านปีก่อนโน้น แต่แล้วจู่ๆ ก็มีการค้นพบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1938 ครั้งถูกจับได้ที่ปากแม่น้ำ Chalumna ทางชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาใต้ และที่เกาะ Grand Comoro ปลาซีลาแคนธ์เป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด ที่รูปร่างของมันแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยในระยะเวลานับหลายร้อยล้านปี รูปร่างของมันทุกวันนี้เหมือนกับเมื่อ 140 ล้านปีก่อนทุกประการ ปลาซีลาแคนธ์ จัดได้ว่าเป็นญาติกับ Eusthenopteron ซึ่งเป็นปลาในยุคเริ่มแรกที่มีขา และเริ่มที่จะวิวัฒนาการมาเป็นพวกสัตว์บก แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอแนวคิดใหม่ที่ว่า Icthyostega Panderirchthyes และ Acanthotega เป็นบรรพบุรุษของ Tetrapod (สัตว์ 4 เท้า เช่นพวก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงมนุษย์ด้วย) ในช่วง 200 ล้านปีก่อน พวกนั้นมีกันมากกว่า 30 ชนิด ที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น ถือว่าเป็นยุคทองของปลาซีลาแคนธ์เลยก็ว่าได้ มีอยู่ 3 ชนิดจากทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด โดยมีอยู่ 2 ชนิดที่ไม่นับรวมเป็นปลาซีลาแคนธ์โบราณเนื่องจากว่า ทั้ง 2 ชนิดนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก น้อยตัวที่จะมีขนาดใหญ่กว่า 55 ซม. ส่วนปลาซีลาแคนธ์ที่พบในยุคปัจจุบันยาวได้ร่วม 6 ฟุต (1.8 เมตร) และมีน้ำหนักถึง 150 ปอนด์ หรือมากกว่านั้น (ยักษ์ใหญ่แห่งโมแซมบิค ตัวอย่างที่จับได้ตัวนี้เป็นตัวเมียที่มีขนาดใหญ่มากมีขนาดถึง 1.8 เมตร และหนังถึง 95 กิโลกรัม) โดยทั่วไปแล้วปลาซีลาแคนธ์จะมีขนาดเล็กกว่านี้ โดยเฉพาะตัวผู้มีขนาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1.65 เมตร ในช่วงเริ่มต้นของยุค Devonian ปลาซีลาแคนธ์ยุคนั้นยังเป็นปลากระดูกอ่อน ซึ่งภายในกระดูกสันหลังประกอบด้วยท่อที่เป็นกระดูกอ่อนที่บรรจุของเหลวอยู่ภายใน ซึ่งสามารถโค้งงอได้ Hollow fin spine ซึ่งพบในฟอสซิลเป็นที่มาของชื่อ ซีลาแคนธ์ (Coelacanth) ซึ่งมีความหมายในภาษากรีกว่า Hollow spine ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างจาการที่ไม่มีขากรรไกร มาเป็น มีเหงือกหลักแบบบานพับ และมีกะโหลกที่แข็งแรง (ปลาในสมัยก่อนหน้านี้ กระดูกจะหุ้มส่วนหัวอยู่ภายนอก จนดูเหมือนใส่เกราะ เพื่อป้องกันส่วนหัวไม่ให้ได้รับอันตราย) ฟันถูกจัดวางบริเวณสันของขากรรไกรล่าง และฟันบนอยู่บริเวณเพดานปาก (ถือได้ว่าเป็นขากรรไกรแท้จริง) สมองมีขนาดเล็กอยู่ภายในกะโหลกแข็ง กระดูกพับบริเวณส่วนกลางช่วยขยายขนาดของปาก เพื่อใช้ในการกินอาหาร (ลักษณะเช่นนี้พบได้ในสัตว์จำพวกกบ) ตาได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น โดยมีเซลล์สะท้อนแสงที่เรียกว่า tapila เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองในที่มืด, (Chamber heart pump blood)ห้องของหัวใจเป็นต้นแบบของมนุษย์ยุคปัจจุบัน บริเวณจมูกมีรอยเว้า 3 รอยแต่ละข้าง ซึ่งช่องนี้จะเรียกว่า Rostal Organ ภายในเต็มไปด้วยเจล อวัยวะส่วนนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องรับกระแสไฟฟ้า (Electro receptor) เพื่อใช้ในการหาตำแหน่งของเหยื่อ, เส้นข้างลำตัวที่รับแรงสั่นสะเทือนจะพัฒนาไปเป็นส่วนรับสัมผัส (Ploximity) ในปลาชนิดอื่นๆ ซึ่งใช้ตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่ จังไม่เป็นที่สงสัยเลยว่ามันจะมีประโยชน์แค่ไหนเมื่อพวกมันว่ายผ่านเข้าไปยังถ้ำใต้ทะเล ปลาซีลาแคนธ์มีครีบหลัง 2 คู่ และยังมีครีบอีกอีก 1 ครีบบริเวณช่วงข้อต่อของส่วนหาง โดยครีบ 2 คู่แรกจะอยู่ตรงครีบอก และครีบตรงเชิงกราน ครีบเหล่านี้จะเป็นลักษณะพูเนื้อมีกระดูกเป็นแกนอยู่ภายในคล้ายกับ Eusthenopteron ซึ่งต่อมาจะพัฒนาไปเป็นแขนและขา ในพวกสัตว์บก อย่างไรก็ตามปลาซีลาแคนธ์ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่จะใช้ในการเดินใต้พื้นทะเล. ครีบอกและครีบบริเวณเชิงกราน จะเป็นรูปแบบ pre-adaption (รูปแบบดั้งเดิมก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะที่ใช้เคลื่อนไหวบนบก). การใช้ประโยชน์ครีบเหล่านี้ในน้ำนั้นนอกจากจะใช้เดินใต้พื้นทะเลแล้ว ยังใช้ในการคอยรักษาความนิ่ง ความสมดุล แต่ในญาติของปลาซีลาแคนธ์ Eusthenopteron จะทำหน้าที่เหมือนเป็นขาทั้ง 4 ข้างเพื่อใช้ในการเดิน เกล็ดของปลาซีลาแคนธ์มีความหนาและเป็นเส้นโดยวางตัวในลักษณะฟันปลาเรียงกันแน่น, การแยกปลาซีลาแคนธ์ออกจากปลาชนิดอื่นทำได้ง่ายเนื่องจากว่า ลักษณะหางของปลาซีลาแคนธ์จะมีลักษณะเป็น 3 พู ปลาซีลาแคนธ์นั้นสามารถกินปลาได้แทบทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นทะเลไม่ว่าจะเป็น ปลาหมึกทุกชนิด, ปลาไหลใต้ทะเลลึก และปลาทั่วๆไปที่พบได้ในบริเวณ แนวหินใต้ทะเลลึก ส่วนสีสันของปลาซีลาแคนธ์นั้นจะเป็นสีน้ำเงิน มีจุดสีขาวกระจายตามลำตัว และยังมีอีกชนิดที่รูปร่างคล้ายกันแต่ต่างกันตรงที่พื้นสีที่จะเป็นสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีน้ำเงิน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความมีลักษณะเฉพาะตัวของซีลาแคนธ์ ทำให้มันมีชีวิตได้ยืนยาวกว่า 60 ปี ปลาซีลาแคนธ์ นั้นชอบอาศัยอยู่ในน้ำลึก ตั้งแต่ 150-300 เมตร และสามารถว่ายน้ำถอยหลังได้ และว่ายน้ำแบบหงายท้องก็ได้ นอกจากนี้มันชอบอาศัยอยู่ในถ้ำใต้น้ำ และพักผ่อนในตอนกลางวัน นอกจากนี้ซีลาแคนธ์ นั้นไม่ชอบอพยพไปอยู่ที่อื่นเพราะเครื่องส่งสัญญาณที่ติดตามตัวปลาแสดงให้เห็นว่าปลาซีลาแคนธ์ ไม่ชอบว่ายน้ำไปไกลจากถิ่นที่อาศัยอยู่มากนัก การที่จำนวนมันลดลงก็เท่ากับว่ามันตายไปแล้วและสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันสูญพันธุ์ได้ง่ายก็เพราะว่าวิธีการสืบพันธุ์ของมัน ตัวเมียตามปกติจะอุ้มท้องที่มีไข่ ซึ่งถูกผสมพันธุ์แล้วประมาณ 20 ใบ มันจะไม่วางไข่ แต่จะใช้เวลานานถึง 13 เดือน ในการฟักไข่ และไข่ที่ถูกฟักเป็นตัวมีจำนวนประมาณ 5 ฟอง และทันทีที่ลูกปลาออกจากไข่มันจะกินพี่น้องตัวที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นการที่เราจับปลาซีลาคานท์ตัวเมียได้เปรียบเสมือนการฆ่ามันทั้งตระกูลเชียวล่ะ ปัจจุบันซีลาแคนธ์ถูกจัดอยู่ในสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะถิ่นที่อยู่อาศัยในบริเวณนั้นถูกคุกคามจากการจับทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจซึ่งเมื่อถูกจับขึ้นมา จะถูกทิ้งไว้ทิ้งบริเวณผิวน้ำซึ่งปลาไม่สามารถกลับลงไปในระดับเดิมได้และตายลงในที่สุด อีกทั้งเชื่อว่าของเหลวในแกนสันหลังของปลาทำยาอายุวัฒนะได้ จึงถูกสั่งซื้อโดยประเทศจีน ไต้หวัน ปลามีราคาสูงถึง 500-2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในตลาดจีน และ ไต้หวัน คาดว่าประชากรซีลาแคนธ์ที่เกาะ Grand Comoro มีจำนวนไม่ถึง 100 ตัว แต่อย่างไรก็ตามได้ซีลาแคนธ์ ถูกบรรจุอยู่ในบัญชี CITES อีกทั้งสมาคมนักอนุรักษ์ทั้งหลายก็พยายามอนุรักษ์ ปลาดึกดำบรรพ์นี้โดยขอร้องให้รัฐบาล Comoran ออกกฎหมายห้ามชาวประมงจับปลาน้ำลึกและให้ธนาคารโลกสนับสนุนโครงการติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพใต้น้ำระยะไกลเพื่อจับภาพตามถ้ำที่ปลาซีลาแคนธ์ อาศัยอยู่เป็นวีดีโอสดๆให้นักท่องเที่ยวและนักวิทยาศาสตร์ได้ชมกันแทนที่จะไปดำดูตัวเป็นๆ? แต่ถึงแม้จะได้รับความคุ้มครองเพียงใด ซีลาแคนธ์ นั้น ก็ลดจำนวนเหลือน้อยลงไปทุกที สาเหตุเพราะ การลักลอบฆ่ามันเพื่อแลกกับเงิน 10,000-50,000 บาท ในขณะที่รายได้ต่อปีของประชากรชาว Comoran เพียง 10,000 บาทต่อปีเท่านั้น และการที่ชาวเกาะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็ทำให้การลักลอบจับซีลาแคนธ์ มีมากขึ้นตามไปด้วย

24 มิ.ย. 53 เวลา 06:28 11,079 50 530
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...