พิธีกรรมประหลาด

พิธีศพอินเดีย เผาตัวเอง


ตายตามสามี ( Suttee )



สุตที 
สุที สุทที


Suttee หรือ Sati คือพิธีศพ ทาง ศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจจากการที่สามีเสียชีวิต โดยภรรยามานั่งข้างๆศพสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ในการเผาศพ และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี หรือถ้าเมียคนไหนไม่ยอม หรือหนีออกจากกองเพลิง ก็จะถูกจับมัดแล้วโยนเข้ากองเพลิงให้ตายตกตามสามีไป
พิธีกรรม นี้ถูกสืบทอดกันมาในอินเดียเป็นเวลานาน อินเดียถูกยึดครองโดยของอังกฤษ พวกผู้ปกครองชาวอังกฤษเห็นว่า พิธีกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่เ***้ยมโหดร้ายมากจึงได้ยกเลิก และถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมายในปี 1829 แต่ก็มีการแอบลักลอบกระทำกันอีกเรื่อยมา


จาก รูปจะเห็นว่า หญิงหม้ายจะยืนอยู่บนเนิน รูปแรกเธอจะกระโดดเข้ากองเพลิงเอง แต่รูปที่สองบริเวณรอบคอของเธอจะถูกผูกด้วยเชือก แล้วยืนอยู่หลังม่าน แล้วเธอจะถูกกระชากตกลงมาในกองเพลิง


พิธีศพแห่ง เวหา ( Sky burial )

พิธีศพ


แห่งเวหา ( Sky burial )





ชาว ธิเบตมีแนวทางในการประกอบพิธีศพ อยู่ 5 แนวทางคือ
พิธีศพโดยการลอยน้ำ ( Water Burial ) ก็จะนำศพผู้เสียชีวิตนำไปลอยน้ำในแห่งน้ำ สระ ศพจะเน่าสลายไป หรือบางส่วนก็ถูกปลากิน จึงเป็นเหตุว่าทำไมชาวธิเบตจึงไม่กินปลา พิธี ศพโดยการเผา ( Fire Burial ) จะเป็นพิธีศพของผู้มีอันจะกิน เนื่องจากไม้สำหรับเผา และน้ำมันมีราคาแพงมาก และยังหาได้ยากยิ่งสำหรับธิเบต พิธีศพโดยการฝัง ( Earth Burial ) ก็เหมือนทั่วไปแต่เนื่องจากธิเบตเป็นเทือกเขาสูง พื้นดินส่วนมากจึงเป็นหินแข็งการฝังจึงทำได้ยากลำบาก พิธี ศพโดยการดองศพ ( Embalming ) โดยการใส่ศพลงในโลงขนาดใหญ่ พร้อมกับเกลือประมาณ 3 เดือน โดยมากจะประกอบพิธีศพประเภทนี้กับ ลามะ นักบวชเท่านั้น พิธี ศพแห่งนภา ( Sky Burial ) จึงเป็นพิธีศพที่บุคคลทั่วไปมักจะประกอบพิธีศพให้แก่ญาติมิตรที่จากไปเนื่อง จากทำได้ง่าย และประหยัด

ภาพ ซ้ายเป็นภาพจากหนังสือ และขวาเป็นรูปเครื่องมือที่ใช้ประกอบพิธีศพแห่งนภา

ขั้นตอนพิธีศพแห่งนภา ( Sky Burial )
หลังจากเสียชีวิต จะนำศพไปที่วัด ทำ การ หันศพเป็นชิ้น โดยพระ หรือชนชั้นสูง หลังจาก หันเป็นชิ้นๆ พระจะทำการลับมีกับหิน พร้อมกับเดินวนรอบศพ พร้อมท่องมนต์ แล้วทำการเลอะเนื้ิอออกจากกระดูก ส่วนกระดูกจะถูก ทุบให้แตกเป็นชิ้น ด้วยด้วยค้อน หรือสันขวาน และผสมแป้ง Tsampa ซาก ศพชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งหมดจะถูกทิ้งไว้ให้นกแร้งกิน และนำพาพวกเขาขึ้นสู่สรวงสวรรค์













ภาพการประกอบพิธีศพแห่งนภา อาดจะสยอง แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกนี้



เท้าดอกบัว ( Foot


Binding )





Foot Binding เท้าดอกบัว เป็นค่านิยมของหญิงงามชาวจีนในยุคศตวรรษที่ 10 และได้เสื่อมความนิยมลงในยุคศตวรรษที่ 20 เมื่อเด็กหญิงชาวจีนทีมีอายุประมาณ 3 - 6 ขวบ จะถูกมัดเท้าด้วยผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย อย่างแน่นหนา เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เท้าเจริญเติบโตตามปกติ แต่เนื่องจากเท้ายังคงมีการเจริญโตอยู่ สิ่งที่ได้ก็คือการทำให้เท้าเกิดการเจริญเติบโตอย่างผิดรูป ทำให้เท้าของพวกเธอมีขนาดเพียง 10 -15 เซ็นติเมตรเท่านั้น และหญิงสาวที่มีเท้าเล็กมากจะได้รับการยกย่องว่าเป็น "เท้าดอกบัวทอง"
ขั้น ตอนการทำเท้าดอกบัว
เท้าจะถูกชโลมด้วย น้ำยาออุ่นสูตรพิเศษ ที่มีส่วนผสมของสมุนไพร และเลือดสัตว์ น้ำยานี้จะทำให้เท้าอ่อนลงเพื่อง่ายต่อการมัดเท้าให้เล็ก เล็บ เท้าจะถูกถอดออก เพื่อป้องกันการงอกใหม่ และป้องกันการติดเชื้อที่บริเวณนิ้วเท้า นิ้วเท้า ทั้งแปดจะถูกหักลง ยกเว้นนิ้วโป้ง แล้วห่อมัดเท้าให้อยู่ในรูปทรงที่ต้องการ

รูป ซ้ายลักษณะการห่อเท้า รูปขวาลักษณะเท้าที่ผิดรูปไปจากการห่อเท้า

กำเนิดและความเชื่อเรื่องเท้าดอกบัว
ที่มาที่ไปของการรัดเท้านั้น มีเรื่องเล่าว่า ในยุคต้นศตรวรรษี่ 10 จักรพรรดิ Li Yu แห่ง ราชวงศ์ถัง ได้สั่งให้นางทาสรัดเท้าของเธอด้วยผ้าไหม และขึ้นไปร่ายรำบนเวทีที่โรยด้วยดอกบัวทอง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประเพณีการรัดเท้ากับดอกบัวทองจึงเป็นของคู่กันมา
บางกระแส ก็บอกว่า การรัดเท้าเป็นแผนที่ผู้ชายสมัยนั้นคิดขึ้นได้อย่างแยบยล เนื่องจาก ในสมัยนั้นจักรพรรดิเกรงว่า เหล่านางสนม นางบำเรอ ที่มีเท้าปกติดี จะหลบหนีออกนอกวังได้อย่างสะดวก สบาย อย่ากระนั้นเลย คิดแผนนี้ขึ้นมาดีกว่า และก็ได้ผลจริงๆด้วย บางกระแส ก็มีความเชื่อที่ว่า การรัดเท้านั้นจะทำให้อวัยวะเพศอวบอูม เป็นที่รักใคร่ของสามี มีความเชื่อว่าผู้หญิงที่ มีเท้าเล็กจะมีผู้ชายที่ดีๆ ร่ำรวยมาสู่ขอ รวม รูปภาพ เ้ท้าดอกบัว


รูป ซ้ายเป็นรูปเปรียญเทียบให้ดูเท้าของคนปกติ กับเท้าดอกบัว ภาพนี้ภ่ายเมื่อปี 1902 รูปขวาเทียบให้ดูว่ารองเท้าสำหรับหญิงที่มีเท้าดอกบัว รองเท้าใหญ่หว่าซองบุหรี่เล็กน้อยเท่านั้น


ปัจจุบัน ยังมีหญิงชาวจีนบางคนที่มีเท้าดอกบัวที่ยังมีชีวิตอยู่ แม่เฒ่าในรูปมีชื่อว่า โจวกุ้ยเจิน วัย 86 ปี ชาวหมู่บ้าน หลิวอี้ มณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน)



รูป X-Ray กระดูกเท้าที่ผิดรูป พร้อมกับภาพลักษณะกระดูกของเท้าดอกบัว


รอง เท้่าคู่สวย ของหญิงสาวเท้าดอกบัว



มัมมี่ พระญี่ปุ่น





Mummy เป็นหนึ่งในการบำเพ็ญเพียร เป็นที่สุดแห่งการปฎิบัิติเพื่อการหลุดพ้น(ตามความเชื่อของ นิกาย) แนวทางของพระเหล่านี้มุ่งเน้นที่การหลุดพ้น โดยการ ทรมาน ตนเองอย่างยิ่งยวด และมีความเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าเมื่อ พระพุทธเจ้าเสร็จกลับมายังโลกอีกครั้ง พระที่เป็นมัมมี่ จะฟื้นคืนชีพมารับเสร็จได้อีกครั้ง มาดูแนวทางการปฏิบัติเพื่อเป็นมัมมี่ กันดีกว่า (สำหรับผมแล้วผมว่ามันเกินกว่าขีดจำกัดที่มนุษท์ธรรมดาจะปฏิบัิติได้ ถ้าหากขาดซึ่งศรัษา และความเชื่ออย่างแรงกล้า)

วิธี ปฏิบัติตน เพื่อเป็นมัมมี่พระ
ขั้นแรก ผู้ปฏิบัติจะเริ่มต้นด้วยการงดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ แล้วเขากินอะไรกันก็กิน เมล็ดพืช ต่างๆในป่าที่ปฎิบัติ พร้อมทั้งมีการฝึกกายต่างอย่างเช่น บำเพ็ญเพียรในน้ำตกที่หนาวเย็น (อาดเคยเห็นในหนังกัน) เป็นเวลา 1000 วัน wowboom

รูป ชุดเครื่องแต่งกายพระขณะฝึกตนในป่า
ขั้นที่สอง ผู้ปฎิบัติจะหยุดกิน เมล็ดพืช แต่จะกินเฉพาะเปลือกต้นสน และรากต้นสน และจะหยุดการฝึกตนในป่า แต่จะมาปฏิบัิตธรรม นั่งวิปัสนากรรมฐาน เข้าชาญ เป็นเวลา 1000 วัน มีการกล่าวว่าในช่วงท้ายของการปฎิบัติ พระจะมีรูปร่างคล้าย โครงกระดูก เดินได้ และเมื่อลงไปอาบน้ำในถัง แล้วตัวจะลอยน้ำ เหล่าลูกศิทษ์้ต้องคอยกดให้ตัวจมน้ำเพื่อให้สามารถอาบน้ำได้ ในช่วงวันท้าย ของการปฏิบัติในช่วงที่สองนี้ พระจะต้องฉันชาชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของน้ำเลี้ยงต้น Urushi (จะมีลักษณะเป็นน้ำยางสีแดงเลือดนก เข้น ชาวญี่ปุ่นมักนำ้ไปเคลือบ ถ้วยชาม) วันสุดท้าย จะดื่มชาอีกชนิดที่มีส่วนผสมของเกลือจากน้ำพุร้อนศักกิ์สิทธิ์ (จากการวิเคาระห์เกลือนี้พบว่ามีสารหนูประกอบเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งว่า ทำไมพระเหล่านี้ถึงตายแล้วไม่เน่าเปื่อย ได้ในประเทศที่มีภูิมิอากาศร้อย ความชื้นที่ไม่อำนวยต่อการรักษาสภาพศพ เช่นนี้ โดยน้ำชาจากต้น Urushi จะไปเคลือบกระเพาะ และลำไส้ และสารหนูซึ่งร่างกายไม่สามารถขับออกจากร่างกายจะไปสะสมตามส่วนต่างของร่าง กาย และหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคเตเรียต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการเน่า ขั้นที่สาม หลังจากดื่มชาผสมเกลือจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ก็จะไปนั่งในสุสานใต้ดินขนาดพอใหญ่พอดี แค่นั่งได้แล้วทำการฝังทั้งเป็นโดยมีเพียงที่ไม้ไผ่ หนึ่งลำโผล่ขึ้นมาบนผิวดินเพื่อเป็นท่อหายใจ โดยพระในสุสานจะคอยสั่นกระดิ่งวันละครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณว่ายังมีชีวิตอยู่ (มีคำกล่าวอ้างว่ามีพระบางรูปสามารถมีชีวิตอยู่ในสุสานใต้ดินได้ถึง 13 วัน) หลังจากวันสิ้นเสียงกระดิ่งวันสุดท้าย (คือมรณภาพ แล้ว) จะเก็บศพไว้อีกเป็นเวลา 1000 วันใต้ดิน หลังจากนั้นจะขุดศพขึ้นมา ซึ่งศพเหล่านี้จะได้รับการแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายของพระชั้นสูง และได้รับการเคารพบูชาอย่างสูง
  รูป แบบร่างสุสานใต้ดินที่พระใช้เก็บตัวในวาระสุดท้าย









การทำโทษ โดย การปาหิน

( Stoning )





Stoning เป็นบทลงทำโทษ ด้วยวิธีการปาหิน เมื่อมีการตัดสินว่าผู้ต้องหา มีความผิดในการคบชู้ หรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เขา หรือ เธอจะถูกห่อ แล้วนำไปฝังครึ่งตัว เพื่อป้องกันการหลบหนี โดยที่มีชาวบ้านรุมล้อมพร้อมกับขว้างปาหินเข้าใส่ผู้ถูกลงโทษ ในขณะเขา หรือ เธอ จะร้องหาพระเจ้า ว่า Allah อย่างเจ็บปวด จนกระทั้งเสียชีวิต


รูป คู่เกย์ ชาวอีรักสองคนที่กำลังถูกชาวบ้านที่บ้าคลั่งกำลังปาหินใส่จนเสียชีวิต หากใจแข็งพอดูคลิปวีดีโอได้ตาม Link ข้างล่างบอกตรงว่าดูแล้วหดหู่สุดตอนแรกว่าจะ Post ขึ้นบล็อกแต่มันโหดร้ายมากเลยไม่เอาดีกว่า
http://kamangir.net/2007/10/04/woman-to-be-stoned-we-have-to-stop-it/


#พิธีกรรม #ลึกลับ
silagameza
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
6 มิ.ย. 53 เวลา 08:04 10,195 17 184
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...