รอยจูบที่ตราตรึงไว้ในประวัติศาสตร์ศิลป์

เรื่องราวของความรักที่อยู่ในอารยธรรมมนุษย์​

ศิลปะเป็นหนึ่งในร่องรอยอารยธรรมของมนุษยชาติที่บอกเล่าเรื่องราวทางสังคมและประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน และประเด็นความรักใคร่ก็เหมือนว่าจะปรากฎอยู่ทั่วไปในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกเหตุการณ์เกิดขึ้น ความรักจึงถูกบันทึกในรูปแบบของศิลปะไม่ว่าจะยุคสมัยไหน และกริยาใดเล่าที่จะสื่อถึงความรักได้ดีกว่าการจูบ? วันนี้ จึงขอนำเสนอสุดยอดรอยจูบที่ยังตราตรึงอยู่ในใจนักเสพศิลป์ทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน

Ain Sakhri Lovers (c 10,000 BC)

ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นภาพแสดงความรักทางชู้สาวที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ มันถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นยุคเกษตรกรรม (age of agriculture) ถูกค้นพบในถ้าใกล้เมืองเบธเลเฮม (Bethlehem) และ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งประเทศอังกฤษ (British Museum) ถึงแม้ว่าคนทั้งสองในผลงานนี้จะไม่มีหน้า และไม่มีการระบุเพศชัดเจน แต่เห็นได้ว่าทั้งคู่เป็นคู่รักที่เกิดมาจากก้อนหินก้อนเดียว และกำลังจุมพิตกัน เครื่องปั้นดินเผา

Attic red-figured cup (c 480 BC)

บนแจกันยุคกรีกโบราณมีการวาดภาพคนจูบกันทั่วไป แต่น้อยนักที่จะเป็นภาพการจูบกันระหว่างหญิงและชายเพราะสังคมนั้นถือว่าภาพความรักระหว่างหญิงและชายเป็นสิ่งที่ผิดศิลธรรม แต่ความรักที่สวยงามและถูกต้องตามหลักศิลธรรมสำหรับสังคมสมัยนั้นคือความรักระหว่างชายมีอายุและชายอายุน้อยดังที่เห็นในภาพนี้

Hercules and Omphale 1735

ในยุคเรอเนสซองส์งานศิลปะที่แสดงภาพคู่รักจูบกันมีน้อยมาก แต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ขณะที่ศิลปะแนวโรโคโค (Rococo) ได้รับความนิยมมากขึ้น ภาพที่สื่อความเกี่ยวกับความรักทางด้านชู้สาวก็มีปรากฎมากขึ้นเช่นกัน จากภาพนี้ ยอดมนุษย์เฮอร์คิวลีส และ นางออมฟาเล (Omphale) ราชินีแห่งอณาจักรลิเดีย (Lydia) กำลังพลอดรักกันบนเตียง วาดโดย ฟร็องซัวส์ บูเช่ (François Boucher) หนึ่งในศิลปินผู้เลื่องชื่อที่สุดของยุคนั้น

Psyche Revived by Cupid's Kiss 1787-1793

ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้เป็นภาพเหตุการณ์ในตํานานปกรณัมกรีก เมื่อเทพคิวปิด (Cupid) จูบนางไซคี (Psyche) เพื่อปลุกนางขึ้นมาจากการหลับไหล ผลงานนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยศิลปินชื่อ อันโตนิโอ กาโนวา (Antonio Canova) ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดในยุคนีโอคลาสสิก (Neoclassical) ของยุโรป เอกลักษณ์ที่ทำให้ผลงานของเขามีออร่าเจิดจรัสกว่าผลงานของศิลปินคนอื่นๆในยุคเดียวกัน คือความสามารถในการทำให้หินอ่อนที่แข็งทื่อดูเหมือนผิวคนที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นได้ งานศิลปะชิ้นนี้เป็นผลจากการเลียนแบบวัฒนธรรมและแนวคิดของยุคกรีก-โรมันโบราณ ซึ่งเป็น “เทรนด์” ทางวัฒนธรรมในช่วงนั้น (ในทางประวัติศาสตร์คือยุคเรืองปัญญา (Enlightenment))

From Poem of the Pillow 1788

ในยุคเอโดะ (Edo) ของประเทศญี่ปุ่น ความเย้ายวนเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างผลงานภาพพิมพ์ โดยเฉพาะในผลงานภาพพิมพ์ชุด Poem of the Pillow ของศิลปินผู้ทรงอิทธิพลในศตวรรษที่ 18 คิตะงะวะ อุตะมะโระ (Kitagawa Utamaro) ผลงานของเขาโด่งดังไปถึงยุโรปราวกลางศตวรรษที่ 19 และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในฝรั่งเศส จนมีอิทธิพลต่อศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ของยุโรป เมื่อบรรดาจิตรกรกล่าวถึง “อิทธิพลจากญี่ปุ่น” ก็มักจะหมายถึงอิทธิพลจากงานเขียนของอุตะมะโระ

The Kiss 1882–89

ผลงานชิ้นนี้เป็นการถ่ายทอดความรักผ่านศิลปะที่เป็นรู้จักที่สุดผลงานหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลป์ยุโรป ประติมากรรมที่มาจากหินอ่อนก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียวนี้ถูกรังสรรค์โดย โอกุสต์ โรแด็ง (Auguste Rodin) ให้เป็นรูปร่างของคู่รักที่สวมกอดและจูบกันอยู่ แต่เสียดายที่เรื่องราวของคนทั้งคู่ไม่ได้จบลงอย่างสวยงามเหมือนประติมากรรมนี้ เขาทั้งคู่คือฟรานเชสก้า ดา ริมินี่ (Francesca da Rimini) และชู้รักของเธอ พวกเขาเป็นตัวละครจากเรื่องอินเฟอร์โน (Inferno) ของดันเต้ (Dante) ที่ถูกลงทัณฑ์ให้ไปอยู่ในนรกชั่วกัลปาวสาน

The Kiss 1908–09

หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของศิลปินชาวออสเตรียกุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) ภาพนี้โดดเด่นด้วยสีสันที่ประดับประดาเสื้อผ้าของคนทั้งสองในภาพอย่างอู้ฟู่ตัดกับสีทองได้อย่างดี ทำให้คนในภาพที่กอดรัดกันอยู่ดูเหมือนว่ากำลังจะกลืนกินกันเข้าไปเป็นคนๆเดียว

The Lovers, 1928

ศิลปินผู้สร้างสรรค์ภาพนี้ชื่อ เรอเน่ มากริตต์ (René Magritte) การนำผ้ามาคลุมหน้าคนในภาพเป็นสิ่งที่ปรากฏบ่อยครั้งในภาพของเขา เราเชื่อว่ามันมาจากชีวิตในวัยรุ่นของมากริตต์เมื่อครั้งมารดาของเขาเสียชีวิตจากการจมน้ำโดยมีชุดนอนคลุมอยู่บนใบหน้า แต่สำหรับรูปนี้เขาไม่ยอมพูดเลยว่ามันแสดงถึง รักแท้ รักที่กำลังล้มเหลว หรืออะไรกันแน่ เขาพูดเพียงว่าในงานศิลป์ที่อยุ่ภายใต้ลัทธิเหนือจริง (Surreallism) ไม่มีอะไรที่มีความหมายตายตัว

LiTer II 2012

ภาพถ่ายโดยช่างภาพชาวแอฟริกาใต้ Zanele Muholi ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงชีวิตเลสเบียนชาวแอฟริกัน เพื่อประกาศจุดยืนต่อต้านการเหยียดและความรุนแรงที่มีต่อชาวเพศทางเลือก เมื่อปี 2012 ห้องเช่าที่ Muholi อาศัยอยู่ถูกงัด และภาพถ่ายในชุดเดียวกันกับภาพนี้ถูกทำลายเสียสิ้น แต่ภาพนี้รอดมาได้และกลายเป็นสัญลักษณ์แทนความทนทานของความรัก ไม่ว่าใครจะพยายามทำลายมันก็ไม่สำเร็จ

ที่มา: http://doowonder.com/posts/รอยจูบที่ตราตรึงไว้ในประวัติศาสตร์ศิลป์

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...