ย้อนรอย บันทึก ก่อการร้ายในประเทศไทย

       ในวันที่ 11 มีนาคม 2537 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุอุบัติเหตุรถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้อ อีซูซุ สีฟ้า ทะเบียน 71-7888 กรุงเทพมหานคร ชนรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นทีแซดอาร์ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มี นายบุญเสริม แสนดี เป็นเจ้าของ โดยอุบัติเหตุเกิดขึ้นใกล้กับห้างเซ็นทรัลชิดลม

       ขณะที่ นายบุญเสริม ให้การในตอนนั้นว่า คนขับเป็นแขกอาหรับ พอชนเสร็จก็ควักเงินดอลลาร์ให้ แล้วก็รีบหนีไปทันที ตนจึงแปลกใจในพฤติกรรมจึงรีบแจ้งตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา

       จากนั้นแทบไม่น่าเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจลากรถคันดังกล่าวไปจอดเก็บไว้ที่สน.ลุมพินีนานถึง 7 วัน ก่อนที่เจ้าของรถตัวจริง คือ บริษัท ธรรมวุฒิการขนส่ง จำกัด ได้เข้ามาแสดงตัวว่า เป็นเจ้าของรถ ที่ให้ชาวอาหรับเช่า โดยเข้าใจว่าจะขนของไปในจ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจพิสูจน์ก่อนส่งมอบ ในวันที่ 17 มีนาคม 2537 เมื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงกับตะลึง เมื่อพบว่า มีระเบิดบรรจุอยู่ในแท็งก์น้ำเหล็กบนกระบะหลังรถบรรทุก 6 ล้อ แท็งก์น้ำมีขนาด 120 เซนติเมตร คูณ 120 เซนติเมตร ภายในบรรจุปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรตคลุกน้ำมันโซล่าไว้แน่นแท็งก์ ท้ายรถกระบะมีกระป๋องน้ำมันโซล่า 4 แกลลอน ใช้ไปแล้ว 2 แกลลอน

       เมื่อเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ ตักแอมโมเนียมไนเตรตออก พบวัตถุระเบิดชนิดซีโฟร์บรรจุในขวดน้ำอัดลมขนาด 2 ลิตร ขนาด 2 ปอนด์ จำนวน 2 ลูก ภายในมีเชื้อปะทุไฟฟ้า 10 ดอก และยังพบดินระเบิดซีโฟร์ขนาด 1 ส่วน 4 ปอนด์อีก 5 ลูก มีเชื้อปะทุภายในรวม 6 ดอกอีกทั้งยังพบหลักฐานสำคัญ คือ การพบศพ นายชม ทิหล้า อายุ 43 ปี คนขับรถของบริษัท ธรรมวุฒิการขนส่ง จำกัด ถูกห่อด้วยพลาสติก คาดว่าเสียชีวิตมาแล้ว 4-5 วันและสถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ชันสูตรศพพบว่า รอบบริเวณลำคอมีรอยเป็นแนวคล้ายถูกบีบอย่างแรง ศีรษะบวมมีเลือดคั่ง กระดูกกล่องเสียงหัก สันนิษฐานว่า...ตายเพราะขาดอากาศหายใจเนื่องจากถูกรัดคอ

       จ.ส.ต.สมเกียรติ นาคอ่อน เจ้าหน้าที่ตรวจงานเก็บกู้วัตถุระเบิด กก.3 กองสรรพาวุธ กรมตำรวจ(ชื่อหน่วยงานในสมัยนั้น) บอกว่า ระเบิดแสวงเครื่องที่พบ พร้อมจะระเบิดทุกเวลา หากมีใครมาเคลื่อนที่หรือแตะต้องฟิวส์ ที่ต่อเชื่อมกับแบตเตอรี่ เมื่อกลไกแรกทำงาน แอมโมเนียมไนเตรตที่ผสมกับน้ำมันโซล่า น้ำหนัก 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัมก็กลายเป็นดินระเบิดเพิ่มแรงดันอีกเท่าตัว ระเบิดชุดนี้ ถือเป็นระเบิดแสวงเครื่องขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา

 

       ในช่วงที่พบระเบิดครั้งแรก ผู้เชี่ยวชาญระเบิดบอกว่า อำนาจการทำลายสูง สามารถพังตึกได้ทั้งหลัง รัศมีการทำลายไกลถึง 1-2 กิโลเมตร การสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า ในวันที่ 8 มีนาคม 2537 มีชายลักษณะเป็นชาวตะวันออกกลาง พูดไทยได้น้อยมาก รูปร่างอ้วน ผิวดำ สูงประมาณ 178 เซนติเมตร อายุประมาณ 30 ปี มาขอเช่ารถกับ นายถวิล ปวรัตน์วิจิตร เจ้าของบริษัทธรรมวุฒิการขนส่ง จำกัด บอกว่าจะขนสินค้าไปเชียงใหม่ ตกลงกันในอัตราค่าจ้าง 12,000 บาท มัดจำไว้ 500 บาท จนเมื่อเจ้าของรถบรรทุกนำเอกสารมาติดต่อรับรถคืน ...จึงพบระเบิด

       อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ ครั้งนั้นคาดว่า รถบรรทุกระเบิดมุ่งหน้าสถานทูตสำคัญแห่งใดแห่งหนึ่งและจากนั้น ไม่กี่วันต่อมา เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง มอสสาด จากอิสราเอล เดินทางลงตรวจสอบ และเชื่อว่าเป้าหมายรถบรรทุกระเบิดอยู่ที่สถานทูตอิสราเอล ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญจากอิสราเอล ประเมินรัศมีทำลาย รถบรรทุกระเบิดว่า ไม่น่าจะระเบิดได้แค่ 1-2 กิโลเมตร ขนาดนี้จะมีรัศมีการทำลายล้างไกลไปถึง 7 กิโลเมตร

       ผู้เชี่ยวชาญระเบิดฝ่ายไทยบอกว่าอานุภาพของระเบิดแบบนี้ ตึกไม่ว่าจะกี่ชั้นก็ถล่มได้ถ้าอยู่ในที่โล่งอานุภาพก็จะลดลง พร้อมให้ข้อมูล อีกว่า สารแอมโมเนียมไนเตรตที่พบ และระเบิดซีโฟร์ เป็นประจุเพื่อทำลายล้าง หากมีปุ๋ยกับเชื้อปะทุอย่างเดียว อาจทำให้อำนาจการทำลายล้างไม่สมบูรณ์ และแอมโมเนียมไนเตรต ผสมน้ำมันโซล่าหรือเบนซิน เมื่อต่อเข้ากับเชื้อปะทุไฟฟ้าและระเบิดซีโฟร์ จะเป็นระเบิดที่มีชื่อเรียกว่า เอเอ็นเอฟโอ มีลักษณะเป็นดินพลาสติกคล้ายดินน้ำมัน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น

 

       อย่างไรก็ตาม ในภายหลังมีการรายงานข้อมูลอย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าสารประกอบระเบิดไม่ใช่ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรท แต่เป็นปุ๋ยยูเรีย จึงมีการปรับลดอำนาจการทำลายล้างลง เพราะจะไม่รุนแรงเหมือนกับปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรท ถือว่าเป็นโชคช่วย ที่เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่สำเร็จ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าผู้ก่อการร้าย สามารถประกอบระเบิด ขนย้ายระเบิดได้ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถมาถึง 7 วัน ยังไม่ทราบรายละเอียด มารู้เมื่อตรวจสอบก่อนส่งหลักฐานคืนให้เจ้าของตัวจริง ส่วนคดีในตอนนั้น สุดท้ายศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง พร้อมส่งชาวอาหรับดังกล่าวกลับประเทศไปในทันที

ที่มา: https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=422297734597235&id=151226688371009

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...