เยือน 'ตุรกี' ย่ำธารหินปูนแห่ง ‘ปามุคคาเล่’

 ประเทศตุรกีนับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่าง 2 ทวีปคือยุโรปและเอเชียแล้ว ยังเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และบรรจุมนต์ขลังของประวัติศาสตร์ไว้จนแน่นไปทุกอณูอากาศ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรออตโตมัน กรุงคอนสแตนติโนเปิล(ปัจจุบันคืออิสตันบูล) อันยิ่งใหญ่ ทั้งยังครอบคลุมไปถึงดินแดนในเขตอนาโตเลียที่มีเรื่องราวตลอดจนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ฝังลึกอยู่ใต้ดินและวางระเกะระกะเป็นศิลปะบนผืนดินอย่างน่าสนใจ 
          เมืองเดนิซลี (Denizli) แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ธรรมชาติก็เล่นกลให้มีแม่เหล็กเป็นโตรกธารขนาดมหึมาสีขาวพราวเสน่ห์ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างน่าประหลาด โตรกธารหินปูนลักษณะนี้เรียกว่าเป็นทราเวอร์ไทน์ (Travertine) ถ้ามองในแผนที่ของเมืองนี้จะเขียนว่า Travertine ให้เราเข้าใจได้เลยว่ามันคือ ‘ปามุคคาเล่’ ความเป็นมาของมันก็สั้นๆ ง่ายๆ คือแต่ก่อนนี้ พื้นที่ตรงนี้มีหินปูนและเกลือแร่ไหลเป็นน้ำตกมายาวนาน พออากาศเย็นแคลเซียมเกิดการตกตะกอนทำให้จับตัวแข็งเกิดเป็นริ้วเป็นแอ่งเป็นอ่าง และเจ้าอ่างแคลเซียมขนาดมหึมาอลังการ ก็กลายเป็นโตรกธารหินปูนแคลเซียมสีขาวสะอาดตา มองไกลๆ นึกว่าเป็นหิมะ หรือปุยฝ้ายสีขาว ลานแคลเซียมแห่งนี้มีความยาวถึง 2,600 เมตร และมีความกว้างถึง 300 เมตร และมีชื่อว่าปามุคคาเล่(Pamukkale) คำว่าปามุค (Pamuk) แปลว่าสำลีหรือปุยฝ้าย ส่วนคาเล่ (Kale) แปลว่าปราสาท ปามุคคาเล่จึงแปลว่า 'ปราสาทปุยฝ้าย’ 
          ราวปี 1988 ที่แห่งนี้ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก บวกกับน้ำแร่ที่ไหลเป็นน้ำตกมีอุณหภูมิประมาณ 36 องศาเซลเซียส ซึ่งมีสรรพคุณรักษาสารพัดโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไขข้อ โรคหัวใจ ความดัน และอีกมากมาย แม้จะเป็นโตรกธารขนาดใหญ่เหมือนภูเขาและมีรถรับส่งไปถึงยอดเขา แต่การเดินชมแบบที่นิยมกันจริงๆ นั้นไม่ใช่เดินจากบนลงล่างแต่เป็นล่างขึ้นบน ซึ่งเป็นทางที่สะดวกที่สุด ทฤษฎีที่บอกว่าเดินลงง่ายกว่าเดินขึ้นนั้นใช้ไม่ได้เลยกับปามุคคาเล่ เพราะหนทางค่อนข้างลื่นและเป็นแอ่งมากมาย การเดินแบบล่างขึ้นบนจึงปลอดภัยที่สุด มีเพียงกฎระเบียบข้อเดียวที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามก็คือ ห้ามใส่รองเท้าเท่านั้นเอง
       
       การเดินบนลานหินปูนแคลเซียมขนาดใหญ่นั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะว่ายากก็ยาก เพราะหินปูนมีทั้งส่วนที่แข็งและนิ่ม แบบที่ยังนิ่มเหยียบไปแล้วได้ความรู้สึกเหมือนเหยียบปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แข็งตัว ได้ความรู้สึกนุ่มนิ่มสบายเท้า ส่วนที่แข็งก็แข็งเหมือนพื้นปูนสากๆ สีขาว มีทั้งตรงที่ลื่นและไม่ลื่น ที่ลื่นก็เพราะว่ามีตะไคร่น้ำจับตัวอยู่มาก สามารถลื่นล้มหัวแตกกันง่ายๆ เราจึงต้องเดินอย่างมีสติ อย่างช้าๆ สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือแว่นกันแดด เพราะเวลาแสงแดดสะท้อนมาที่หินปูนสีขาวมหึมาสุดลูกหูลูกตานั้นจะทำให้เราแสบตาเป็นอย่างมาก 
          ความน่ารักและมีชีวิตชีวาของปามุคคาเล่คือบรรดานักท่องเที่ยวที่จะมาโพสท่าสวยๆ ถ่ายรูปกันอยู่เสมอ แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวมากันมากมาย เงินทองสะพัดเวียนว่องคล่องตัว เมื่อสักประมาณ 16 ปีที่แล้วก็เกิดมีโรงแรมห้าดาวผุดขึ้นมาติดปามุคคาเล่ในระยะเผาขนแบบเอ็กซ์คลูสีฟ โรงแรมนี้ทั้งใหญ่ทั้งกินพื้นที่ในบริเวณของโตรกหินปูน มีการสร้างสระว่ายน้ำแบบอลังการและมีการหันเหน้ำแร่ธรรมชาติส่วนหนึ่งไหลตรงเข้าโรงแรมให้กับผู้มาใช้บริการของโรงแรมอีกด้วย ปัญหาคือโรงแรมเล็กๆ รอบๆ นั้นก็ตายกันสนิท ปัญหาต่อมาคือปามุคคาเล่ก็เริ่มเสียหายและบอบช้ำ เพราะหินปูนสีขาวนั้นถ้าน้ำธรรมชาติไม่เพียงพอและไหลไปไม่ทั่วถึง นานๆ เข้าก็ขึ้นเป็นตะไคร่สีดำ มองไกลๆ แทนที่จะสีขาวสะอาดตา ก็ดันกลายเป็นขาวกะดำกะด่างราวกับหิมะขึ้นรา นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์รวมไปถึงภาครัฐก็ต้องมานั่งแก้ปัญหา เพราะไม่อยากให้มรดกโลกแห่งนี้จะต้องเสียหายและอาจจะถูกเพิกถอนความเป็นมรดกโลกไป เหมือนว่ามีห่านทองคำอยู่ดีๆ และดูเหมือนว่าห่านทองคำตัวนี้กำลังจะป่วยตาย สุดท้ายทางการจึงได้สั่งเพิกถอนโรงแรมแห่งนั้น และได้สร้างโตรกธารสีขาวเลียนแบบของจริงที่อยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมาเพื่อเป็นการฟื้นฟูและชดเชยสิ่งที่เสียหายไป ทั้งยังมีการสร้างท่อต่อน้ำแร่ธรรมชาติเข้าไปอีกบางส่วน เพื่อให้น้ำไหลไปได้ทั่วถึง ไม่ต้องห่วงว่าของปลอมจะไม่สวย เพราะมันสวยและแนบเนียนเข้ากับของธรรมชาติอย่างชนิดที่ว่าเราเองยังแยกไม่ออกเลยว่าตรงไหนจริง ตรงไหนปลอม 
          เมื่อเดินขึ้นไปจนสุดถึงยอดแล้ว ก็สวมรองเท้าได้ตามปกติ เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเมืองโบราณเฮียราโปลิส (Hierapolis) ซึ่งมีซากปรักหักพังในยุคกรีกโบราณให้เราได้เห็นตลอดทาง นครเฮียราโปลิสในสมัยก่อนนั้นเชื่อกันว่าเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ ด้วยชื่อว่าเฮียรา (Hiera) ที่แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ (Holy) และโปลิส (Polis) ที่แปลว่านคร (City) ซึ่งก่อตั้งโดยกษัตริย์ยูเมเนสที่สองแห่งเพอกามัน (สัญลักษณ์และหน้าตาของกษัตริย์องค์นี้มีแกะสลักไว้บนหินอ่อนที่พิพิธภัณฑ์ที่อยู่บริเวณเดียวกัน) จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ยังไงไหว ก็เพราะมีบ่อน้ำแร่รักษาโรคอยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่าในสมัยก่อนคนที่อยู่เมืองนี้ก็มาอาบน้ำแร่และน้ำพุร้อนที่ปามุคคาเล่อย่างไม่ต้องสงสัย 
          
          หากนักท่องเที่ยวคนไหนไม่อยากอาบน้ำแร่ก็สามารถนั่งรถชัทเทิลบัส (Shuttle bus) ไปตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในนครโบราณแห่งนี้ได้อีกด้วย หรือจะเดินเท้าก็ได้หากแรงยังเหลือเฟือ เพราะแต่ละจุดก็อยู่ห่างไกลกันพอสมควร เช่น โรงละครโบราณแอมฟิเธียเตอร์กับเนโครโปลิส เป็นต้น โรงละครแอมฟิเธียเตอร์แบบกรีกโบราณนั้นคล้ายๆ กับโรงละครของในหลายๆ ประเทศเนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจากกรีก-โรมัน ในปี ค.ศ. 60 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้โรงละครได้รับความเสียหายมาก แม้ว่าโรงละครแห่งนี้จะได้รับการซ่อมแซมแล้วซ่อมแซมอีก แต่อีกไม่นานก็เกิดแผ่นดินไหวอีก ก็เลยซ่อมกันไปซ่อมกันมาไม่หยุดหย่อน แถมยังมีสงครามนั่นนี่ ผู้คนอาศัยกันอยู่ประมาณ 1,500-2,000 ปีก็เริ่มย้ายออกไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองอื่น แต่ความขลังและความอลังการก็ยังตระหง่านอยู่อย่างสง่างาม และมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่อื่นเลย 
          
          การที่จะมาถึงที่นี่ได้นั้นก็ไม่ยาก ถ้าตั้งต้นจากอิสตันบูลอันเป็นเมืองหลวงของตุรกีแล้ว สามารถมาได้ด้วยรถทัวร์หรือเครื่องบินลงที่สนามบินใกล้เมืองเดนิซลี แต่ขอแนะนำเป็นเครื่องบินจะสะดวกกว่ามาก เพราะใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น (ถ้าเป็นรถทัวร์จะต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง!) แต่จากสนามบินไปถึงตัวเมืองปามุคคาเล่ จะมีปัญหากับการนั่งรถบัส หากคุณไม่สะดวกและไม่ใช่นักผจญภัยตัวยงแล้วละก็ แนะนำให้จองรถจากโรงแรมที่เราจะเข้าพักไปรับที่สนามบินได้เลย เพราะจะไม่ต้องยุ่งยากในการเปลี่ยนรถ และถึงที่หมายสบายแบบไม่ปวดหัว ซึ่งจะใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น 
          
          แม้ว่าปามุคคาเล่จะมีโรงแรมมากมาย แต่โรงแรมส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นโรงแรมที่บริหารแบบครอบครัว เล็กๆ น่ารักๆ ส่วนโรงแรมใหญ่ๆ แบบห้าดาวทองแบบที่เราคาดหวังไม่มีแน่นอน (เฉพาะในบริเวณหน้าปามุคคาเล่) โรงแรมห้าดาวที่มีก็ล้วนแต่ไกลจากปามุคคาเล่หรือธารน้ำตกหินปูน ควรจองโรงแรมที่อยู่ด้านหน้า ไม่ห้าดาวก็อย่าได้แคร์ เพราะมันไม่สำคัญเลยสำหรับที่นี่ เน้นแบบที่เดินเพียง 2-5 นาที หรือมองจากโรงแรมเห็นปามุคคาเล่ชัดเจนจะสะดวกมากที่สุด เพราะเราจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่เขาจะเปิดน้ำตรงไหน เมื่อไหร่ บางครั้งตอนเช้าเปิดเพียงฝั่งขวาฝั่งเดียว บางวันเปิดสองฝั่ง บางวันครึ่งวันเช้าไม่เปิดเลยก็มี (จึงควรพักที่นี่อย่างน้อยที่สุด 2-3 วัน) แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลายคนที่มาแบบไปเช้าเย็นกลับ แต่นั่นจะทำให้เหนื่อยเกินไปมาก 
          หลายคนบอกว่า… ชีวิตไม่ได้วัดกันที่ลมหายใจ แต่วัดจากจำนวนห้วงเวลาที่ทำให้เราหยุดหายใจไปชั่วครู่… ปามุคคาเล่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นเข้าไปอยู่ในห้วงเวลานั้นได้อย่างง่ายดาย จำได้ว่าตอนที่นั่งอยู่ในรถที่ไปรับจากสนามบินมาที่โรงแรม พอมองเห็นปามุคคาเล่อยู่ไกลๆ เราตื่นเต้นมากจนเกิดอาการที่เรียกว่า jaw drop คือเผลอตัวอ้าปากค้างอยู่นานทีเดียว นี่แหละปราสาทปุยฝ้าย สถานที่สวยงามเกินบรรยายราวกับก้อนเมฆในฝัน แต่มหัศจรรย์ตรงที่มันเป็นก้อนเมฆจากสวรรค์ที่อยู่บนดิน… 
          
          
          เรื่อง/ภาพ : เกศณี ไทยสนธิ
26 เม.ย. 58 เวลา 10:35 1,677 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...