"สมศักย์-ธาริต"นำทีมไล่บี้ปราบมาเฟียภูเก็ต แฉชื่อ 11กลุ่มเอี่ยวธุรกิจเอาเปรียบ-ข่มขู่นักท่องเที่ยว

 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ห้องประชุมอาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานภูเก็ต นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางมาร่วมประชุมหน่วยงานในพื้นที่ และตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต (ศปอท.จ.ภูเก็ต) ซึ่งจัดตั้งขึ้น 2 แห่ง คือ ที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต และอาคารเก่าของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต

 

ในการประชุมได้มีการติดตามการแก้ปัญหา 3 ด้านที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวภูเก็ต คือ 1.การจัดระเบียบรถรับจ้างหรือแท็กซี่ที่มีลักษณะเป็นกลุ่มอิทธิพลข่มขู่และทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว ภายในบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต และในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ต 2.แนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับผู้กระทำการแทน (นอมินี) ให้แก่ชาวต่างชาติ และ 3.ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในพื้นที่

 

นายสมศักย์กล่าวว่า การผลักดันจัดตั้งศูนย์ในครั้งนี้ เกิดจากมติของที่ประชุมเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา และในเรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสนใจอย่างมาก โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะให้การสนับสนุนงบประมาณจัดตั้งศูนย์ ขณะที่กระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า พร้อมสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เพราะกำลังจะมีการพิจารณาวางระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหายและเดือดร้อนกับกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยตรงในเร็วๆ นี้ สำหรับในกรณีปัญหานอมินีมีข้อมูลว่าไม่ใช่มีเฉพาะประเทศรัสเซีย เกาหลี หรือจีนเท่านั้น หากแต่ยังมีชาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป

 

น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ในความรับผิดชอบของ ทอท.นั้น เกี่ยวข้องกับพื้นที่จัดตั้งศูนย์และการเข้ามาประกอบอาชีพของแท็กซี่หรือลิมูซีน จากสถิติข้อมูลที่มีอยู่ คือ รถรับจ้างทุกประเภทในท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต มีทั้งหมด 550 คัน ขณะนี้รถทุกคันหมดอายุสัมปทานไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ทอท.กำลังพิจารณาว่าจะนำวิธีบริหารจัดการรถบริการสาธารณะแบบเดียวกันที่ให้บริการที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ มาปรับใช้กับจังหวัดภูเก็ตได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับค่าโดยสารรถแท็กซี่มายังสนามบินภูเก็ต ต้องมีราคาสูงกว่ากรุงเทพมหานครแน่นอน เพราะผู้ขับขี่แท็กซี่ที่ภูเก็ตจะได้รับค่าโดยสารเพียงเที่ยวเดียว ส่วนเที่ยวกลับต้องตีรถเปล่า จึงขอให้คณะกรรมการขนส่งจังหวัดภูเก็ตไปพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสาร ตามเส้นทางหรือระยะทางจากสนามบินภูเก็ตไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ตามความเหมาะสม และทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดภูเก็ตว่าในเช้าวันนี้คณะผู้ตรวจการขนส่งและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กวดขัน จับกุมรถแท็กซี่ป้ายดำได้จำนวน 23 คันที่บริเวณสนามบินภูเก็ต ในช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น

 

ขณะที่นายธาริตกล่าวว่า ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารวบรวมข้อมูล สภาพปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดต่อประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล ประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดสามารถรวบรวมข้อมูลรายชื่อบุคคล หรือกลุ่มอิทธิพล รวม 11 ราย ที่พัวพันกับรถแท็กซี่ป้ายดำ และบางรายยังมีผลประโยชน์ทางด้านการรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย อาทิ สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวภาคใต้ บุคคลในเทศบาลเมืองป่าตอง สหกรณ์กลุ่มบริการรถยนต์ call center จำกัด คิวรถหน้าศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง คิวรถหน้าโรงแรม อวิสต้า รีสอร์ต แอนด์ สปา หาดกะตะ เป็นต้น

 

"ตามนโยบายของนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คือ ต้องการให้การประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนั้น ต้องหยุดทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการส่งสัญญาณมาแล้ว และในระหว่างนี้เป็นการให้โอกาสปรับตัว มาอยู่ภายใต้ระเบียบกฎหมาย และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่มีข้อมูลหลักฐานในเชิงลึกที่สามารถเอาผิดได้ ในกรณีกระทำผิดสำเร็จแล้วต้องดำเนินคดีเป็นรายๆ ไป"

 

นายธาริตกล่าวด้วยว่า ตามพยานหลักฐานที่มีอยู่เกี่ยวกับบุคคลต่างด้าว 3 ชาติหลักที่พูดถึงกันมาก ที่มีในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี กับจังหวัดภูเก็ต คือ รัสเซีย เกาหลี และจีน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีคนไทยหรือบริษัทไทยไปรับชำระบัญชีที่ผิดกฎหมาย หรือไปแนะนำให้บริษัทต่างชาติหลีกเลี่ยงกฎหมาย จนทำให้บริษัทต่างชาติที่เคยถูกกฎหมายกลายเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจไปในแบบสีเทา เช่น มีบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งมีการจัดตั้งบริษัทในเครือมากถึง 200 แห่ง เมื่อวันเวลาผ่านไปปัญหาจะไปปรากฏที่การแสดงงบดุลของบริษัท ซึ่งต้องรายงานต่อหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องนี้มีรายละเอียดมาก ดีเอสไอจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง

 

"ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่หน่วยงานหลักใน ศปอท.จ.ภูเก็ต ได้พยายามเก็บข้อมูลปัญหาผู้มีอิทธิพลเสมอมา เพราะมีรายชื่อ ทั้งบุคคล และกลุ่ม รถแท็กซี่รับจ้าง ป้ายดำ มีพฤติกรรมข่มขู่ผู้โดยสาร หน่วงเหนี่ยวอิสรภาพหรือมีการกรรโชกนักท่องเที่ยว ต่อไปจะต้องนำเอากฎหมายฟอกเงิน การอายัดทรัพย์สิน มาตรวจสอบกลุ่มรายชื่อผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง หากตรวจสอบพบเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อไป" นายธาริตกล่าว

 

 

 
   
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...